ยิ่งคุณรู้ข้อมูลข่าวสารมากเท่าไร ยิ่งทำให้คุณเริ่มไม่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมากขึ้น แม้คุณอาจจะเจอแรงยั่วยุทางการเมืองหรือไม่ก็ตาม
นักวิจัยได้ทำการสำรวจตัวอย่างกว่า 400 ตัวอย่างผ่านออน์ไลนในช่วงปี 2016 โดยทำการประเมินว่า พวกเขารับรู้ข้อมูลข่าวสารมากน้อยแค่ไหน โดยทำการประเมินความรู้ความเข้าใจจากข้อมูลข่าวสาร รวมไปถึงจิตวิทยาในการรับรู้และประมวลผลที่อาจมีความเชื่อมโยงกับทฤษฎีสมคบคิด
นักวิจัยพบว่า “คนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมักจะไม่ค่อยทำการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากเท่าไรนัก” เช่นกันพวกเขายังพบด้วยว่า “ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารในแต่ละประเภทนั้น พวกเขาเชื่อว่ามีการปกปิดความจริงอยู่ ไปจนถึงมีการผลิตข้อมูลข่าวสารไปตามบริบทแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งก็ไม่ค่อยดูเหมือนว่าพวกเขาจะเชื่อทฤษฎีสมคบคิดแบบหัวปักหัวปลำ
นักวิจัยเชื่อว่า ประเด็นนี้มีความเชื่อมโยงกันในช่วงแรก แต่ต่อมาก็พบสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นและชี้ให้เห็นว่า ทฤษฎีสมคบคิดมันมีความเชื่อมโยงในเรื่องของความเชื่อทางการเมืองส่วนบุคคลด้วย
งานวิจัยได้ทำการสอบถามผู้เข้าร่วมเกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด 10 อย่าง โดยมีการแยกเรื่องระหว่างมุมมองเสรีนิยมกับความเป็นอนุรักษ์นิยม เช่นกันก็มีการสอบถามเกี่ยวกับอุดมการณ์ความเชื่อของผู้เข้าร่วมด้วย
นักวิจัยพบว่า ฝ่ายเสรีนิยมที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารมักจะไม่ค่อยเชื่อหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดแบบเสรีนิยม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 มีการวางแผนล่วงหน้า การขโมยคะแนนเสียงเลือกตั้งปี 2004 ตลอดจนการเลือกตั้งอื้อฉาวที่โอไฮโอและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนวัยเด็กกับภาวะออทิสซึม
เช่นกันฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารก็ไม่ค่อยเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดในแบบอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบารัค โอบามาไม่ได้เกิดในอเมริกา ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องลวงโลก และการออกกฎหมายประกันสุขภาพในปี 2010 ของรัฐบาลเกี่ยวกับการตัดสินใจให้ผู้คนยอมทำอัตนิวิบาตกรรมได้
ผู้คนที่คิดสวนกระแสก็จะเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด “โดยที่ไม่ใช้เป็นเรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด” นักวิจัยเขียน ทฤษฎีสมคบคิดนั้น “หลายทฤษฎีส่วนใหญ่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี (เช่น การนำเสนอเรื่องราว)” หรือแม้แต่การใช้เหตุผลของผู้คนที่ส่งเสริมหลักทฤษฎีไม่เพียงแค่หลักฐานเท่านั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า “อิทธิพลของการใช้คำธิบายกับการใช้อคติอย่างใดอย่างหนึ่งบ่อยครั้งมันก็ไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางข้อมูลเลย”
แต่ปัจจัยอื่นๆนั้นส่วนหนึ่งก็ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยนักวิจัยก็กล่าวว่า การส่งเสริมให้ผู้คนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอาจดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไร แต่มันก็เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ
“ประเมินได้ว่าพวกเราเองก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากเท่าไรนัก”
“เช่นกันพวกเราสามารถทำบางอย่างที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนิสัยใหม่หรือการพูดถึงข่าวเฟคนิว”
นักการศึกษาสามารถส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่โรงเรียนได้ และทางด้านนักหนังสือพิมพ์ก็สามารถ “เปิดการรับรู้ของพวกเขาได้ว่า จะต้องทำอะไร”
“กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรับรู้ข่าวสารก็คือ จะต้องกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความสงสัยมากขึ้น คุณจะต้องกระตุ้นให้ผู้คนคิดเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ไม่เพียงแค่คิดแบบลวกๆเท่านั้น แต่จะต้องทำให้ผู้บริโภคเกิดความสงสัยและนำไปสู่การเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อมีการเยาะเย้นขึ้นมาด้วยคำพูด พวกเขาก็เริ่มคิดแล้วว่า สิ่งที่พวกเขาเชื่อมันผิด เป็นข้อมูลที่ไม่คู่ควรต่อพวกเขา”
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com
งานวิจัยชี้ว่า ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดจะไม่ค่อยเชื่อในข้อมูลข่าวสาร
ยิ่งคุณรู้ข้อมูลข่าวสารมากเท่าไร ยิ่งทำให้คุณเริ่มไม่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมากขึ้น แม้คุณอาจจะเจอแรงยั่วยุทางการเมืองหรือไม่ก็ตาม
นักวิจัยได้ทำการสำรวจตัวอย่างกว่า 400 ตัวอย่างผ่านออน์ไลนในช่วงปี 2016 โดยทำการประเมินว่า พวกเขารับรู้ข้อมูลข่าวสารมากน้อยแค่ไหน โดยทำการประเมินความรู้ความเข้าใจจากข้อมูลข่าวสาร รวมไปถึงจิตวิทยาในการรับรู้และประมวลผลที่อาจมีความเชื่อมโยงกับทฤษฎีสมคบคิด
นักวิจัยพบว่า “คนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมักจะไม่ค่อยทำการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากเท่าไรนัก” เช่นกันพวกเขายังพบด้วยว่า “ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารในแต่ละประเภทนั้น พวกเขาเชื่อว่ามีการปกปิดความจริงอยู่ ไปจนถึงมีการผลิตข้อมูลข่าวสารไปตามบริบทแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งก็ไม่ค่อยดูเหมือนว่าพวกเขาจะเชื่อทฤษฎีสมคบคิดแบบหัวปักหัวปลำ
นักวิจัยเชื่อว่า ประเด็นนี้มีความเชื่อมโยงกันในช่วงแรก แต่ต่อมาก็พบสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นและชี้ให้เห็นว่า ทฤษฎีสมคบคิดมันมีความเชื่อมโยงในเรื่องของความเชื่อทางการเมืองส่วนบุคคลด้วย
งานวิจัยได้ทำการสอบถามผู้เข้าร่วมเกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด 10 อย่าง โดยมีการแยกเรื่องระหว่างมุมมองเสรีนิยมกับความเป็นอนุรักษ์นิยม เช่นกันก็มีการสอบถามเกี่ยวกับอุดมการณ์ความเชื่อของผู้เข้าร่วมด้วย
นักวิจัยพบว่า ฝ่ายเสรีนิยมที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารมักจะไม่ค่อยเชื่อหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดแบบเสรีนิยม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 มีการวางแผนล่วงหน้า การขโมยคะแนนเสียงเลือกตั้งปี 2004 ตลอดจนการเลือกตั้งอื้อฉาวที่โอไฮโอและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนวัยเด็กกับภาวะออทิสซึม
เช่นกันฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารก็ไม่ค่อยเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดในแบบอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบารัค โอบามาไม่ได้เกิดในอเมริกา ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องลวงโลก และการออกกฎหมายประกันสุขภาพในปี 2010 ของรัฐบาลเกี่ยวกับการตัดสินใจให้ผู้คนยอมทำอัตนิวิบาตกรรมได้
ผู้คนที่คิดสวนกระแสก็จะเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด “โดยที่ไม่ใช้เป็นเรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด” นักวิจัยเขียน ทฤษฎีสมคบคิดนั้น “หลายทฤษฎีส่วนใหญ่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี (เช่น การนำเสนอเรื่องราว)” หรือแม้แต่การใช้เหตุผลของผู้คนที่ส่งเสริมหลักทฤษฎีไม่เพียงแค่หลักฐานเท่านั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า “อิทธิพลของการใช้คำธิบายกับการใช้อคติอย่างใดอย่างหนึ่งบ่อยครั้งมันก็ไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางข้อมูลเลย”
แต่ปัจจัยอื่นๆนั้นส่วนหนึ่งก็ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยนักวิจัยก็กล่าวว่า การส่งเสริมให้ผู้คนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอาจดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไร แต่มันก็เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ
“ประเมินได้ว่าพวกเราเองก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากเท่าไรนัก”
“เช่นกันพวกเราสามารถทำบางอย่างที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนิสัยใหม่หรือการพูดถึงข่าวเฟคนิว”
นักการศึกษาสามารถส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่โรงเรียนได้ และทางด้านนักหนังสือพิมพ์ก็สามารถ “เปิดการรับรู้ของพวกเขาได้ว่า จะต้องทำอะไร”
“กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรับรู้ข่าวสารก็คือ จะต้องกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความสงสัยมากขึ้น คุณจะต้องกระตุ้นให้ผู้คนคิดเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ไม่เพียงแค่คิดแบบลวกๆเท่านั้น แต่จะต้องทำให้ผู้บริโภคเกิดความสงสัยและนำไปสู่การเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อมีการเยาะเย้นขึ้นมาด้วยคำพูด พวกเขาก็เริ่มคิดแล้วว่า สิ่งที่พวกเขาเชื่อมันผิด เป็นข้อมูลที่ไม่คู่ควรต่อพวกเขา”
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com