กำเนิด “หนุมาน” ที่ปราสาทบันทายฉมาร์ Banteay Chhmar Temple ប្រាសាទបន្ទាយឆ្មារ

ภาพสลักบนหน้าบันด้านนอกชั้นใน บนซุ้มประตูเล็กข้างซุ้มประตูใหญ่ฝั่งทิศเหนือของอาคารหอพิธีกรรม ที่เป็นอาคารด้านหน้าสุดของ “หมู่ปราสาทบันทายฉมาร์” กำลังเล่าเรื่องราวสำคัญที่อาจไม่เคยปรากฏในงานศิลปะเขมรโบราณ จากปราสาทเทวาลัยในยุคก่อนหน้า

เรื่องราวของ “หนุมาน” (Hanuman) ปรากฏครั้งแรกในวรรณกรรมอินเดีย ตั้งแต่ราว 3,500 ปี ในบทสวด”คัมภีร์ฤคเวท” จนมาถึง “คัมภีร์ปุราณะ” อย่าง Mahabhagvata Purana, Skanda Purana, Brhaddharma Purana และ Mahanataka ในพุทธศตวรรษที่ 13 ที่กล่าวว่าตรงกันว่า หนุมานคืออวตารแห่งองค์พระศิวะ ครับ

แต่ใน “มหากาพย์รามายาณะ” Ramayana story (Sanskrit epic) หลายสำนวนในอินเดีย อย่างฉบับของ “วาลมิกิ” (Valmiki) หรือ “ศรีดาร์” (Shridhar) ในอินเดียใต้ ได้กล่าวถึงกำเนิดของหนุมาน ผู้มีบทบาทสำคัญในมหาวรรณกรรมนี้ไว้แตกต่างกันไป

ในบทประพันธ์ Eknath's Bhavartha Ramayana (ราวพุทธศตวรรษที่ 21) ได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ของพระวายุ (Vayu) จากวรรณกรรมเก่าแก่ ว่าเป็นผู้ที่ถ่ายทอดพลังของการกำเนิดไปยังมดลูกของนางอัญชนา หนุมานจึงถูกระบุว่าเป็นบุตรชายของพระวายุครับ

รามายณะในฉบับภาษาสันสกฤต ในสำนวนที่แพร่หลาย กล่าวถึงชื่อของนาง “อัญชนา”(Anjana) ผู้เคยเป็นนางอัปสรนามว่า “ปุญจิตราสถาระ” (Punjikasthala) มีความงามเป็นที่เลื่องลือ ชอบท่องเที่ยวอยู่บนสวรรค์ จนได้ลงมาที่โลก ได้พบกับ “วานรฤๅษี” (Vanara Sage - rishi) ที่กำลังบำเพ็ญตบะอยู่ ด้วยเพราะอ่อนเยาว์ในประสบการณ์ นางรู้สึกตลกขบขันที่เห็นวานรมานั่งบำเพ็ญตบะ

เท่านั้นยังไม่พอ นางกลับนึกสนุก โยนหินและผลไม้ใส่ศีรษะวานรฤๅษี ซึ่งทำให้การบำเพ็ญพรตนั้นต้องหยุดลง วานรฤๅษีโกรธนางมาก จึงกล่าวสาปนางว่า “"เมื่อเจ้าคิดว่าการเป็นวานรนั้นเป็นที่ตลกนัก เช่นนั้น เจ้าก็จงกลายเป็นวานรเช่นเดียวกับเรา....เถิด"

ด้วยอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์แห่งตบะของพระมุนี ทำให้นางปุญจิตราสถาระเกิดสำนึกผิด กราบลงแทบเท้าของพระมุนี และร้องห่มร้องไห้ “..ข้าได้กระทำผิดบาปแก่ท่านไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้แก่ข้า ถอนคำสาปอันทารุณนั้นด้วยเมตตาเถิด...”

ถึงแม้วานรฤๅษีจะเห็นใจในสำนึกความผิดของนางและให้อภัยแก่นาง แต่คำสาปจากตบะอันแรงกล้านั้น มิอาจฝากถอนได้โดยทันทีเหมือน ATM วานรฤๅษีจึงสาปซ้ำว่า คำสาปเดิมจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อนางอัปสราให้กำเนิดบุตรชาติแห่งอำนาจของพระศิวะ “..เจ้าจะเร่งภาวนาอธิษฐานขอแก่องค์มหาเทพเถิด..”

นางอัปสราปุญจิตราสถาระเร่ร่อนมาถึงริมแม่น้ำใหญ่ เมื่อก้มลงดื่มน้ำก็พบว่า ตนนั้นได้กลายร่างเป็นวานรไปเสียแล้ว ดังนั้นในทุกทิวาราตรี นางจึงได้กล่าวบูชานมัสการแก่องค์พระศิวะและพระแม่ปาราวตีอยู่มิได้ขาด

นางปุญจิตราสถาระ ในร่างวานรสาวออกท่องเที่ยวไปทั่วป่าใหญ่ มาจนถึงหมู่อาศรมที่พำนักของเหล่านักพรต นางได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “อัญชนา” (Anjana) และออกท่องเที่ยวในยามค่ำคืน จนเหล่านักพรตต่างตกใจ เพราะปกติแล้วจะไม่มีผู้ใดกล้าออกจากอาศรมในยามค่ำคืนอย่างเด็ดขาด

“...อัญชนา... เจ้าเป็นหญิงที่กล้าหาญมาก เพราะในป่าใหญ่นี้ มีอสูรนามว่า “Shambasadana” คอยออกอาละวาด เข่นฆ่าผู้คน ในอีกไม่นานนี้ มันจะมาทำลายอาศรมของพวกเรา..”

“..เราจะต้องช่วยกันต่อสู้กับมัน..” นางอัญชนากล่าวขึ้นแก่เหล่านักพรตด้วยความห้าวหาญ นางได้ทำพิธีบูชาพระศิวะและพระแม่ปารวตีเพื่อโปรดนำทางให้เธอไปสู่ชัยชนะ นางจึงได้รู้ว่าอสูร Shambasadana จะพ่ายแพ้แก่เลือดของตนเองเท่านั้น

เมื่อนางเธอกำลังหยิบอาวุธเพื่อต่อสู้ พลันได้เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังเตรียมอาวุธเพื่อต่อสู้เช่นกัน ชายคนนั้นเอาผ้าปิดบังใบหน้า เพื่อไม่ให้ผู้ใดมองหน้าเขา

ชายผู้นั้นมีร่างที่กำยำ มีบาดแผลตามตัวจากการต่อสู้มากมาย นางอัญชนารู้ดีว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นนักรบหรืออาจเป็นกษัตริย์ ... เขามาที่อาศรมนี้ เพื่อช่วยเหล่านักพรตฤๅษีต่อสู้กับอสูรอย่างแน่นอน เมื่อมีโอกาสพูดคุย นางก็พบว่า ชายผู้นั้นก็เป็นวานร...และเป็นกษัตริย์จริง ๆ

“...เรามีนามว่า “เกสรี” (Kesarin - Kesari) ข้าได้ยินมาว่า เจ้ากำลังจะสู้กับอสูร ณ ที่นี่ มันเป็นความกล้าหาญมากสำหรับสตรี แต่ในฐานะกษัตริย์ของหมู่วานรและอาศรมนี้ก็อยู่ภายในอาณาจักรของข้า ดังนั้นข้าก็จะต้องทำหน้าที่ปกป้องผู้คนและวานรเหล่านี้ เช่นกัน...”

คำพูดอันห้าวหาญของท้าวเกสรีนั้น ได้เข้าไปถึงก้นบึ่งหัวใจของนางอัญชนาในทันที

เมื่ออสูรบุกเข้ามา จึงเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด อสูรสามารถพลิกตัวเปลี่ยนร่างได้ก่อนที่ท้าวเกสรีจะทำร้ายมันได้ จึงไม่มีผู้ใดทำร้ายอสูรได้เลย แต่ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของท้าวเกสรี ที่เข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยง ทุบอสูรจะเลือดไหลลงสู่พื้นดิน นางอัญชนาจึงลองจุ่มลูกศรลงในเลือดของอสูร ยิงใส่อสูรด้วยธนู ลูกธนูเจาะปักที่ร่างจนอสูรร้ายร้องโอดครวญ เมื่อเห็นเช่นนั้น ท้าวเกสรีจึงสั่งให้พลวานร เอาลูกธนูจุ่มเลือดของอสูร แล้วระดมยิงใส่จนอสูรล้มลง

ท้าวเกสรีหยิบหอกจุ่มเลือดอสูร จ้วงแทงเข้าที่หัวใจ อสูรจึงสิ้นชีพและมลายหายไป

ผู้คน วานรและสรรพสัตว์ในป่าอาศรมต่างยินดีและพากันเฉลิมฉลอง ในคืนนั้นเอง เหล่านักพรตขอให้นางอัญชนาแต่งงานกับท้าวเกสรี ซึ่งนางก็ยินดี เพราะทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมในความกล้าหาญและเสียสละซึ่งกันและกันอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

ท้าวเกสรี และนางอัญชนา ต่างยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุข ในวันพิธีสยุมพรอันเป็นมหามงคล ครับ

หลังจากการแต่งงาน ท้าวเกสรีได้รับรู้ถึงคำสาปที่ติดตัวมากับนางอัญชนา ทั้งคู่ต่างเดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระศิวะมหาเทพและพระแม่ปารวตีอยู่เสมอ ในทุกวันทั้งคู่จะร่วมกันสวดภานาขอให้ทรงเมตตาประทานบุตรชาติอันมีอานุภาพเฉกเช่นกับองค์ศิวะให้แก่นาง

ซึ่งเมื่อถึงเวลาแห่งการอวตารของพระวิษณุ ในศึกกรุงลงกา พระศิวะก็ทรงตอบรับคำขอและประทานพรให้แก่คำสวดภาวนา “เชื้อพันธุ์แห่งบุตรชาติของข้า จะไปกำเนิดแก่เจ้าด้วยข้าวปายาสอันศักดิ์สิทธิ์”

ขณะนั้น ที่กรุงอโยธยา (Ayodhya) “ท้าวทศรถ” (King Dasaratha) กำลังทำพิธีบูชาไฟ "บุตราคามมิสตี ยัชญะ” (Putrakameshti yagna) เพื่อขอบุตร โดยได้อัญเชิญ พระฤาษีฤษยศฤงค์ พระฤาษีวสิษฐ์ พระฤาษีชาวาลี พระฤาษีสุยัชนา และพระฤาษีวาสุเทพ ร่วมเป็นประธานในพิธี เกิดเป็นบุรุษถือ “ข้าวปายาส” (payasam) ขึ้นมาจากกองไฟครับ

ในขณะที่ท้าวทศรถกำลังมอบข้าวปายาส ให้แก่มเหสีทั้ง 3 นางสุมิตรา นางเกาศัลยา และนางไกยเกยี ปรากฏว่ามี “นก” ร่อนลงมาโฉบขโมยข้าวปายาสไปก้อนหนึ่งจากนางสุมิตราและบินหนีออกไป

นกที่ขโมยข้าวปายาส แท้จริงก็เคยเป็นนางอัปสราบนสวรรค์ นามว่า “สุวารชาลา” (Suvarchala) นางได้กระทำผิดเพราะอารมณ์ร้อน พระพรหมจึงสาปให้นางกลายเป็นนก นางสำนึกผิดแต่ก็ไม่สามารถถอนคำสาปได้ พระพรหมจึงกำกับคำสาปขึ้นใหม่ว่า หากนางไปนำข้าวปายาสมาจากท้าวทศรถเพื่อนำไปให้แก่นางอัญชนา นางจึงจะหลุดพ้นจากคำสาป

เมื่อนกนำข้าวปายาสมาได้ นางจึงกลับคืนเป็นอัปสราสู่สวรรค์ ข้าวศักดิ์สิทธิ์จึงยังไม่ไปถึง “พระวายุเทพ” (Vayu) ได้รับคำสั่งจากพระศิวะ ให้นำข้าวปายาสนั้นไปให้ถึงมือ ของนางอัญชนาและท้าวเกสรีที่กำลังสวดภาวนาอยู่ ซึ่งพระวายุได้พัดให้ขนมปายาสชิ้นนั้นตกลงมาที่มือของนางพอดี

“จงทานขนมปายาสนี้เสียเถิด เพราะนี่คือเชื้อแห่งบุตรชาติขององค์มหาเทพและพลังแห่งเรา ที่จะนำมาซึ่งบุตรอันเกรียงไกรให้แก่เจ้า” เสียงกระซิบจากสายลมเบา ๆ ดังประจักษ์ขึ้นแก่ทั้งคู่

ท้าวเกสรีมองนางอัญชนาที่กำลังกลืนกินข้าวปายาสด้วยความปลื้มปิติใจ และไม่นานนัก นางอัญชนาก็ได้ให้กำเนิดบุตร นามว่า “หนุมาน” นางจึงกลับคืนสู่นางอัปสราที่แสนงดงามอีกครั้ง และเลือกที่จะคงครองรักอยู่กับท้าวเกสรี โดยไม่คืนกลับสู่สวรรค์

หนุมาน จึงมีชื่อตามกำเนิดหลายนาม อย่าง “รุทรา” (Rudra) อันเป็นพระนามแห่งพระศิวะ “ชานการ์ สุวัณ”(Shankar Suvan) ผู้เกิดจากบุญ (แห่งพระศิวะ) “อัญชานียา”(Anjaneya) บุตรแห่งนางอัญชา “ปาวันบุตรา” (Pavan putra) และ "วายุบุตร" บุตรแห่งวายุ หรือ “เกสรินันดาน” (Kesharinandan) บุตรแห่งเกสรี

ภาพสลักกำเนิดแห่งหนุมานที่ปราสาทบันทายฉมาร์ ปรากฏภาพของ “มหาฤๅษีนาทรมุนี” (ฤๅษีนารอด) กำลังบรรเลงเพลงจากเสียงพิณเป็นโศลกอันศักดิ์สิทธิ์ บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิด ของหนุมานจาก 3 บิดา “ท้าวเกสรี (หน้าวานร) พระศิวะมหาเทพ (ครองตรีศูล) และพระวายุหรือพระพาย (ผู้ถือธนู “วายุอัสตรา” เป็นสัญลักษณ์) โดยมีภาพของนางปุญจิตราสถาระ หรือ นางอัญชนา ผู้เป็นมารดา แสดงการสาธุการ สวดภาวนาอยู่เคียงข้างครับ

วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
เพราะทุกที่มีเรื่องราวและเรื่องเล่า

https://www.facebook.com/search/top/?q=%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C&epa=SEARCH_BOX
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่