เพื่อนเป็นแบบนี้ หรือเราคิดมากเองคะ

กระทู้คำถาม
เรามีเพื่อนอยู่คนนึงค่ะ คบกับมาตั้งแต่สมัยมัธยม ให้ชื่อเล่นว่า บีละกันนะคะ เป็นเพื่อนผู้หญิงค่ะ เราเจอบีตอนเรียนชั้นม.ต้นเลยค่ะ เรารู้สึกถูกชะตากันมาก สนิทกันเร็วมาก ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด ลงเรียนพิเศษก็เรียนด้วยกัน กินข้าวกลางวันก็กินด้วยกัน เดินจับมือกันเลย แต่เราเป็นเพื่อนนะคะ ไม่ต้องคิดไกลกันค่ะ ในกลุ่มเราก็จะมีคนอื่นอีก 4-5 คน แต่เรารู้สึกสนิทกับบีมากที่สุด คุยได้ทุกเรื่องค่ะ บีเป็นคนเรียนเก่ง หัวดี เพราะทั้งพ่อและแม่เป็นครูข้าราชการทั้งคู่ ผิดกับเราที่หัวระดับปานกลาง แต่ติดโผได้เข้าไปอยู่ในห้องพิเศษ เรียนกับคนเก่งๆค่ะ แต่เราก็เปรียบได้ว่าเป็นแค่หางสิงโตแหละค่ะ แต่เราก็เรียนๆไป เน้นเรียนพิเศษเอาค่ะ

วันนึงเป็นช่วงหลังสอบกลางภาค ครูก็ประกาศคะแนน ในส่วนวิชาภาษาอังกฤษนั้นเราได้คะแนนค่อนข้างดีค่ะ คงเพราะชอบภาษาอังกฤษ ดูหนัง ฟังเพลงบ่อย ที่สำคัญคืออยากพูดกับฝรั่ง เลยตั้งใจมาก แต่คะแนนของบีออกมาน้อยกว่าเราไปนิดหน่อย ก็ไม่เยอะนะคะ ต่างกันน่าจะไม่ถึง 5 คะแนน พอบีได้ยินครูประกาศแล้วรู้ว่าคะแนนน้อยกว่าเรา ก็เริ่มหงอยค่ะ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้รับรู้อาการเพื่อน จนพอพักกลางวันบีก็มานั่งข้างสนามฟุตบอลค่ะ เราก็เฮฮาปกติ บีเริ่มเงียบ สักพักมีน้ำตา เราก็งงอ่ะดิคะ

"เฮ้ย! บี เป็นไรป่าว ร้องไห้ไมอ่ะ"

บีหันมามองหน้าเรา

"เรามันโง่ เราเรียนไม่เก่ง ภาษาอังกฤษเราได้คะแนนน้อยมากเลย ทำไงดี เราไม่อยากเรียน ไม่ชอบแล้ววิชานี้"

เราก็ปลอบเพื่อนไปค่ะ ทั้งๆที่จริงๆแล้วคะแนนบีไม่ได้ด้อยหรอกค่ะ ผ่านครึ่งมาก็ถือว่าโอแล้ว ผ่านวันนั้นมาบีก็ ไม่เคยร้องไห้ให้วิชาภาษาอังกฤษอีกค่ะ แต่บีขยันมากขึ้น เฉพาะอังกฤษนะคะ เพราะวิชาอื่น นางเก่งอยู่แล้ว ตอนแรกให้เราติวให้ จนวันสอบมาถึง ก็เป็นอย่างที่บีต้องการค่ะ คะแนนอังกฤษสูงเลย สูงกว่าเรา ซึ่งเราก็ดีใจที่เพื่อนพัฒนาตัวเองได้ขนาดนี้

ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เราสังเกตค่ะ หลังจากนั้นมาเราก็คบกันตามปกติค่ะ

พอจบชั้น ม.ต้นก็ต้องสอบเลือกห้องใหม่ คราวนี้เราต้องแยกกันค่ะ อยู่คนละห้อง แต่เป็นห้องหัวดีทั้งคู่ค่ะ เหมือนห้องคิงกะห้องควีน  เราสองคนแทบจะกอดคอร้องไห้กัน เพราะต้องแยกกัน แต่เวลามีกิจกรรมก็ทำร่วมกันค่ะ แต่อย่างว่า พอผ่านมาเราทั้งคู่ก็ต่างมีเพื่อนใหม่กันค่ะ ถึงจะคุยกัน แต่ก็ยังอยากอยู่กับกลุ่มเพื่อนใหม่ทั้งคู่ ทำให้ช่วง ม.ปลายของเราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ค่ะจนเป็นช่วงสอบเข้ามหาลัย เราก็ไปติวตามที่เรียนต่างๆ เพราะกลัวไม่ติด สมัยนั้นยังมีเอนทรานซ์อยู่นะคะ เราไปเรียนพิเศษแบบจับฉ่าย เพราะกะว่าติดอะไรก็เอาไว้ก่อน แต่ใจนึงก็อยากเรียนที่เกี่ยวกับพวกแวดวงบันเทิงค่ะเห็นน่าจะมีรายได้ดี แต่อยากอยู่เบื้องหลังก็พอ ช่วงนั้นบีเองก็สับสนค่ะ เพราะนางเก่งทุกด้าน ถึงจะไม่ได้ทอปของห้องทุกวิชาแต่หัวดีพอจะเลือกได้ แต่นางก็ไม่รู้ความถนัดของตนเอง ผิดกะเราที่ ตูไม่ถนัดสักอย่าง ไม่ได้มีดีเด่นสักด้าน

วันนึงบีก็ถามเราว่าเราจะเรียนอะไรค่ะ เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะตัวเองรอเป็นผู้ถูกเลือก ไม่ใช่คนเลือกได้ ก็คุยกันว่า เออ เรานะ อยากไปทำพวกบันเทิง ทำงานกะดารา คงน่าสนุกเนอะ ประมานนี้ แต่ความจริงเราต้องไปเรียนอีกสาขานึง เพราะเราดันไปติดอีกที่นึงค่ะ ซึ่งคนละเรื่องกะที่อยากเรียนเลย จากนั้นเราก็ไปเรียนค่ะ ตามที่คณะที่ติด เราก็ไม่ได้ถามบีว่าตกลงเรียนอะไร เพราะช่วงนั้น วัยมึนค่ะ บอกตามตรง ไปเรื่อย ไม่ได้สนใจไร แต่รู้สึกว่าบี จะลงคณะที่เกี่ยวกับนิเทศ แต่ไม่รู้ว่าได้เรียนรึเปล่า จนมาเจอกันก็ช่วงปิดเทอมนี่แหละค่ะ ได้เจอ มานั่งคุยเป็นครั้งคราวบ้าง บีบอกเราว่าได้ลงเรียนมหาลัยเปิด เราก็อ่อ ก็คุยกันตามประสาเพื่อนเก่าค่ะ  

ครั้งนึงเรามีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนศาสนา เป็นความเชื่อส่วนตัวนะคะ เพราะเราเปลี่ยนแล้วเรารู้สึกสบายใจค่ะ เรากลับมาบ้าน เจอบี บีเป็นคนค่อนข้างเคร่งศาสนาค่ะ ตอนเรียนด้วยกันก็ชอบสอนพวกเรื่องเวรกรรม พอมานั่งคุยกัน เราก็บอกว่าเราเปลี่ยนศาสนาแล้วนะ บีก็เหมือนไม่ได้อะไรค่ะ ตอนแรก แต่พอเทอมต่อมา กลับมาเจอบีอีก บีก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาเดียวกับเราค่ะ เราก็ ว้าวว เพื่อน... ไม่น่าเชื่อ เพราะเธอดูเคร่งกับศาสนาเก่ามาก จนไม่น่าเชื่อว่าเปลี่ยนได้

เราก็เริ่มสังเกตอีกค่ะ

หลังจากที่เราเปลี่ยนศาสนา ก็ดำเนินชีวิตไปตามเรื่องตามราวค่ะ แต่เราไม่ใช่คนเคร่ง ไปวัดบ้างไม่ไปบ้าง ทำบุญทำทานปกติ แต่บี มันเริ่มไปไกลแล้วค่ะ ไปถึงคณะกรรมการวัดเลย เราก็รู้สึกว่า มันเคร่งไปรึป่าว ดูบีเวลาคุยทุกลมหายใจก็จะเอ่ยแต่เรื่องศาสนาค่ะ จนบางทีเพื่อนเริ่มทำหน้าเซ็ง เพราะคุยกันไปมาก็วกเข้าศาสนาค่ะ แถมชวนเพื่อนที่ไม่ได้นับถือมาเข้าศาสนาตัวเองอีก ซึ่งเราเองก็นับถือศาสนาเดียวกับบี แต่ก็ขอให้เกียร์ติกับความเชื่อของแต่ละคน เพราะเคยโดนชวนและไม่ชอบ เลยคิดว่าถ้าคนเราศรัทธาในศาสนาของเขา ทุกศาสนาก็ย่อมดีหมดค่ะ ไม่ต้องไปชวนเขาให้เปลืองน้ำลาย

พอจบชีวิตวัยเรียนก็เข้าสู่ช่วงวัยทำงาน

หลังจากเราจบมาเราก็สมัครงานตามสาขาที่เราเรียนมา จนได้งานตรงสายจริงๆ แต่เรากลับไม่ชอบค่ะ เพราะที่คิดกับความจริงมันต่างกัน ส่วนมากเป็นเอกสาร งานสารบัญ น่าเบื่อ แถมเจ้านายก็เอาแต่เลียคนโน้นคนนี้ ลูกน้องต้องคอยตามล้างตามเช็ด เหนื่อยกับคนนี่ เหนื่อยกว่างาน เราเลยลาออกค่ะ มาทำงานแถวบ้าน เอาความสบายใจ เงินน้อยแต่อยู่กับพ่อแม่ มีตังเก็บเพราะบ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อค่ะ วันนึงเราก็เจอบีกลับมาเยี่ยมบ้านค่ะ พอคุยกันบีก็รู้ว่าทำงานแถวบ้าน หลังจากนั้น เราก็มารู้ทีหลังว่าบีก็สมัครงานตำแหน่งใกล้ๆ กับเราค่ะ แต่คนละที่กัน

หลังจากนั้นเราก็มองหางานใหม่ค่ะ งานนี้ก็โอนะคะ แต่ก็เป็นความซวย เจอเจ้านายปากหมา แกช่างติ นินทาทุกคน แล้วเรียกเรา ให้ไปยืนฟังเรื่องเน่าๆ ที่ไม่จริงของแกอีก เราก็คิดว่าถ้ายิ่งอยู่นานคงยิ่งเน่าเพราะปากแก เราเลยชิงลาออกโดยการบอกว่าได้งานใหม่ค่ะ แต่จริงๆ เราออกมาอยู่บ้าน มองหางานใหม่สบายใจไปค่ะ ถึงแม้ว่าตอนนั้นเราจะเรียนต่อด้านงานที่ทำอยู่ก็ตาม เราเลยว่างั้นก็เรียนให้เต็มที่ไปเลย  วันนึงก็เจอบี ที่ยังทำงานอยู่ เราก็บอกว่าเราไม่ได้ทำที่เก่าแล้วค่ะ เราหางานใหม่ ว่าจะไปสมัครงานอะไรก็ได้ที่สบายใจ ก็ปรึกษากับบีว่าไม่แน่อาจจะค้าขาย เพราะเป็นเจ้านายตัวเอง

ค่ะ... หลังจากนั้นไม่นาน บีก็ออกจากที่ทำงาน ไปสมัครอยู่บริษัทขายสินค้าค่ะ

แต่ชีวิตโชคชะตาไม่ได้ให้มาเป็นแม่ค้า ที่บ้านก็คัดค้าน บอกเสียเวลาเรียนมา ส่งเสียเรียนดีๆ จะมาเปิดร้านขายของ พ่อแม่ขอว่าวิชาชีพที่มีติดตัวขอให้ใช้ก่อน ถ้าได้เป็นข้าราชการแล้วจะเปิดร้านค้าขายของเสริมก็ยังทำได้ เราก็สงสารพ่อแม่ ที่พวกแกพูดก็จริงนั่นแหละ วันนึงสอบติดราชการ มีเวลาก็ยังเปิดร้านเล็กได้ คิดแล้วเราก็เลยไปสมัครเป็นครูแถวบ้านค่ะ

วันนึงก็มาเจอบี ชวนกันไปกินข้าวกับเพื่อนๆ บีบอกว่างานที่ทำสนุกมาก เจ้านายใจดี มีโบนัสเยอะ ของก็ขายดี เราก็คุยกันกับเพื่อนๆ สนุกๆ ถึงชีวิตครู ได้สอนเด็กๆ เราภูมิใจมากกับอาชีพนี้ค่ะ ประกอบกับได้เจอแฟน แฟนเป็นครูชาวต่างชาติค่ะ คงเป็นเนื้อคู่กัน เพราะคบกันไม่นานเราก็แต่งงานกันค่ะ

แล้วหลังจากนั้น เราก็ได้ข่าวว่าบีไปสมัครงานที่โรงเรียนเอกชนแห่งนึงค่ะ เป็นโรงเรียนสอนภาษาโดยเฉพาะเลยค่ะ  แต่ความที่บีไม่ได้เรียนจบด้านการสอนมา นางเลยได้เป็นแค่เจ้าหน้าที่ธุรการ ไม่ได้สอนค่ะ ประกอบกับโรงเรียนนี้ เมื่อก่อนจะมีชาวต่างชาติ หรือครูฝรั่งมารับจ้อบเป็นครู แต่ช่วงหลังโรงเรียนคงมีปัญหาการเงิน เลยมีแต่ครูไทย หรือครูฟิลิปปินส์ ซึ่งเงินเดือนถูกกว่าครูฝรั่งมาสอนแทน ช่วงที่มีครูฝรั่ง บีก็มักโพสลงเฟส ว่าไปกินข้าว เที่ยวกับพวกครูฝรั่งที่ทำงานค่ะ แต่ส่วนมากครูเป็นฝรั่งผู้หญิง เลยไม่ได้มีแฟนเป็นฝรั่งอย่างเราค่ะ บางครั้งก็เรียกตัวเองว่าครูบี สงสัยคงได้สอนบางคลาส

แต่ตอนนี้เราลาออกแล้วนะคะ จบชีวิตคุณครูไป เพราะแฟนอยากให้ออกมาดูแลลูกค่ะ โชคดีที่แฟนหาเงินเก่ง ทำหลายอย่างและใส่ใจครอบครัวมาก เราเลยเลี้ยงลูกเต็มที่ค่ะ

ก็ค่ะ...แน่นอน บีก็ไม่ได้ทำงานที่โรงเรียนเอกชนแห่งนั้นแล้วเช่นกันค่ะ หลังจากเราแต่งงาน ลาออกมาเลี้ยงลูก ก็ได้ข่าวว่าบีลาออกค่ะ

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ อยากจะถามว่า บีเขาอยากเลียนแบบชีวิตเราหรือว่าอะไรคะ หรือว่าเราคิดมากไปเอง ถ้าเลียนแบบ ชีวิตมันเลียนแบบได้ทั้งชีวิตเลยรึคะ

เราเองก็ไม่ได้เครียดอะไรกับเพื่อนคนนี้นะคะ แค่รู้สึกแปลก อ่านมาแล้วเห็นเหมือนกันมั้ยคะ รึเป็นเราที่คิดมากไปเองคนเดียว....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่