ใจเต้นระทึก ตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ว่าจะจบยังไง ก็นั่งเชียร์มาตั้งนานให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเกิดขึ้นจริง เพราะจะเป็นโครงการนำร่อง ที่ทำให้มีโครงการพัฒนาประเทศโครงการอื่น ๆ เกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย อันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยแบบก้าวกระโดดกันเลยทีเดียว

ถึงจะมีความล่าช้าในช่วงการเจรจา แต่ก็ทำใจให้ยอมรับได้ เพราะโครงการขนาดใหญ่ เงินลงทุนมหาศาลหลายแสนล้านบาท กว่าจะคืนทุนได้ต้องใช้เวลานานเกือบครึ่งศตวรรษแบบนี้ แถมเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงสูงปรี๊ด ก็ต้องพิจารณากันละเอียดยิบและยาวนานเป็นธรรมดา
แต่ที่กังขาก็ตรงที่เป็นโครงการร่วมทุนกันระหว่างรัฐและเอกชน แบบที่เรียกว่า PPP ซึ่งรัฐต้องร่วมแบกรับความเสี่ยงกับเอกชน แต่ดูเหมือนโครงการนี้รัฐจะชิ่งหนีการร่วมแบกรับ แต่กลับให้เอกชนรับเละไปฝ่ายเดียว
หรือจะเป็นความไม่คุ้นเคยของหน่วยงานภาครัฐกับการทำงานในแบบ PPP เพราะปกติจะเคยชินกับการให้สัมปทาน เป็นเสื่อนอนกิน โดยโยนให้เอกชนไปแบกรับความเสี่ยงเอาเองทั้งหมด ข้าขอเก็บตังค์อย่างเดียว จะกำไรจะขาดทุน ก็เรื่องของเอ็ง ไม่ใช่เรื่องของข้า
พอพูดถึงการร่วมแบกรับความเสี่ยงกับเอกชนขึ้นมา จึงเกิดอาการป๊อดแหก เพราะนอกจากไม่แน่ใจว่าจะได้ตังค์เข้ากระเป๋าเป็นรางวัลการันตีความสำเร็จ เหมือนกับการให้สัมปทานแล้ว ถ้าเกิดขาดทุนยาวนานเกินไปหรือเสียหายขึ้นมา คนตัดสินใจก็มีสิทธิไปติดในคุกตอนแก่ จึงต้องเล่นแง่กันนิดนึง
ก็เพราะนิสัยความเคยชินกับรูปแบบเดิม ๆ ไม่กล้าขยับรับความเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าตัดสินใจ แบบนี้เองไม่ใช่หรือ ที่ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าช้า ไม่ค่อยทันใครเขา มีตัวอย่างจากโครงการใหญ่ ๆ ในอดีตที่เกิดขึ้นได้ยาก และต้องแท้งกลางครรภ์ไปก็เยอะ ซึ่งมันก็โยงไปถึงการขาดความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนของต่างประเทศอีกด้วย
อย่างโครงการอีอีซี ผู้ใหญ่ของรัฐอุตส่าห์ลงทุนเดินทางไปประเทศโน้นที ประเทศนี้ที แล้วกลับมาโม้ว่าสามารถดึงนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาได้เพียบ แต่พอจะเอาโครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบินมาเป็นโครงการนำร่อง เพื่อเพิ่มขีดความเชื่อมั่นในการลงทุนกับโครงการหลักอื่น ๆ ของอีอีซี หน่วยงานของรัฐกลับยึกยัก ไม่ช่วยประเทศโชว์ป๋า ร่วมแบกรับความเสี่ยงกับเอกชน ทั้ง ๆ ที่จะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนชั้นดี ในการที่จะทำให้นักลงทุนและสถาบันการเงินต่างชาติ เห็นว่ามาลงทุนที่นี่แล้ว ได้รับความมั่นใจจากภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้เต็มใจอยากจะมาลงทุนกันเยอะ ๆ ซึ่งจะช่วยนำนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาสร้างทั้งประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมให้ประเทศได้มากมาย
ตอนนี้คงได้แค่ร้องเพลงรอว่าจะมีคนกล้า 2019 เป็นพระเอกขี่ม้าขาว เข้ามาตัดสินใจร่วมรับผิดชอบกับเอกชน เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การพัฒนาประเทศให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด หรือว่าจะปล่อยให้เอกชนถอดใจไปเองทีละราย โดยทำให้โครงการนี้เกิดไม่ได้ และไม่มีโครงการอืน ๆ ตามมา เรียกว่าเป็นหมันกันไปหมด
ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน จะได้ไปต่อหรือพอแค่นี้
ถึงจะมีความล่าช้าในช่วงการเจรจา แต่ก็ทำใจให้ยอมรับได้ เพราะโครงการขนาดใหญ่ เงินลงทุนมหาศาลหลายแสนล้านบาท กว่าจะคืนทุนได้ต้องใช้เวลานานเกือบครึ่งศตวรรษแบบนี้ แถมเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงสูงปรี๊ด ก็ต้องพิจารณากันละเอียดยิบและยาวนานเป็นธรรมดา
แต่ที่กังขาก็ตรงที่เป็นโครงการร่วมทุนกันระหว่างรัฐและเอกชน แบบที่เรียกว่า PPP ซึ่งรัฐต้องร่วมแบกรับความเสี่ยงกับเอกชน แต่ดูเหมือนโครงการนี้รัฐจะชิ่งหนีการร่วมแบกรับ แต่กลับให้เอกชนรับเละไปฝ่ายเดียว
หรือจะเป็นความไม่คุ้นเคยของหน่วยงานภาครัฐกับการทำงานในแบบ PPP เพราะปกติจะเคยชินกับการให้สัมปทาน เป็นเสื่อนอนกิน โดยโยนให้เอกชนไปแบกรับความเสี่ยงเอาเองทั้งหมด ข้าขอเก็บตังค์อย่างเดียว จะกำไรจะขาดทุน ก็เรื่องของเอ็ง ไม่ใช่เรื่องของข้า
พอพูดถึงการร่วมแบกรับความเสี่ยงกับเอกชนขึ้นมา จึงเกิดอาการป๊อดแหก เพราะนอกจากไม่แน่ใจว่าจะได้ตังค์เข้ากระเป๋าเป็นรางวัลการันตีความสำเร็จ เหมือนกับการให้สัมปทานแล้ว ถ้าเกิดขาดทุนยาวนานเกินไปหรือเสียหายขึ้นมา คนตัดสินใจก็มีสิทธิไปติดในคุกตอนแก่ จึงต้องเล่นแง่กันนิดนึง
ก็เพราะนิสัยความเคยชินกับรูปแบบเดิม ๆ ไม่กล้าขยับรับความเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าตัดสินใจ แบบนี้เองไม่ใช่หรือ ที่ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าช้า ไม่ค่อยทันใครเขา มีตัวอย่างจากโครงการใหญ่ ๆ ในอดีตที่เกิดขึ้นได้ยาก และต้องแท้งกลางครรภ์ไปก็เยอะ ซึ่งมันก็โยงไปถึงการขาดความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนของต่างประเทศอีกด้วย
อย่างโครงการอีอีซี ผู้ใหญ่ของรัฐอุตส่าห์ลงทุนเดินทางไปประเทศโน้นที ประเทศนี้ที แล้วกลับมาโม้ว่าสามารถดึงนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาได้เพียบ แต่พอจะเอาโครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบินมาเป็นโครงการนำร่อง เพื่อเพิ่มขีดความเชื่อมั่นในการลงทุนกับโครงการหลักอื่น ๆ ของอีอีซี หน่วยงานของรัฐกลับยึกยัก ไม่ช่วยประเทศโชว์ป๋า ร่วมแบกรับความเสี่ยงกับเอกชน ทั้ง ๆ ที่จะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนชั้นดี ในการที่จะทำให้นักลงทุนและสถาบันการเงินต่างชาติ เห็นว่ามาลงทุนที่นี่แล้ว ได้รับความมั่นใจจากภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้เต็มใจอยากจะมาลงทุนกันเยอะ ๆ ซึ่งจะช่วยนำนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาสร้างทั้งประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมให้ประเทศได้มากมาย
ตอนนี้คงได้แค่ร้องเพลงรอว่าจะมีคนกล้า 2019 เป็นพระเอกขี่ม้าขาว เข้ามาตัดสินใจร่วมรับผิดชอบกับเอกชน เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การพัฒนาประเทศให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด หรือว่าจะปล่อยให้เอกชนถอดใจไปเองทีละราย โดยทำให้โครงการนี้เกิดไม่ได้ และไม่มีโครงการอืน ๆ ตามมา เรียกว่าเป็นหมันกันไปหมด