Update
เข้าใจละครับ ผมคำนวณขาดกฏข้อนี้ไป ขอคุณ ค.ห. 2 มากครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/643289
6.4 ถ้าพรรคการเมืองใดมีผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตฯเท่ากับหรือสูงกว่าจำนวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม 6.2 ให้พรรคการเมืองนั้นมี ส.ส.ตามจำนวนที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตฯ และไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบparty listและให้นำจำนวน ส.ส.แบบparty listไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตฯต่ำกว่าจำนวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม 6.2 ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมี ส.ส.เกินจำนวนที่จะพึงมีได้ตาม 6.2
ป.ล. กำลังเดาว่าคนที่คิดกฎข้อนี้เค้ามีจุดประสงค์อะไร
------------------------------------------------------------------------------
พยายามอ่านข้อดีข้อเสียของการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่กำลังจะใช้ เห็นนักวิชาการหลายท่านแสดงความเห็นว่าจะเป็นการเอื้อให้พรรคเล็กได้มี ส.ส. เพิ่มขึ้น และพรรคใหญ่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิตส์น้อยลง
ตัวอย่างเช่น ข้อความ จากเว็บนี้
https://thestandard.co/election-2561-and-voting-explained/ กล่าวว่า ...
*********************************
ขณะที่ ณัชชาภัทร อมรกุล นักวิชาการชำนาญการ สถาบันพระปกเกล้า รวบรวมข้อวิจารณ์ การเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสมไว้ดังนี้
...
4. ผลการเลือกตั้งอาจบิดเบือนเจตนารมณ์ของผู้ออกเสียง
พรรคที่ได้เสียงข้างมากในเขตเลือกตั้ง อาจไม่ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
5. ลดความสำคัญของการออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะจะไปหรือไม่ไปเลือกตั้งก็
จะได้แต่พรรคที่มีคะแนนเสียงกลางๆ แม้คะแนนเสียงตัวเองจะไม่ได้ตกน้ำ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล
6. ผลการเลือกตั้งกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก เพราะ
พรรคที่ได้รับ ส.ส. แบบแบ่งเขตมาก จะเหลือที่สำหรับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อน้อยลง โอกาสในการก่อตั้งรัฐบาลจากพรรคผสมค่อนข้างสูง และการที่ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากอาจเปิดโอกาสให้บุคคลที่สาม หรือ ‘คนนอก’ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
*********************************
ส่วนเว็บนี้
https://news.mthai.com/politics-news/479500.html บอกว่า
*********************************
โดยนายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2540 ได้กล่าวสรุป ...
...
3. ทำให้พรรคที่ได้รับเลือกตั้ง
ส.ส.เขตมีจำนวนมากเท่าไร โอกาสที่จะได้ที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อก็ลดน้อยลงเท่านั้น ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง
*********************************
ผมพยายามคิดตามแล้ว ไม่เห็นเป็นจริงดังว่าเลยครับ
ผมขอยกตัวอย่างข้อมูลง่ายๆ นะครับ สมมติว่าการเลือกตั้งมีข้อมูลดังนี้
1. จำนวนคะแนน vote ทั้งหมด 500 เสียง
2. พรรคการเมืองที่ลงสมัครได้แก่ ก. ข. ค. ง.
3. เขตเลือกตั้งทั้งหมดได้แก่ A B C D E แต่ละเขตมีคะแนน vote ทั้งหมด 100 เสียงเท่ากัน
4. จำนวนที่นั่งในสภา ทั้งหมด 10 เสียง แบ่งเป็น แบ่งเขต 5 ที่นั่ง และปาร์ตี้ลิสต์ 5 ที่นั่ง
5. คะแนน vote หลังจากปิดหีบเป็นดังตารางต่อไปนี้
------- | -- A -- | -- B -- | -- C -- | -- D -- | -- E -- |
-- ก. -- | -- 90 -- | -- 90 -- | -- 90 -- | -- 90 -- | -- 90 -- |
-- ข. -- | -- 5 -- | -- 4 -- | -- 10 -- | -- 0 -- | -- 5 -- |
-- ค. -- | -- 4 -- | -- 5 -- | -- 0 -- | -- 5 -- | -- 0 -- |
-- ง. -- | -- 1 -- | -- 1 -- | -- 0 -- | -- 5 -- | -- 5 -- |
จากตารางจะเห็นว่า พรรค ก. มีคะแนน vote 90 เสียงทุกๆ เขต
ลองคำนวณตามวิธีการในข่าว จะได้
1. จำนวนเสียงต่อ 1 ที่นั่ง = 500/10 = 50
2. จำนวน ส.ส. เขตของพรรค ก. = 5
3. คะแนน vote โดยรวมของพรรค ก. = 90 + 90 + 90 + 90 + 90 = 450
4. จำนวน ส.ส. พึงมีของพรรค ก. = 450/50 = 9
5. จำนวน ส.ส ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค ก. = 9 - 5 = 4 คน
จะเห็นได้ว่า พรรคที่ได้ จำนวน ส.ส. เขต มาก ไม่ได้หมายความว่าจะได้ ปาร์ตี้ลิสต์น้อย แต่จำนวน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นอยู่กับคะแนน vote โดยรวมของทั้งประเทศ
อีกสักตัวอย่างนะครับ
------- | -- A -- | -- B -- | -- C -- | -- D -- | -- E -- |
-- ก. -- | -- 45 -- | -- 45 -- | -- 45 -- | -- 45 -- | -- 45 -- |
-- ข. -- | -- 50 -- | -- 50 -- | -- 0 -- | -- 0 -- | -- 50 -- |
-- ค. -- | -- 0 -- | -- 0 -- | -- 50 -- | -- 50 -- | -- 0 -- |
-- ง. -- | -- 5 -- | -- 5 -- | -- 5 -- | -- 5 -- | -- 5 -- |
พรรค ก. ได้ ส.ส. เขต 0 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((45 + 45 + 45 + 45 + 45) / 50) - 0 = 4.5 --> ตีเป็น 4 คน
พรรค ข. ได้ ส.ส. เขต 3 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((50 + 50 + 0 + 0 + 50) / 50) - 3 = 3 - 3 = 0 คน
พรรค ค. ได้ ส.ส. เขต 2 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((0 + 0 + 50 + 50 + 0) / 50) - 3 = 2 - 3 = -1 --> ตีเป็น 0 คน
พรรค ค. ได้ ส.ส. เขต 0 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((5 + 5 + 5 + 5 + 5) / 50) - 0 = 0.5 --> ตีเป็น 0 คน
จะเห็นว่า
1. พรรค ก. และ พรรค ค. ได้ ส.ส. เขต 0 คนเหมือนกัน แต่จำนวน ปาร์ตี้ลิสต์ต่างกัน เพราะคะแนน พรรค ก. มีคะแนนโดยรวมมากกว่า -- ซึ่งหมายความว่าข้อความที่ว่า
พรรคที่ได้รับ ส.ส. แบบแบ่งเขตมาก จะเหลือที่สำหรับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อน้อยลง นั้นไม่เป็นความจริง
2. การที่ พรรค ข. ได้ปาร์ตี้ลิสต์น้อย ไม่ได้เป็นเพราะมี ส.ส. เขตมาก แต่เป็นเพราะ
จำนวน ส.ส. เขตมีสัดส่วนสอดคล้องกับคะแนน vote โดยรวมอยู่แล้ว
3. พรรค ก. แม้จะได้ ส.ส. เขต 0 คน แต่ได้เป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะ พรรคก็ได้คะแนนเสียงโดยรวมมากที่สุด มิได้ขัดกับหลักการเสียงข้างมากอย่างที่บางเว็บกล่าวไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
https://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1446049305
ข้อดีของระบบดังกล่าวอาจทำให้เสียงข้างน้อยไม่ถูกทิ้ง แต่เป็นการทำลายหลักเสียงข้างมาก และบิดเบือนผลการเลือกตั้งได้
ปล.
ผมลองคิดเล่นๆ โดยสมมติว่าไม่มีเรื่องพรรค พปชร สืบทอดอำนาจ, เรื่อง ส.ว. เลือกนายก และ หมายเลขจับสลาก -- ผมเห็นว่าการเลือกแบบจัดสรรปันส่วนแบบนี้มันก็มีเหตมีผลดีนะครับ ใช้แก้ปัญหาเสียง
ข้างน้อยในระดับเขตที่พอนำมารวมกันแล้วกลับกลายเป็นเสียงข้างมากในระดับประเทศ ได้
งงครับ การเลือกตั้ง 2562 ที่ว่า "พรรคที่ได้ส.ส.เขตมากจะได้ปาร์ตี้ลิสต์น้อย" คำนวณกันยังไง
เข้าใจละครับ ผมคำนวณขาดกฏข้อนี้ไป ขอคุณ ค.ห. 2 มากครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ป.ล. กำลังเดาว่าคนที่คิดกฎข้อนี้เค้ามีจุดประสงค์อะไร
------------------------------------------------------------------------------
พยายามอ่านข้อดีข้อเสียของการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่กำลังจะใช้ เห็นนักวิชาการหลายท่านแสดงความเห็นว่าจะเป็นการเอื้อให้พรรคเล็กได้มี ส.ส. เพิ่มขึ้น และพรรคใหญ่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิตส์น้อยลง
ตัวอย่างเช่น ข้อความ จากเว็บนี้ https://thestandard.co/election-2561-and-voting-explained/ กล่าวว่า ...
*********************************
ขณะที่ ณัชชาภัทร อมรกุล นักวิชาการชำนาญการ สถาบันพระปกเกล้า รวบรวมข้อวิจารณ์ การเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสมไว้ดังนี้
...
4. ผลการเลือกตั้งอาจบิดเบือนเจตนารมณ์ของผู้ออกเสียง พรรคที่ได้เสียงข้างมากในเขตเลือกตั้ง อาจไม่ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
5. ลดความสำคัญของการออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะจะไปหรือไม่ไปเลือกตั้งก็จะได้แต่พรรคที่มีคะแนนเสียงกลางๆ แม้คะแนนเสียงตัวเองจะไม่ได้ตกน้ำ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล
6. ผลการเลือกตั้งกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก เพราะพรรคที่ได้รับ ส.ส. แบบแบ่งเขตมาก จะเหลือที่สำหรับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อน้อยลง โอกาสในการก่อตั้งรัฐบาลจากพรรคผสมค่อนข้างสูง และการที่ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากอาจเปิดโอกาสให้บุคคลที่สาม หรือ ‘คนนอก’ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
*********************************
ส่วนเว็บนี้ https://news.mthai.com/politics-news/479500.html บอกว่า
*********************************
โดยนายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2540 ได้กล่าวสรุป ...
...
3. ทำให้พรรคที่ได้รับเลือกตั้ง ส.ส.เขตมีจำนวนมากเท่าไร โอกาสที่จะได้ที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อก็ลดน้อยลงเท่านั้น ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง
*********************************
ผมพยายามคิดตามแล้ว ไม่เห็นเป็นจริงดังว่าเลยครับ
ผมขอยกตัวอย่างข้อมูลง่ายๆ นะครับ สมมติว่าการเลือกตั้งมีข้อมูลดังนี้
1. จำนวนคะแนน vote ทั้งหมด 500 เสียง
2. พรรคการเมืองที่ลงสมัครได้แก่ ก. ข. ค. ง.
3. เขตเลือกตั้งทั้งหมดได้แก่ A B C D E แต่ละเขตมีคะแนน vote ทั้งหมด 100 เสียงเท่ากัน
4. จำนวนที่นั่งในสภา ทั้งหมด 10 เสียง แบ่งเป็น แบ่งเขต 5 ที่นั่ง และปาร์ตี้ลิสต์ 5 ที่นั่ง
5. คะแนน vote หลังจากปิดหีบเป็นดังตารางต่อไปนี้
------- | -- A -- | -- B -- | -- C -- | -- D -- | -- E -- |
-- ก. -- | -- 90 -- | -- 90 -- | -- 90 -- | -- 90 -- | -- 90 -- |
-- ข. -- | -- 5 -- | -- 4 -- | -- 10 -- | -- 0 -- | -- 5 -- |
-- ค. -- | -- 4 -- | -- 5 -- | -- 0 -- | -- 5 -- | -- 0 -- |
-- ง. -- | -- 1 -- | -- 1 -- | -- 0 -- | -- 5 -- | -- 5 -- |
จากตารางจะเห็นว่า พรรค ก. มีคะแนน vote 90 เสียงทุกๆ เขต
ลองคำนวณตามวิธีการในข่าว จะได้
1. จำนวนเสียงต่อ 1 ที่นั่ง = 500/10 = 50
2. จำนวน ส.ส. เขตของพรรค ก. = 5
3. คะแนน vote โดยรวมของพรรค ก. = 90 + 90 + 90 + 90 + 90 = 450
4. จำนวน ส.ส. พึงมีของพรรค ก. = 450/50 = 9
5. จำนวน ส.ส ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค ก. = 9 - 5 = 4 คน
จะเห็นได้ว่า พรรคที่ได้ จำนวน ส.ส. เขต มาก ไม่ได้หมายความว่าจะได้ ปาร์ตี้ลิสต์น้อย แต่จำนวน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นอยู่กับคะแนน vote โดยรวมของทั้งประเทศ
อีกสักตัวอย่างนะครับ
------- | -- A -- | -- B -- | -- C -- | -- D -- | -- E -- |
-- ก. -- | -- 45 -- | -- 45 -- | -- 45 -- | -- 45 -- | -- 45 -- |
-- ข. -- | -- 50 -- | -- 50 -- | -- 0 -- | -- 0 -- | -- 50 -- |
-- ค. -- | -- 0 -- | -- 0 -- | -- 50 -- | -- 50 -- | -- 0 -- |
-- ง. -- | -- 5 -- | -- 5 -- | -- 5 -- | -- 5 -- | -- 5 -- |
พรรค ก. ได้ ส.ส. เขต 0 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((45 + 45 + 45 + 45 + 45) / 50) - 0 = 4.5 --> ตีเป็น 4 คน
พรรค ข. ได้ ส.ส. เขต 3 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((50 + 50 + 0 + 0 + 50) / 50) - 3 = 3 - 3 = 0 คน
พรรค ค. ได้ ส.ส. เขต 2 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((0 + 0 + 50 + 50 + 0) / 50) - 3 = 2 - 3 = -1 --> ตีเป็น 0 คน
พรรค ค. ได้ ส.ส. เขต 0 คน และได้ ปาร์ตี้ลิสต์ = ((5 + 5 + 5 + 5 + 5) / 50) - 0 = 0.5 --> ตีเป็น 0 คน
จะเห็นว่า
1. พรรค ก. และ พรรค ค. ได้ ส.ส. เขต 0 คนเหมือนกัน แต่จำนวน ปาร์ตี้ลิสต์ต่างกัน เพราะคะแนน พรรค ก. มีคะแนนโดยรวมมากกว่า -- ซึ่งหมายความว่าข้อความที่ว่า พรรคที่ได้รับ ส.ส. แบบแบ่งเขตมาก จะเหลือที่สำหรับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อน้อยลง นั้นไม่เป็นความจริง
2. การที่ พรรค ข. ได้ปาร์ตี้ลิสต์น้อย ไม่ได้เป็นเพราะมี ส.ส. เขตมาก แต่เป็นเพราะ จำนวน ส.ส. เขตมีสัดส่วนสอดคล้องกับคะแนน vote โดยรวมอยู่แล้ว
3. พรรค ก. แม้จะได้ ส.ส. เขต 0 คน แต่ได้เป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะ พรรคก็ได้คะแนนเสียงโดยรวมมากที่สุด มิได้ขัดกับหลักการเสียงข้างมากอย่างที่บางเว็บกล่าวไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล.
ผมลองคิดเล่นๆ โดยสมมติว่าไม่มีเรื่องพรรค พปชร สืบทอดอำนาจ, เรื่อง ส.ว. เลือกนายก และ หมายเลขจับสลาก -- ผมเห็นว่าการเลือกแบบจัดสรรปันส่วนแบบนี้มันก็มีเหตมีผลดีนะครับ ใช้แก้ปัญหาเสียง ข้างน้อยในระดับเขตที่พอนำมารวมกันแล้วกลับกลายเป็นเสียงข้างมากในระดับประเทศ ได้