[CR] รีวิว+แลกเปลี่ยน การเลือกซื้อกล้อง กุมภา 2019 ฉบับสามัญชน

สวัสดีครับทุกคน นี่เป็นกระทู้แรกผมเองที่อยากจะเขียนแบ่งปันประสบการณ์จากการได้ลองเจ็บเสียตัง ขึ้นเขา(Full Frame) ลงห้วย(Compact) และทุลักทุเลในดง (APS-C)
ผมเป็นคนธรรมดาสามัญชนคนนึงที่เล่นกล้อง ติดตามตลาดกล้องแต่ไม่ได้จริงจังมานี่น่าจะเป็นปีที่ 10 พอซื้อมา ขายไป แล้วซื้อมาใหม่ บ่อยๆเข้าก็เริ่มจะเรียนรู้อะไรบ้าง เลยจะมาแชร์ mindset ของผมเองกับกระทู้นี้

และใจความสำคัญของกระทู้นี้เลยคือ
ถ้าใครมีอะไรอยากจะแนะนำมือใหม่ ที่อยากจะซื้อกล้องในยุคปัจจุบันนี้ เรามาแชร์กันได้ที่กระทู้นี้นะครับ เผื่อเค้าเข้ามาอ่าน เค้าจะได้ข้อมูลดีๆกลับไป ได้กล้องดีๆ ที่เหมาะกับตัวเค้าเอง ที่ไปถ่ายรูปแล้วมีความสุข ไปสร้างสรรค์ผลงานดีๆ มาแบ่งปันกัน


เพราะผมเองก็มีความรู้และประสบการณ์นิดหน่อย อะไรที่เจ็บมาก็ไม่อยากให้คนอื่นเจ็บซ้ำเหมือนที่เราเคยเจ็บ อะไรที่มันดี ก็อยากให้เค้าได้อะไรดีๆเหมือนที่เราได้รับครับ

*คำเตือน*
กระทู้นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ บวกกับประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ในมุมมองของคนที่ถ่ายภาพเป็น hobby ไม่ใช่ขั้นจริงจังเป็น pixel peeper หรือรับงาน หรือขั้นโปรอะไรแต่อย่างใดครับ เหมือนมาแชร์สิ่งที่ตัวเอง research หวังแค่ว่าจะพอมีประโยชน์บ้าง

คอนเซปต์ของคู่มือนี้คือ จะเริ่มไล่มองจากสเกลมหภาค (Macroscope) ค่อยๆซอยย่อยลงไประดับจุลภาค (Microscope) ตามนี้ครับ

-Format : DSLR, Mirrorless(MRL), หรือ Compact ?
-ขนาด Sensor : Full Frame, APS-C, หรือ Micro Four Thirds (M4/3 )?
-Brand : ยี่ห้อในแต่ละหมวดย่อยๆเท่าที่มีข้อมูลหรือเคยมีประสบการณ์นะครับ

ถ้าไม่ได้สนใจอันไหนอันใด กรอข้ามไปส่วนที่ต้องการเลยก็ได้ครับ




มาเริ่มกันที่อันแรก

Format

DSLR :


digital single-lens reflex ก็คือกล้องที่มีกระจกสะท้อนภาพ ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่อดีต 10-20 ปีที่แล้วนั่นแหละครับ กล้อง DSLR จะทำให้คนถ่ายเห็นแสงที่เข้ามาในเลนส์สะท้อนผ่านกระจก ทะลุปริซึม แล้วเข้ามาสู่ตาเราใน Viewfinder (VF) โดยตรงเลย พอกดถ่ายกระจกนั่นมันก็จะกระดกขึ้นเพื่อเปิดแสงให้เซ็นเซอร์รับภาพที่อยู่หลังกระจกรับภาพ และออกมาเป็นไฟล์รูปให้เรานี่เอง

ข้อดี
1.** ได้เห็นแสงธรรมชาติ ที่ Mirrorless จะทำ Electronic Viewfinder (EVF) มาดีแค่ไหนก็แทบจะเทียบไม่ได้ ดีที่สุดก็คือใกล้เคียงที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ของจริง
2.** ในความจุแบตเตอรี่เท่ากัน DSLR จะถ่ายได้มากกว่า Mirrorless มากๆ เพราะ DSLR ไม่ต้องเปิด sensor ไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการรัน EVF เพราะสิ่งที่เห็นใน VF ก็มาจากแสงธรรมชาติโดยตรงเลยนี่แหละ
3.** เลนส์ที่มากมาย มหาศาล และราคาถูก เพราะอารยธรรมนี้มีมานาน และคนเริ่มเทไป Mirrorless กัน ทำให้ราคาตกมามาก ยิ่งเฉพาะราคามือสอง
4.*เสียงชัตเตอร์ อาจจะพอช่วยทำให้รู้สึกคลาสสิกได้บ้าง
5.*ขนาดกระชับมือ เพราะส่วนมากจะออกแบบให้บริเวณรอบๆที่ใส่แบตเป็นกริปจับแน่นๆ สบายๆ
6.ความรวดเร็วในการ startup ที่สูง ในที่นี้หมายถึงแบบ สมมติ เห็นอะไรอยู่ข้างหน้า DSLR แทบจะกดเปิดแล้วถ่ายแชะได้ในเสี้ยววิ ในขณะ MRL บางรุ่น ก็อาจจะมีเวลาหน่วงๆตอนกดเปิดกล้องบ้าง จากเดิม 0.1 กลายเป็น 0.5 วินาทีอะไรแบบนี้(ไม่ชัวร์นะครับว่าเลขจริงๆเป็นเท่าไหร่ ประมาณเพื่อให้เห็นภาพ) แต่ส่วนตัวแล้ว มองว่ามีนัยสำคัญ เพราะมีบางช็อตเคยเห็นหมากำลังวิ่งมาข้างถนน น่ารักมาก อยากถ่าย ตอนนั้นถือ MRL อยู่ ไอ่การหน่วง 0.5 วิเนี่ยแหละ จากจะได้เห็นรูปหน้าหมาวิ่งแบ๊วๆกลายเป็นได้เห็นก้นหมาไปเลย TT แต่ยังไงก็ตาม ข้อนี้ไม่ได้มีความสำคัญมากเมื่อเทียบกับข้อต้นๆครับ


ข้อเสีย
1.เราจะไม่รู้เลยว่ารูปที่จะได้มันเป็นยังไงจนกว่าจะกดชัตเตอร์ ถึงแม้จะมีข้อมูล Exposure ให้ดูตอนที่เรากดโฟกัสกดถ่ายก็เถอะ แต่มันก็ช่วยได้ในระดับ 70-80% และยิ่งถ้ามือใหม่ เจ้านี่จะช่วยได้แค่40-70% เพราะวัดแสงถูกบ้างผิดบ้าง ต้องผ่านการฝึกฝนในระดับนึง (ถ้าฝึกใช้จริงจัง ไม่ถึงครึ่งวันก็เป็นแล้วนะครับ) กล้องมีฟังก์ชัน live view แต่ถ้าจะกดเปิด liveview ตลอดเวลา ก็จะกินแบต และจะได้ระบบโฟกัสที่ช้ากว่าการโฟกัสผ่านเซ็นเซอร์โฟกัสที่อาศัยการสะท้อนแสงผ่าน sub-mirror*
*sub-mirror คือกระจกที่ใช้สะท้อนภาพเข้า autofocus sensor ลองดู diagram นี้ครับแล้วจะเข้าใจระบบการทำงานของ DSLR มากขึ้น เครดิตตามในรูปครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2.ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นครับว่า เลนส์ และกล้องDSLR ราคาถูกลงมาเยอะเพราะคนเทไปเล่น MRL กัน ส่งผลให้ราคาตกไวมากเช่นกันถ้าซื้อมือ 1 มา
วันเด็กปีก่อนผมเคยซื้อ Full Frame DSLR ประกันศูนย์มาตัวนึง 38k ได้มั้ง เพิ่งขายไปเมื่อ2-3อาทิตย์ที่แล้วด้วยราคา 26k เพราะราคาในตลาดมือสองมันเป็นประมาณนั้นจริงๆ รวมถึงเลนส์เอง ก็ใช้เวลาขายนานขึ้น ถ้าไม่ใช่ระยะยอดฮิตนี่ นานในระดับใหญ่ๆเลยครับ ฉะนั้นแล้วส่วนตัวคิดว่า DSLR จะคุ้มก็ต่อเมื่อเราเล่นในตลาดมือ2ครับ เพราะถ้าไม่ได้รับงานอะไร ใช้ชัตเตอร์100,000ครั้งไม่น่าจะคุ้มค่าตัวแน่ๆ
3.DSLR ตัวมีขนาดใหญ่กว่า MRL นิดหน่อยด้วยการที่มันต้องมีกระจก แต่ ไม่ใช่ทุกตัว เพราะพวก DSLR ที่เซ็นเซอร์ขนาด APS-C ไม่ว่าจะ Canon, Nikon รุ่นล่าสุด ลองไปจับถือดู ตัวก็เล็กในระดับน่าพอใจ ไม่หนักมาก และให้ฟีลลิ่งที่ดีครับ แต่ยังไงก็ตาม ปริซึ่ม กระจก และกลไกกระจก เป็นตัวแถมที่ทำให้กล้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นนิดหน่อย เช่น Canon APS-C ต่างกันประมาณ 50-80กรัม ส่วน Canon Full Frame ต่างกันประมาณ 300กรัม Nikon ก็ประมาณเดียวกันครับ มากหรือน้อย แนะนำให้ลองไปจับดูเองครับ
4.เท่าที่มอง อารยธรรมนี้ ยังมีคนอยู่มั้ย ก็ยังมี แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะค่อยๆลดลงไป ทีละนิด ทีละหน่อย เคยอ่านเคยฟังจากหลายๆคน ก็บอกว่าคงประมาณ5-10ปี เป็นอย่างต่ำ ถึงเวลานั้น DSLR ก็ยังเป็นส่วนน้อยๆในตลาด ไม่ถึงขั้นหายไป อยู่ที่คนใช้งานแล้วล่ะครับ ว่าอยากได้ความทันสมัย มากน้อยแค่ไหน เหมือนการ transfer จากยุคโทรศัพท์ธรรมดา มาเป็น Smartphone แบบทุกวันนี้ ถามว่าโทรศัพท์ปุ่มกดยังใช้ได้ ยังโทรได้มั้ย ก็ยังทำได้ปกติครับ เหมือนกันที่ smartphone มันทำได้นั่นแหละ ใคร concern เรื่องนี้มากๆ ลองหาอ่าน หรือหาฟังใน youtube เล่นๆก็ได้ครับประกอบการตัดสินใจ

มาต่อกันที่

Mirrorless

MRL จะตัดกระจกสะท้อนภาพออกไป และจะให้ภาพ Output ที่เรามองเห็นก่อนถ่ายคือภาพจาก Sensor กล้องเองเลย บางรุ่นจะมี EVF บางรุ่นจะไม่มี หรือบางรุ่นก็จะมีให้เป็น option เสริมซื้อมาติดไว้ได้ การตัดกระจกสะท้อนภาพออกไป ทำให้ไม่ต้องมีกระจก ไม่ต้องมีปริซึม ไม่ต้องมี Autofocus Sensor ทำให้น้ำหนักหายไปได้บ้าง และขนาดที่เล็กลง ดูรูปข้างล่างเป็นคอนเซ็ปคร่าวๆก็ได้ครับ

(เครดิต fstoplounge.com)

ข้อดี
1.** Mirrorless ทำให้ได้เห็นรูปจริงๆเลยว่า ถ้ากดชัตเตอร์ลงไป เราจะได้รูปแบบไหนมาเก็บไว้ สว่าง มืด มากน้อยแค่ไหน ไม่ต้องคิดเยอะในการอ่าน exposure ที่กล้องวัดได้เหมือน DSLR ไม่ต้องเดากันเยอะ โฟกัสเข้าไม่เข้า magnifiy กดซูมเข้าไปดูตอนกำลังจะถ่ายก็ยังได้
2.** ตามที่กล่าวมาในตอนต้นแหละครับ การถอดกระจก และกลไกต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทำให้น้ำหนักหายไป ขนาดตัวส่วนที่ไม่จำเป็นลดลง ส่วนตัวแล้ว ถ้ารุ่นเล็กๆอาจจะต่างกันนิดหน่อย แต่รุ่นใหญ่ๆ ก็ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญเลยล่ะ
เครดิต cameradecision.com
3.** Mirrorless ทำให้เลนส์มือหมุนน่าใช้มากขึ้น การมี focus peaking ไว้เช็คว่าโฟกัสเข้าจุดที่ต้องการมั้ยและ magnification ซูมขยายเข้าไปดู confirm ว่าเข้าจริงนะ มันเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ดีๆจริงๆครับ เช่น เลนส์ 35mm f1.2 เอย 25mm f0.95 เอย หลากหลายค่ายมากๆครับ กลายเป็นว่า มันทำให้เราได้ optic คุณภาพเจ๋งๆในราคาที่เอื้อมถึงได้ เบลอกระจุยกระจาย ไวด์ระเบิดระเบ้อ ในราคาหมื่นต้นๆ ไม่ถึงหมื่น หรือแค่ไม่กี่พัน
4.* ระบบโฟกัสของ MRL แทบจะทุกค่าย อัพเกรดขึ้นมากๆ พอไม่มีกระจก พอไม่มี Autofocus sensor แยก วัดกันที่บนเซ็นเซอร์รับภาพอย่างเดียว ก็ใส่กันไม่ยั้ง หลังๆมามีตรวจจับโฟกัสหน้า โฟกัสตา ไม่ใช่แค่ตาคน ตาหมา ตาแมวก็เอา บ้าจริง โฟกัสจิกตามยิ่งกว่า.. ยิ่งกว่าไก่ละกัน ทำให้ช่วยอำนวยความสะดวกไปอีก โดยเฉพาะมือใหม่ หรือคนที่ถ่ายรูปเล่นๆ ไม่คิดอะไร กล้องช่วยลดภาระขึ้นเยอะมากๆ เหลือแค่หน้าที่เราแล้วว่าจะเอากล้องไปถ่ายอะไรครับ

ข้อเสีย
1.*แบตเตอรี่ ในความจุแบตเตอรี่เท่าๆกัน MRL จะกินแบตจุ จุกว่ามาก ถึงแม้บางค่าย หลายค่าย พยายามทำ Eco mode หรือ power-saving mode ที่จะช่วยให้แบตใช้งานได้นานขึ้น แต่ยังไงก็ตามก็ยังทำได้ไม่เท่า DSLR อยู่ดี จาก 500-1,000 shot ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลดลงมาเหลือ 200-500 shot ก็มี แล้วแต่ว่ากล้องเจ้าไหนค่ายไหนทำการประหยัดพลังงาน หรือพยายามยัดแบตใหญ่ๆเข้าไปในกล้องได้มากกว่ากัน
บางครั้งทริปนึง วันนึงชาร์จก็เหลือๆ กลายเป็นต้องพกแบต หรือพาวเวอร์แบงค์ไปกันไว้เผื่อแบตหมด แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเป็นแค่พกไปถ่ายเล่นคาเฟ่เก๋ๆ ชั่วโมงสองชั่วโมง แบตมาก น้อย ก็ไม่ได้สำคัญอะไร และเทคโนโลยี กำลังพัฒนามาเรื่อยๆ กล้องรุ่นหลังๆ ก็จะเริ่มทำได้ดีขึ้นในเรื่องแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความจุ, power-saving mode, ความสามารถในการชาร์จด้วย powerbank เอย ทำให้ปัญหานี้ดูน้อยลงไปในทันทีครับ
2.*ฟีลในการเห็นรูปที่แบบ ธรรมชาติ มันหายไป รุ่นใหม่อาจจะทำ EVF ออกมาได้ดีขึ้น แต่ยังไงก็ตาม มันไม่เท่าเดิม มันไม่เหมือนกระจกกกกก ฮือ
3.บางค่าย ก็ออกเลนส์มาครบช่วง ครบทุกความต้องการ (แต่บางค่ายก็ดั๊นนนน แพง TT) บางค่าย ก็ออกมาแค่เหมือนให้มีพื้นที่แบ่งในตลาดบ้าง MRL นี่การเลือกค่ายค่อนข้างสำคัญครับ เดี๋ยวจะกล่าวใน section หลังๆ
4.บางคนย้ายมาจาก DSLR แล้วอยากใช้ค่ายเดิมต่อด้วยการใช้ adapter เจ้าตัว adapter ส่วนมากจะเข้ากันได้ดีกับเลนส์ค่ายตัวเองครับ แต่ก็มีอยู่จำนวนหนึ่งเหมือนกันที่ adapter เลนส์ค่ายดันมีปัญหากับเลนส์นอกค่าย (third party) ทำงานได้เต็มที่บ้าง ไม่เต็มที่บ้าง ก่อนย้าย ลองเสียเวลาอ่านดูครับว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง ใช้งานได้เต็มฟังก์ชันมั้ย

ส่วน Compact จะขอให้ความเห็นไว้สั้นๆว่า เอาจริงๆ Compact ก็คล้ายๆ MRL ที่มีความเล็ก Compact สมชื่อมันนั่นแหละ
Compact เป็น Format ที่ทำมาแบบมีจุดประสงค์เฉพาะมากๆ ต่างรุ่น ก็จะต่างจุดประสงค์เช่น
-Superzoom เช่นพวก Nikon Coolpix P1000 ซูมทีเห็นสิวดวงจันทร์
-ถ่าย Street ถ่ายท่องเที่ยวทั่วไป เช่น RX100, ตระกูลGXของ Canon
-ถ่าย Portrait เช่น RX1 หรือ Leica Q
การซื้อ compact จะเสี่ยงตรงที่ ถ้าไปซื้อตามรีวิว เค้าว่าดีหยั่งงั้นหยั่งงี้ แต่ดันไม่ตรงกับความต้องการตัวเอง จะกลายเป็นใช้ไม่คุ้มเอาครับ ซื้อ RX100 แต่หวังความหน้าชัดหลังเบลอระดับ Full Frame มันก็จะผิดๆไปหน่อย
ส่วนตัวแล้ว คิดว่าเหมาะกับคนที่เจอแนวทางตัวเองแล้วแน่ๆ ว่าอยากได้แนวไหน อยากพกแบบไหน กล้อง Compact จะกลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเอามากๆครับ




เดี๋ยวมาต่อกันในส่วนนึง ที่สำคัญมากๆเอาจริงๆแทบจะลำดับต้นๆในการเลือกกล้องในสมัยนี้ คือขนาดเซ็นเซอร์ครับ และค่ายครับ
ชื่อสินค้า:   รีวิว+แลกเปลี่ยน การเลือกซื้อกล้อง กุมภา 2019 ฉบับสามัญชน
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่