สวัสดีครับหายไปสักพักเลยกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา จากกระทู้ก่อนหน้า (
https://pantip.com/topic/38316900 ที่ผมได้มีการเตรียมก่อร่างสร้างตัว รีโนเวทบ้านตึกแถว 5 ชั้น สไตล์มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ และแล้วเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ผมก็ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง รื้อบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ (เอ้ะ คิดว่าเสร็จแล้ว....ยังนะครับบบ ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ) ผมจะขอมาทยอยแชร์ข้อมูลประสบการณ์รีโนเวทบ้าน
ช่วงเวลาดำเนินการหลังจากแพลนบ้านทั้งหมด 1 เดือนหลังจากวันที่เริ่มรีโนเวทบ้าน ผมได้เริ่มวางตารางงาน และมีการปรับเปลี่ยนบ้างตามจังหวะการทำงานของทีมช่าง ซึ่งมีความล่าช้า (ด้วยความพบเจอปัญหาระหว่างทาง) จึงมีการปรับเปลี่ยนลำดับงานใหม่ไว้ดังนี้ครับ
1. งานโครงสร้าง / งานเดินสายไฟ / งานพื้น
2. งานฝ้า / งานติดตั้งแสงสว่าง / ติดตั้งสวิสซ์ / ปลั๊ก
3. งานกระเบื้อง / งานทาสี
4. งานประตูเหล็ก / ประตูกระจก / หลังคา
5. งานบิ้วอิน ตกแต่งภายใน
6. งานเฟอร์นิเจอร์
ในช่วงแรกผมให้ช่างหลักประจำงานบ้านของผม คือช่างโครงสร้างทำการทุบ รื้อก่อนเลยครับ วันนั้นผมไปทำงาน ให้คุณแม่ผมช่วยดูงานให้ กลับมาผมนี่อึ้ง! ไปเลยครับ บ้านผม... กลายมาอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายมากพร้อมฝุ่นเครอะ พร้อมกับเศษซากของฝ้า พร้อมกับ สภาพเพดานที่มันดูโบ๋ว พร้อมกับสึกหรอพอสมควร ซึ่งบริเวณชั้น 4-5 นั้นพื้นระเบิดครับ!!! จำเป็นที่ต้องทุบทั้งชั้นเพื่อทำใหม่ เพราะหาทิ้งไว้พื้นจะทรุดลงไปถึงชั้นล่างๆ ต่อเนื่อง จะส่งผลให้บ้านที่ผมตั้งใจจะอยู่ยาวๆ

กลายเป็นพื้นที่อันตรายที่ไม่รู้จะถล่มเมื่อไหร่ พอรู้งี้แล้วไหนๆรู้แล้วให้ทุบเลยทำใหม่เลยครับบบบบ T_T

จะเห็นได้ว่าพื้นบ้านผมนั้น โบ๋ว ยาว ทะลุกันข้ามชั้นกันเลยทีเดียว และจากปัญหานี้ทำให้งานที่ผมวางแผนไว้นั้นเกิดงานที่เพิ่มเติมขึ้นมา ส่งผลให้การดำเนินงานล่าช้ากันไปด้วย
ระหว่างนี้ผมได้ปรึกษาทางช่างไฟว่าสามารถมาทำงานคู่กันได้ไหม ซึ่งจากการเช็คทั้งช่างดูแลโครงสร้าง และช่างไฟ ตอบชัดเจนว่าสามารถทำได้ ผมจึงเรียกช่างเดินสายไฟมาเลยครับ ซึ่งงานส่วนนี้ กลายเป็นงานในส่วนที่เร็วที่สุดเลยครับ พอดีผมโชคดีได้ช่างไฟที่คนสนิทแนะนำมาหลังจากที่ลองให้ผู้รับเหมาเข้ามาประเมินแล้ว ราคาต่างกันเกือบครึ่งเลยครับ ซึ่งน้าแกเป็นช่างไฟจริงๆ ที่เน้นทำงานให้กับตึกอพาร์ทเมนต์ และรับงานบ้านบ้างประปราย จากการแนะนำกันมาทำให้ผมได้เจอทีมงานของน้าช่างไฟ ทำงานเน้นเอาแค่ค่าแรงพอกินพอใช้ แกนิสัยน่ารัก กันเองดีครับ ผมต้องยอมรับว่าผมเองก็ได้รับคำแนะนำในการเลือกซื้อของเข้าบ้าน หรือความรู้ด้านนี้เป็นเกร็ดความรู้มาพอสมควรเลยครับ
วันแรกที่ทีมคุณน้าช่างไฟมา สิ่งแรกมาคือเจาะ และเลาะสายไฟเก่าออกเลยครับ (งานโครงสร้าง มาวันแรกก็ทุบ งานนี้ก็เจาะ ทำเอาผมใจหายกับสภาพบ้านผมในระหว่างทำกันไปเลยครับ 5555)

ซึ่งในงานส่วนของไฟฟ้า ผมขอแบ่งเป็น 3 หลักด้านล่างนี้นะครับ
1) เจาะ + เลาะ >> ทางทีมน้าช่างไฟ มาปุ้ป ไม่พูดไรเยอะ เจาะๆๆๆ เลาะๆๆๆ ไปเลยครับ จากภาพที่เห็นแกเลาะสายไฟเก่าออกมาเลย ซึ่งหากมองเรื่องความปลอดภัยแล้ว สายไฟที่ใช้งานนานๆแล้ว ก็เสื่อมสภาพไปซึ่งหากทำทั้งที ความปลอดภัยก็ต้องมาด้วย
2) เก็บรายละเอียด + เจาะช่องไฟสวิสซ์ ปลั๊ก แลนด์ ทีวี เคเบิล บลาๆๆๆ ทั้งหมด >> เพื่อเตรียมพร้อมในการเดินสายไฟ
3) เดินสายไฟ + ท่อคลุมสายไฟ >> เพื่อกันประจุไฟฟ้ารั่ว และเพื่อการเก็บสายให้เรียบร้อย ทางทีมน้าช่างไฟ ก็จัดแจงเดินสายไฟให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมพร้อมกับการติดตั้งในกระบวนการต่อไป

ต่อมา... มาถึงหน้าที่ของลูกบ้านอย่างเราละ เราต้องเตรียมของให้คุณน้าช่างไฟ เพราะดีลที่ผมได้มานั่น คือดีลที่เน้นเลือกสินค้าเอง ซึ่งทางช่างจะมีการแนะนำมาบ้าง หรือมาจากทางเพื่อนๆบ้าง ผมเลยสรุปในการเลือกซื้อเรื่องของงานไฟฟ้าและแสงสว่างทั้งหมดของบ้านผมโดยแบ่งออกมาเป็น 3 เรื่องหลักๆเลยนะครับ
1) เรื่องของสายไฟ
2) เรื่องของเบรคเกอร์
3) เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องของอุปกรณ์ย่อยๆ โดยแบ่งเป็น 2 เรื่องย่อยนะครับ
3.1) เรื่องของ อุปกรณ์ สวิสซ์ ปลั๊ก LAN และอื่นๆ
3.2) เรื่องของแสงสว่าง
1) สายไฟสำคัญไฉน?
เหตุผลที่ผมตั้งคำถามตรงนี้ เป็นคำถามที่ผมเกิดขึ้นในตอนแรกก่อนที่จะอยู่ในกระบวนการรีโนเวทบ้านครับ เนื่องจากช่างโครงสร้างได้ทุบ รื้องาน นั้นผมค้นพบเรื่องของโครงสร้างบ้านผมมีการสึกหรอ ส่วนที่เป็นโครงเหล็ก ก็เกิดน้ำซึม ตรงบริเวณห้องน้ำ ซึ่งมันได้เกิดการกัดกร่อนมานานปี ซึ่งพอทุบถึงได้รู้ว่า ส่วนนี้ได้เกิดสนิมผุพังไปแล้ว ซึ่งผมเลยคิดต่อเลย ถ้าเกิดวันนึงมันไปโดนสายไฟ และยิ่งหากมันเสื่อมสภาพไปแล้ว ไม่สามารถกันฉนวนไฟได้ เกิด
ช็อตขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า!! (บรื๋อออออออ) เมื่อช่างไฟเล่าแบบนี้แล้ว ผมนี่ยอมแต่ทำตามแต่โดยดีเลยครับ เพื่อความปลอดภัยของบ้านในระยะยาววววว
หลังจากที่ผมไป Home Pro ผมนี่งงเลยจ้า เดินไปชั้นขายสายไฟ ยืนดูอยู่ 5 นาที ไม่เข้าใจเลยมันต่างกันยังไง ดีที่ช่างไฟผม ให้ลายแทงให้ผมไปดูเอง ว่าถ้าไม่ติดเรื่องราคาจริงๆ ให้เลือก Thai Yazaki, BCC ซึ่งสองยี่ห้อนี้ทองแดงแทบไม่ต่างกันมาก แต่ต่างกันที่วัสดุที่มาหุ้มฉนวนและทองแดงของ ของ Thai Yazaki จะเหนียวกว่าและแข็งกว่า ผมจัดไปเลยครับ 6 ม้วน ส่วนสายอื่นๆถ้าจะดูว่าได้ มอก รึเปล่า อันนี้ต้องบอกก่อนว่าถ้าไมได้ มอก ก็นำออกมาขายอย่างถูกต้องไม่ได้ครับ ถือว่าผิดกฏหมาย (อันนี้ผมยอมรับเลยว่ามันหลากหลายมากๆ ถ้าไม่มีลายแทง การเลือกในครั้งนี้ของผมคงแย่ ^^”)

2) เรื่องของเบรคเกอร์ ?
อันนี้ต้องยอมรับว่า ผมเองรู้มาว่า เบรคเกอร์ก็สามารถเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลให้เกิดช้อตจนไหม้บ้านได้อย่างง่ายๆ (Damn Way to Die >> เพลงนี้ก็ลอยขึ้นมา 555) ซึ่งพอปรึกษาช่างไฟ ช่างก็บอกมาอย่างไม่ต้องนึกเลยครับว่า ลองเลือกดู จะใช้ ชไนเดอร์ รุ่นSquare D หรือจะใช้ Safe-T-Cut ก็ได้ คราวนี้ผมลองถามเพื่อนๆมัธยมที่เป็นวิศวะไฟฟ้ามา มันก็แนะนำมาอย่างแรก คือเลือกสินค้าที่เป็นกล่องเหล็กจะปลอดภัยกว่านะ หรือ ถ้าจะเลือกแบรนด์ก็ดู Schneider / Safe T-Cut / ABB ก็ได้ (เอาละครับ มาคราวนี้มียี่ห้อมาเพิ่มอีกอันละ -*-)
ช่วงนี้ผมกวนเพื่อนผม กับช่างไฟในการปรึกษาขอความช่วยเหลือกับเพื่อนพอสมควรเลยครับ แต่ถ้าให้คำแนะนำ ทั้งช่างไฟและเพื่อนของผม มันจะเหลือเพียงแค่ Schneider รุ่น Square D กับ Safe T-cut คราวนี้ผมเลยไปโฮมโปรแถวบ้าน ที่เดิม เลือกซื้อ Square D มาครับ ต้องยอมรับคือผมดูหน้าตาด้วย เพราะหน้าตาของตัวนี้ สำหรับผมมันดูคล้ายๆกับ LEGO คู่กับมาตรฐาน ซึ่งจริงๆผมมองเรื่องเคลมด้วย หากจะเคลม ต้องมีที่เคลมให้ชัดเจน ซึ่งแบรนด์ก็เป็นเรื่องที่ผมดูไปด้วย

รูปตู้เก่าผมครับ อายุมันก็แก่เต็มทีแล้ว

จะเห็นได้ว่า ตู้ Safe T-Cut จะมีเจ้าลูกเซอร์กิต มาให้เรียบร้อยเสร็จสรรพละ ในขณะที่ ตู้ Square D นั้น เป็นช่องโบ๋ว เลย ผมนี่เอ๊ะ!!! กลับบ้านไปตั้งหลักก่อน เพื่อถามเพื่อนผม กับช่างไฟก่อน
วันรุ่งขึ้น ช่างไฟผมถามผมว่าจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไรบ้าง ใช้ไฟเยอะแค่ไหน ผมก็มาค่อยๆสรุปกับน้าแกทีละจุดๆ จนได้รายการสั่งซื้อจนได้!! เป็นเอกฉันท์มากว่าผมคงต้องซื้อตู้ Square D จะดีกว่า เพราะเผื่ออนาคตต้องใช้ไฟเยอะขึ้น (พอดีแฟนผมชอบ Gadget มากเผื่อวันนึงแกมาลองของใหม่นู่นนี่นั่น ผมว่าเผื่อไว้ก่อนดีกว่า แหะๆ) แต่หลักๆที่น้าช่างไฟกังวลคือตัวของแอร์ เพราะฉะนั้น จะแยกเซอร์กิตของแอร์ให้มีกำลังไฟที่สูงหน่อย และตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้า กับแสงสว่างก็จะค่อยๆมีกำลังแอมป์ที่ต่ำลงไป
3) เรื่องของ อุปกรณ์ สวิสซ์ ปลั๊ก LAN และอื่นๆ >> ส่วนนี้ผมซื้อมาตอนแรกก่อนใครเพื่อนเลย ขอข้ามนะครับ หากใครยังไม่ได้อ่าน สามารถไปตามอ่านได้ ลิงค์นี้นะครับ (
https://pantip.com/topic/38316900)
ผมค้นพบว่า ตอนนี้ผมมีงานแก้คือเจาะไฟ เพื่อ
มาถึงตอนนี้แล้ว ผมก็เจอปัญหาเรื่องงานฝ้าอีกครับ เนื่องจากผมลองตีฝ้าแล้วมันเตี้ยลงเยอะเลย เพราะผมไม่คิดว่าการเดินสายไฟลอยมันส่งผลฝ้ามันเตี้ยลง ผมจึงมีแก้งานเดินไฟ เพื่อซ่อนไฟ เพื่อเตรียมติดตั้งฝ้า
ระหว่างนี้ ผมก็ดำเนินการเทปูน เจาะหน้าต่าง เพื่อเตรียมนำกระจกมาติดตั้ง ให้บ้านมีแสงสว่างธรรมชาติเข้าบ้าน และช่างผมมีไอเดียบรรเจิด อยากให้บ้านมีความแตกต่างขึ้น จึงคิดที่จะเติมไฟสปอร์ตไลท์ และเพิ่มส่วนของดาดฟ้าต่อไป เผื่ออนาคต เกิดอยากทำดาดฟ้าเป็นพื้นที่ปลูกผัก เป็นสวน ตากฝ้า หรือ ใช้สอยอื่นๆ ด้วยครับ หากมีความคืบหน้ายังไง ผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปนะครับ
หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยนะครับ และแนะนำผมหน่อยนะครับ อาจจะเวิ่นเว่อไปบ้าง แต่ผมมีโอกาสได้รีโนเวทบ้างอยากจะแชร์ให้ได้ในทุกพาร์ท เผื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อย และขอบคุณทุกคนที่อ่าน และติดตามกันมานะครับ ^^ ราตรีสวัสดิ์ครับ
[SR] เมื่อก่อร่างสร้างตัว งานบ้านก็ต้องมา ตอน...งานฝ้า และเดินสายไฟ
ช่วงเวลาดำเนินการหลังจากแพลนบ้านทั้งหมด 1 เดือนหลังจากวันที่เริ่มรีโนเวทบ้าน ผมได้เริ่มวางตารางงาน และมีการปรับเปลี่ยนบ้างตามจังหวะการทำงานของทีมช่าง ซึ่งมีความล่าช้า (ด้วยความพบเจอปัญหาระหว่างทาง) จึงมีการปรับเปลี่ยนลำดับงานใหม่ไว้ดังนี้ครับ
1. งานโครงสร้าง / งานเดินสายไฟ / งานพื้น
2. งานฝ้า / งานติดตั้งแสงสว่าง / ติดตั้งสวิสซ์ / ปลั๊ก
3. งานกระเบื้อง / งานทาสี
4. งานประตูเหล็ก / ประตูกระจก / หลังคา
5. งานบิ้วอิน ตกแต่งภายใน
6. งานเฟอร์นิเจอร์
ในช่วงแรกผมให้ช่างหลักประจำงานบ้านของผม คือช่างโครงสร้างทำการทุบ รื้อก่อนเลยครับ วันนั้นผมไปทำงาน ให้คุณแม่ผมช่วยดูงานให้ กลับมาผมนี่อึ้ง! ไปเลยครับ บ้านผม... กลายมาอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายมากพร้อมฝุ่นเครอะ พร้อมกับเศษซากของฝ้า พร้อมกับ สภาพเพดานที่มันดูโบ๋ว พร้อมกับสึกหรอพอสมควร ซึ่งบริเวณชั้น 4-5 นั้นพื้นระเบิดครับ!!! จำเป็นที่ต้องทุบทั้งชั้นเพื่อทำใหม่ เพราะหาทิ้งไว้พื้นจะทรุดลงไปถึงชั้นล่างๆ ต่อเนื่อง จะส่งผลให้บ้านที่ผมตั้งใจจะอยู่ยาวๆ
กลายเป็นพื้นที่อันตรายที่ไม่รู้จะถล่มเมื่อไหร่ พอรู้งี้แล้วไหนๆรู้แล้วให้ทุบเลยทำใหม่เลยครับบบบบ T_T
จะเห็นได้ว่าพื้นบ้านผมนั้น โบ๋ว ยาว ทะลุกันข้ามชั้นกันเลยทีเดียว และจากปัญหานี้ทำให้งานที่ผมวางแผนไว้นั้นเกิดงานที่เพิ่มเติมขึ้นมา ส่งผลให้การดำเนินงานล่าช้ากันไปด้วย
ระหว่างนี้ผมได้ปรึกษาทางช่างไฟว่าสามารถมาทำงานคู่กันได้ไหม ซึ่งจากการเช็คทั้งช่างดูแลโครงสร้าง และช่างไฟ ตอบชัดเจนว่าสามารถทำได้ ผมจึงเรียกช่างเดินสายไฟมาเลยครับ ซึ่งงานส่วนนี้ กลายเป็นงานในส่วนที่เร็วที่สุดเลยครับ พอดีผมโชคดีได้ช่างไฟที่คนสนิทแนะนำมาหลังจากที่ลองให้ผู้รับเหมาเข้ามาประเมินแล้ว ราคาต่างกันเกือบครึ่งเลยครับ ซึ่งน้าแกเป็นช่างไฟจริงๆ ที่เน้นทำงานให้กับตึกอพาร์ทเมนต์ และรับงานบ้านบ้างประปราย จากการแนะนำกันมาทำให้ผมได้เจอทีมงานของน้าช่างไฟ ทำงานเน้นเอาแค่ค่าแรงพอกินพอใช้ แกนิสัยน่ารัก กันเองดีครับ ผมต้องยอมรับว่าผมเองก็ได้รับคำแนะนำในการเลือกซื้อของเข้าบ้าน หรือความรู้ด้านนี้เป็นเกร็ดความรู้มาพอสมควรเลยครับ
วันแรกที่ทีมคุณน้าช่างไฟมา สิ่งแรกมาคือเจาะ และเลาะสายไฟเก่าออกเลยครับ (งานโครงสร้าง มาวันแรกก็ทุบ งานนี้ก็เจาะ ทำเอาผมใจหายกับสภาพบ้านผมในระหว่างทำกันไปเลยครับ 5555)
ซึ่งในงานส่วนของไฟฟ้า ผมขอแบ่งเป็น 3 หลักด้านล่างนี้นะครับ
1) เจาะ + เลาะ >> ทางทีมน้าช่างไฟ มาปุ้ป ไม่พูดไรเยอะ เจาะๆๆๆ เลาะๆๆๆ ไปเลยครับ จากภาพที่เห็นแกเลาะสายไฟเก่าออกมาเลย ซึ่งหากมองเรื่องความปลอดภัยแล้ว สายไฟที่ใช้งานนานๆแล้ว ก็เสื่อมสภาพไปซึ่งหากทำทั้งที ความปลอดภัยก็ต้องมาด้วย
2) เก็บรายละเอียด + เจาะช่องไฟสวิสซ์ ปลั๊ก แลนด์ ทีวี เคเบิล บลาๆๆๆ ทั้งหมด >> เพื่อเตรียมพร้อมในการเดินสายไฟ
3) เดินสายไฟ + ท่อคลุมสายไฟ >> เพื่อกันประจุไฟฟ้ารั่ว และเพื่อการเก็บสายให้เรียบร้อย ทางทีมน้าช่างไฟ ก็จัดแจงเดินสายไฟให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมพร้อมกับการติดตั้งในกระบวนการต่อไป
ต่อมา... มาถึงหน้าที่ของลูกบ้านอย่างเราละ เราต้องเตรียมของให้คุณน้าช่างไฟ เพราะดีลที่ผมได้มานั่น คือดีลที่เน้นเลือกสินค้าเอง ซึ่งทางช่างจะมีการแนะนำมาบ้าง หรือมาจากทางเพื่อนๆบ้าง ผมเลยสรุปในการเลือกซื้อเรื่องของงานไฟฟ้าและแสงสว่างทั้งหมดของบ้านผมโดยแบ่งออกมาเป็น 3 เรื่องหลักๆเลยนะครับ
1) เรื่องของสายไฟ
2) เรื่องของเบรคเกอร์
3) เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องของอุปกรณ์ย่อยๆ โดยแบ่งเป็น 2 เรื่องย่อยนะครับ
3.1) เรื่องของ อุปกรณ์ สวิสซ์ ปลั๊ก LAN และอื่นๆ
3.2) เรื่องของแสงสว่าง
1) สายไฟสำคัญไฉน?
เหตุผลที่ผมตั้งคำถามตรงนี้ เป็นคำถามที่ผมเกิดขึ้นในตอนแรกก่อนที่จะอยู่ในกระบวนการรีโนเวทบ้านครับ เนื่องจากช่างโครงสร้างได้ทุบ รื้องาน นั้นผมค้นพบเรื่องของโครงสร้างบ้านผมมีการสึกหรอ ส่วนที่เป็นโครงเหล็ก ก็เกิดน้ำซึม ตรงบริเวณห้องน้ำ ซึ่งมันได้เกิดการกัดกร่อนมานานปี ซึ่งพอทุบถึงได้รู้ว่า ส่วนนี้ได้เกิดสนิมผุพังไปแล้ว ซึ่งผมเลยคิดต่อเลย ถ้าเกิดวันนึงมันไปโดนสายไฟ และยิ่งหากมันเสื่อมสภาพไปแล้ว ไม่สามารถกันฉนวนไฟได้ เกิด
ช็อตขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า!! (บรื๋อออออออ) เมื่อช่างไฟเล่าแบบนี้แล้ว ผมนี่ยอมแต่ทำตามแต่โดยดีเลยครับ เพื่อความปลอดภัยของบ้านในระยะยาววววว
หลังจากที่ผมไป Home Pro ผมนี่งงเลยจ้า เดินไปชั้นขายสายไฟ ยืนดูอยู่ 5 นาที ไม่เข้าใจเลยมันต่างกันยังไง ดีที่ช่างไฟผม ให้ลายแทงให้ผมไปดูเอง ว่าถ้าไม่ติดเรื่องราคาจริงๆ ให้เลือก Thai Yazaki, BCC ซึ่งสองยี่ห้อนี้ทองแดงแทบไม่ต่างกันมาก แต่ต่างกันที่วัสดุที่มาหุ้มฉนวนและทองแดงของ ของ Thai Yazaki จะเหนียวกว่าและแข็งกว่า ผมจัดไปเลยครับ 6 ม้วน ส่วนสายอื่นๆถ้าจะดูว่าได้ มอก รึเปล่า อันนี้ต้องบอกก่อนว่าถ้าไมได้ มอก ก็นำออกมาขายอย่างถูกต้องไม่ได้ครับ ถือว่าผิดกฏหมาย (อันนี้ผมยอมรับเลยว่ามันหลากหลายมากๆ ถ้าไม่มีลายแทง การเลือกในครั้งนี้ของผมคงแย่ ^^”)
2) เรื่องของเบรคเกอร์ ?
อันนี้ต้องยอมรับว่า ผมเองรู้มาว่า เบรคเกอร์ก็สามารถเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลให้เกิดช้อตจนไหม้บ้านได้อย่างง่ายๆ (Damn Way to Die >> เพลงนี้ก็ลอยขึ้นมา 555) ซึ่งพอปรึกษาช่างไฟ ช่างก็บอกมาอย่างไม่ต้องนึกเลยครับว่า ลองเลือกดู จะใช้ ชไนเดอร์ รุ่นSquare D หรือจะใช้ Safe-T-Cut ก็ได้ คราวนี้ผมลองถามเพื่อนๆมัธยมที่เป็นวิศวะไฟฟ้ามา มันก็แนะนำมาอย่างแรก คือเลือกสินค้าที่เป็นกล่องเหล็กจะปลอดภัยกว่านะ หรือ ถ้าจะเลือกแบรนด์ก็ดู Schneider / Safe T-Cut / ABB ก็ได้ (เอาละครับ มาคราวนี้มียี่ห้อมาเพิ่มอีกอันละ -*-)
ช่วงนี้ผมกวนเพื่อนผม กับช่างไฟในการปรึกษาขอความช่วยเหลือกับเพื่อนพอสมควรเลยครับ แต่ถ้าให้คำแนะนำ ทั้งช่างไฟและเพื่อนของผม มันจะเหลือเพียงแค่ Schneider รุ่น Square D กับ Safe T-cut คราวนี้ผมเลยไปโฮมโปรแถวบ้าน ที่เดิม เลือกซื้อ Square D มาครับ ต้องยอมรับคือผมดูหน้าตาด้วย เพราะหน้าตาของตัวนี้ สำหรับผมมันดูคล้ายๆกับ LEGO คู่กับมาตรฐาน ซึ่งจริงๆผมมองเรื่องเคลมด้วย หากจะเคลม ต้องมีที่เคลมให้ชัดเจน ซึ่งแบรนด์ก็เป็นเรื่องที่ผมดูไปด้วย
จะเห็นได้ว่า ตู้ Safe T-Cut จะมีเจ้าลูกเซอร์กิต มาให้เรียบร้อยเสร็จสรรพละ ในขณะที่ ตู้ Square D นั้น เป็นช่องโบ๋ว เลย ผมนี่เอ๊ะ!!! กลับบ้านไปตั้งหลักก่อน เพื่อถามเพื่อนผม กับช่างไฟก่อน
วันรุ่งขึ้น ช่างไฟผมถามผมว่าจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไรบ้าง ใช้ไฟเยอะแค่ไหน ผมก็มาค่อยๆสรุปกับน้าแกทีละจุดๆ จนได้รายการสั่งซื้อจนได้!! เป็นเอกฉันท์มากว่าผมคงต้องซื้อตู้ Square D จะดีกว่า เพราะเผื่ออนาคตต้องใช้ไฟเยอะขึ้น (พอดีแฟนผมชอบ Gadget มากเผื่อวันนึงแกมาลองของใหม่นู่นนี่นั่น ผมว่าเผื่อไว้ก่อนดีกว่า แหะๆ) แต่หลักๆที่น้าช่างไฟกังวลคือตัวของแอร์ เพราะฉะนั้น จะแยกเซอร์กิตของแอร์ให้มีกำลังไฟที่สูงหน่อย และตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้า กับแสงสว่างก็จะค่อยๆมีกำลังแอมป์ที่ต่ำลงไป
3) เรื่องของ อุปกรณ์ สวิสซ์ ปลั๊ก LAN และอื่นๆ >> ส่วนนี้ผมซื้อมาตอนแรกก่อนใครเพื่อนเลย ขอข้ามนะครับ หากใครยังไม่ได้อ่าน สามารถไปตามอ่านได้ ลิงค์นี้นะครับ (https://pantip.com/topic/38316900)
ผมค้นพบว่า ตอนนี้ผมมีงานแก้คือเจาะไฟ เพื่อ
มาถึงตอนนี้แล้ว ผมก็เจอปัญหาเรื่องงานฝ้าอีกครับ เนื่องจากผมลองตีฝ้าแล้วมันเตี้ยลงเยอะเลย เพราะผมไม่คิดว่าการเดินสายไฟลอยมันส่งผลฝ้ามันเตี้ยลง ผมจึงมีแก้งานเดินไฟ เพื่อซ่อนไฟ เพื่อเตรียมติดตั้งฝ้า
ระหว่างนี้ ผมก็ดำเนินการเทปูน เจาะหน้าต่าง เพื่อเตรียมนำกระจกมาติดตั้ง ให้บ้านมีแสงสว่างธรรมชาติเข้าบ้าน และช่างผมมีไอเดียบรรเจิด อยากให้บ้านมีความแตกต่างขึ้น จึงคิดที่จะเติมไฟสปอร์ตไลท์ และเพิ่มส่วนของดาดฟ้าต่อไป เผื่ออนาคต เกิดอยากทำดาดฟ้าเป็นพื้นที่ปลูกผัก เป็นสวน ตากฝ้า หรือ ใช้สอยอื่นๆ ด้วยครับ หากมีความคืบหน้ายังไง ผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปนะครับ
หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยนะครับ และแนะนำผมหน่อยนะครับ อาจจะเวิ่นเว่อไปบ้าง แต่ผมมีโอกาสได้รีโนเวทบ้างอยากจะแชร์ให้ได้ในทุกพาร์ท เผื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อย และขอบคุณทุกคนที่อ่าน และติดตามกันมานะครับ ^^ ราตรีสวัสดิ์ครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้