คิดต่างมุม : ฟุตบอลไม่ทำกำไร...แล้วบุรีรัมย์เข้าตลาดหุ้นทำไม?


บทความจาก กฤติกร ธนมหามงคล /Main Stand

โลกลูกหนัง ณ ปัจจุบันอาจยังไม่ได้มีชื่อสโมสรฟุตบอลอยู่ในตลาดหุ้นมากนัก แต่เพราะแบรนด์สโมสรฟุตบอลในยุโรป คือ องค์กร ที่จำเป็นต้องดำเนินธุรกิจไปทั่วโลก แน่นอนว่าตัวเลขของทีมจะเข้าไปปรากฏอยู่ในตลาดหุ้น หรือ Stock Exchange ก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต

ฐานข้อมูลปี 2016 ระบุว่ามีอยู่ 22 ทีมจากอังกฤษ, สก็อตแลนด์, เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน, ตุรกี, อิตาลี, โปรตุเกส, และฝรั่งเศส ที่เข้าไปอยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งพวกเหล่ายักษ์ใหญ่ในตลาดนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, ยูเวนตุส, อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, ปอร์โต, เฟเนร์บาห์เช เป็นต้น โดยทั้งหมดริเริ่มเข้ามาเมื่อปลายปี 1990 ‘s ถึง 2000 ‘s

“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมขวัญใจมหาชนโลกลูกหนังเข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 ใน London Stock Exchange ซึ่งการเข้าสู่ตลาดหุ้นของสโมสรฟุตบอลครั้งนั้นนับเป็นการกระโดดก้าวใหญ่ ของอุตสาหกรรมลูกหนัง นัยยะสำคัญ คือ การขยายสเกล (Scale) ของธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น  

ขณะที่ในเอเชียยังไม่มีสโมสรไหนอาจหาญกล้านำตัวเองเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น แต่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กวาดคว้าแชมป์มารวมแล้ว 20 ถ้วย ไทยลีก 5 สมัย แถมยังเคยคว้าแชมป์ 5 ถ้วยในปีเดียวมาแล้ว กำลังจะพาตัวเองเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งของธุรกิจลูกหนัง เพราะอะไร?… Main Stand จึงต้องมานั่งคุยกับทัดเทพ พิทักษ์พูลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า… ทำไม “ปราสาทสายฟ้า” ต้องเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น? เข้าไปแล้วได้อะไร? ใครจะมาซื้อหุ้นบุรีรัมย์? และผลประโยชน์ต่อภาพรวมฟุตบอลไทยล่ะ?

ความมั่นคง

“ถามว่าทำไมบุรีรัมย์ ต้องเข้าตลาดหุ้น ง่ายๆ คือ ประธานสโมสร (นายเนวิน ชิดชอบ) คิดว่าบริษัทนี้ ควรต้องเป็นสมบัติของลูกๆ ของท่าน และชาวบุรีรัมย์ ทั้งจังหวัด การจะอยู่ในมือของคนๆ เดียว มันคงไม่ยั่งยืน และฟุตบอลมันต้องเป็นธุรกิจ” ซีอีโอปราสาทสายฟ้า นั่งสบายๆในห้องของเขา พร้อมเริ่มพูดคุยกับทีมงาน Main Stand

“บุรีรัมย์ จะเป็นสโมสรแรกในเอเชียเลยนะ ที่จะได้เข้าตลาดหลักทรัพย์โดยสมบูรณ์ หากทำสำเร็จ” นายทัดเทพ เล่าต่อ

“...อย่างกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ (สโมสรจากไชนีส ซุเปอร์ลีก) อยู่ในกลุ่มธุรกิจ OTC หรือ Over the Counter ที่จีน (China’s New Third Market) ซึ่งเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยไม่ผ่านตลาดรองที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นสโมสรฟุตบอลที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างเต็มตัวทีมแรก คือ บุรีรัมย์ ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ เราก็ต้องทำให้บริษัทมั่นคง และยิ่งเมื่อเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำให้มั่นคง และยั่งยืนขึ้นอีก”

“ที่คนบอกว่าทำทีมฟุตบอล ไม่มั่นคง เพราะหลายๆทีมทำทีมฟุตบอลโดยหวังพึ่งแค่เรื่องของฟุตบอลล้วนๆ ถามว่าปีนี้บุรีรัมย์ ลงทุนเยอะที่สุดจะเป็นแชมป์ไหม? ก็ไม่ใช่ ฟุตบอลมันมีปัจจัยอื่นๆ มากกว่านั้น ฟุตบอลมันก็เหมือนกับฤดูกาลในแต่ละปี มีการเปลี่ยนแปลง ที่มีขึ้น-ลง แต่คำว่าธุรกิจ มันต้องหลากหลาย (Diversified) ตอบโจทย์คนได้ว่าสิ่งที่เราทำมันมีอะไรมากกว่าฟุตบอลในสนาม ไม่ใช่ว่า...ไม่ได้แชมป์ แล้วจะเป็นจุดจบ หรือสโมสรจะล่มสลาย เพราะฉะนั้น ต้องทำให้ฟุตบอลเป็นหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน”

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่