
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ "ดอยหลวงเชียงดาว" กันมาไม่มากก็น้อย แต่หากให้เดาแล้วคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของดอยหลวงเชียงดาวในเรื่องของความสวยงามที่มาพร้อมกับความโหดในการจะขึ้นไปถึงยอดดอย เราเองก็เป็นหนึ่งคนที่ได้ยินชื่อเสียงของดอยหลวงเชียงดาวมาอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ได้มีโอกาสพาตัวเองไปสักที
ดอยหลวงเชียงดาว ที่ที่หากใครได้ไปแล้ว คงไม่มีวันลืมลง .
ก่อนอื่นเลย เราเป็นคนที่หลงรักเชียงใหม่เอาซะมากๆ อิจฉาผู้คนที่ตื่นมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแต่มีเขาลูกใหญ่ให้ได้เห็นทุกวัน เราจึงใช้โอกาสช่วงฝึกงานพาตัวเองลุยเดี่ยวมาฝึกงานที่เชียงใหม่ ง่ายๆเลยเราหาเรื่องมาเที่ยว บวกกับช่วงใกล้จบฝึกงานเป็นโอกาสที่ดีที่จะพาตัวเองออกไปเที่ยวตามที่ตั้งใจไว้ ครั้งนี้เราเลือก”ดอยหลวงเชียงดาว”สถานที่อันดับต้นๆในใจที่อยากไปมากๆ แน่นอนว่าครั้งนี้เราไปคนเดียว เป็นทริปขึ้นดอยคนเดียวของเราจริงๆจัง เตรียมตัว เตรียมใจ แพคกระเป๋าแล้วลุยเลย

เริ่มต้นกันเช้ามืดของวันพฤหัสบดี ที่7ของเดือนธันวาคม ที่ขนส่งช้างเผือก
เราตีตั๋วจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปลงเชียงดาว โดยใช้รถโดยสารประจำทาง เชียงใหม่-ท่าตอน ราคา40บาท รอบ6โมงเช้า โดยรถมีออกทุกๆครึ่งชั่วโมง
บรรยากาศที่ขนส่งคึกคักกว่าที่คิด ใช้เวลาเพียงไม่นานที่นั่งภายในรถโดยสารก็ถูกจับจองจนเกือบเต็ม

ระหว่างทางก็มีผู้โดยสารโบกขึ้นจากข้างทางเป็นระยะๆ พ่อค้าแม่ค้าทีเดินทางไปขายของต่างอำเภอ คนหนุ่มสาวที่เดินทางไปทำงาน รวมถึงเด็กน้อยที่นั่งรถไปโรงเรียน เป็นการเดินทางที่แทบลืมไปเลยว่ามาคนเดียว

ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งเราก็เดินทางมาถึงตัวอำเภอเชียงดาว เราลงรถที่โลตัสเชียงดาว ก่อนใช้google mapsเปิดหาทางเดินไปยังจุดรวมพลที่ถูกนัดหมายโดยเชียงดาวแคมป์ปิ้ง
เดินเท้าประมาณ10นาที เราก็มาถึงจุดรวมพลที่เป็นร้านกาแฟเล็กๆดูอบอุ่น มีพื้นที่พักผ่อนไว้ให้นั่งพัก ชาตแบต มีห้องน้ำ/ห้องอาบน้ำรองรับนักเดินทาง เราถูกกล่าวต้อนรับอย่างเป็นมิตรจากพี่อาร์ทผู้ดูแลเชียงดาวแคมป์ปิ้งก่อนที่จะเช็คชื่อ เช็คสัมภาระต่างๆก่อนขึ้นรถโฟวิวไปยังเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่าเชียงดาว ในแคมป์ของเรารอบนี้มีผู้ร่วมเดินทางด้วยกันทั้งหมด6คน และโชคดีที่มีพี่โบว์ พี่สาวที่เดินทางมาคนเดียวไม่ต่างกับเรา
เมื่อเดินทางมาถึงที่เขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่าเราจะต้องเข้าฟังอบรมถึงขั้นตอนและกฏระเบียบในการปฏิบัติตัวบนดอยหลวงเชียงดาวกันซักเล็กน้อยก่อนจะเดินทางไปยังจุดเริ่มเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาว

1 1 : 3 0 น. การเดินทางจริงๆคงเริ่มขึ้นตรงนี้
ก่อนออกเดินทางขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว พี่ศร คนนำทางของเราก็เข้ามาแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร
ลมเบาๆที่พัดมาปะทะใบบหน้าพร้อมกับความเย็นแอบทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย


2กิโลเมตรแรกนั้นทางเดินยังเดินได้ง่ายๆ เป็นทางราบที่มีขนาดแคบหน่อย ทำให้เราชะล่าใจแอบคิดว่านี่หรอที่ใครๆบอกว่าโหด

หลังจาก2กิโลเมตรแรกผ่านไปแล้วเราเริ่มเปลี่ยนความคิด ทางชันมากขึ้น ลื่นมากขึ้น เพื่อนร่วมทางของเราลื่นล้มกันไปคนละทีสองทีรวมถึงเราเองด้วย
ระหว่างทางก็ได้พบเจอเพื่อนร่วมทางทีมอื่นๆที่เดินสลับกันแซงสลับกันพักไปตามทาง

ความเร็วในการเดินของทุกคนเริ่มลดลง พักกันบ่อยขึ้น นานขึ้นแต่มีเพียงคนเดียวที่ดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยซักนิดเดียว นั่นคือพี่ศร
ตลอดทางพี่ศรจะชี้ให้เราดูต้นไม้ ดอกไม้พื้นถิ่นไปพลาง พอให้ได้ลืมความเหนื่อยกันไปได้ไม่น้อย


รู้ตัวอีกทีเราก็เดินทางมาถึง ดงน้อย ซึ่งหมายความว่าเราเดินกันมาได้ครึ่งทางแล้ว พี่ศรให้พวกเรานั่งพัก ดื่มน้ำกันราวๆ10นาที ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “หลังจากนี้เดินขึ้นอย่างเดียวแล้วนะ”


ในช่วงเส้นทางครึ่งหลังนี้ เราได้พบเจอหน้าคลาดตาพี่ๆที่ร่วมเดินทางมาพิชิตยอดดอยหลวงบ่อยมากขึ้น นั่นคงจะเป็นเพราะทุกคนเริ่มเหนื่อยล้าและหยุดพักกันตามทางบ่อยขึ้น ทุกครั้งที่เราเดินผ่านพี่ๆกลุ่มอื่นๆที่พักกันอยู่ข้างทางก็จะได้ยินเสียงให้กำลังใจว่า”สู้ๆ”อยู่ตลอด เป็นบรรยากาศที่เหนื่อยแต่ไม่ได้เหนื่อยอยู่คนเดียว เหนื่อยแบบมีเพื่อน เหนื่อยแบบยิ้มได้


ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เราคาดเอาไว้ การเดินทางทั้งหมดอยู่ราวๆ4-5ชั่วโมง ก่อนที่เราจะเดินทางขึ้นมาถึงจุดกางเต็นท์ที่จะเป็นที่นอนของเราในคืนนี้
ด้านบนมีร้านค้าเล็กๆพอให้เราได้หาซื้อน้ำเย็นๆ มาม่าซักกระป๋องแก้หิวแก้เหนื่อยกันได้

แน่นอนว่าสิ่งที่เราทำอย่างแรกหลังจากวางกระเป๋าลง คือวิ่งไปซื้อโค้กเย็นๆมากิน พอหายคอแห้งก็ชวนกันไปต้มมาม่ากินรองท้องก่อนถึงเวลาอาหารเย็น


พี่ๆแต่ละคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ พี่ศรช่วยจุดไฟ พี่โบว์ช่วยต้มน้ำ เป็นบรรยากาศน่ารักๆที่เกิดขึ้นจากคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเจอกันได้ไม่ถึง1วัน
หลังจากท้องอิ่ม ก็ถึงเวลาลุยต่อ เวลาที่เรารอคอย เวลาที่จะได้ขึ้นไปถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวจริงๆสักที
1 7 : 0 0 น.
จากจุดกางเต็นท์ต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปประมาณ2กิโลเมตร เพื่อดูพระอาทิตย์ตกบนยอดดอย

เป็น2กิโลเมตรที่ต้องปีนป่ายขึ้นหน้าผากันมากพอสมควร
ทุกความเหนื่อยล้าพาเราให้มาเจอกับภาพเบื้องหน้าภาพนี้ ทั้งความรู้สึกเหนื่อย ดีใจ ตื่นเต้น ชื่นชม ทุกอย่างมันปะปนกันไปหมด เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย และไม่ว่าจะถ่ายรูปออกมายังไงเราก็เชื่อว่าภาพนั้นยังสวยไม่เท่าครึ่งนึงของการได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง




เวลา 0 4 : 3 0 น. วันที่ 8 ธันวาคม ยอดกิ่วลม
ผู้คนเริ่มตื่นนอนเตรียมตัวออกเดินทางกันอีกครั้ง ดูพระอาทิตย์ตกแล้วก็คงจะพลาดการดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้

เช้าวันนี้อากาศไม่เป็นใจสักเท่าไร หมอกหนาจนบังดวงอาทิตย์ไปหมด
ระหว่างนั้งรอหวังให้หมอกจางลง ทุกคนก็นั่งดื่มโอวัลตินกันไปพลาง นั่งคุยถึงแพลนต่อไปว่าจะไปดอยไหนกันต่อดี ชวนกันถ่ายรูปบ้าง ชวนให้ถ่ายรูปให้บ้าง นี่คงจะเป็นบรรยากาศการรวมตัวนั่งคุยกันครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันเดินลงดอย

การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเรื่องราวดีดี ทุกความประทับใจเราจำได้ทั้งหมด อยากจะขอบคุณทุกมิตรภาพที่เกิดขึ้นที่สถานที่แห่งนี้ พี่โบว์ที่คอยดูแลเหมือนพี่สาว พี่กิฟผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเดินป่า พี่ชาติสายอุปกกรณ์มีทุกอย่างที่เราต้องการ พี่ศรผู้นำทางและเชฟฝีมือเยี่ยมของเราในทริปนี้ รวมถึงผู้ร่วมเดินทางทุกๆคนที่ได้เจอกันในวันนั้น

เพราะเชียงดาว
ที่ทำให้เรามาเจอกัน : )
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดการเดินทางของเราในครั้งนี้
-ครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของทางเชียงดาวแคมป์ปิ้ง เนื่องจากเดินทางคนเดียวจะช่วยประหยัดไปได้เยอะ ราคา2890บาท (รวมค่ารถโฟวิวที่ขึ้นมายังจุดสตาท ค่าอาหาร ลูกหาบ คนนำทาง เต็นท์ มีคนเตรียมอาหารและกางเต็นท์ให้)
-ค่ารถโดยสารเชียงใหม่-ท่าตอน เที่ยวละ40บาท ไป-กลับ 80บาท
สุดท้ายนี้การเดินทางลุยเดี่ยวมาเที่ยวของเราในครั้งนี้เราได้อะไรกับตัวเองเยอะมาก อะไรที่เราจะหาไม่ได้หากไม่ได้ลองออกมาเที่ยวด้วยตัวเองสักครั้ง
สนับสนุนให้ทุกคนออกมาเที่ยวกันนะคะ
ฝากติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวและชีวิตของเราผ่านทาง
Instagram : proudchanya
ยินดีให้คำตอบสำหรับทุกคำถามค่ะ
ฉ า ย เ ดี่ ย ว ที่ เ ชี ย ง ด า ว -.
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ "ดอยหลวงเชียงดาว" กันมาไม่มากก็น้อย แต่หากให้เดาแล้วคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของดอยหลวงเชียงดาวในเรื่องของความสวยงามที่มาพร้อมกับความโหดในการจะขึ้นไปถึงยอดดอย เราเองก็เป็นหนึ่งคนที่ได้ยินชื่อเสียงของดอยหลวงเชียงดาวมาอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ได้มีโอกาสพาตัวเองไปสักที
ดอยหลวงเชียงดาว ที่ที่หากใครได้ไปแล้ว คงไม่มีวันลืมลง .
ก่อนอื่นเลย เราเป็นคนที่หลงรักเชียงใหม่เอาซะมากๆ อิจฉาผู้คนที่ตื่นมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแต่มีเขาลูกใหญ่ให้ได้เห็นทุกวัน เราจึงใช้โอกาสช่วงฝึกงานพาตัวเองลุยเดี่ยวมาฝึกงานที่เชียงใหม่ ง่ายๆเลยเราหาเรื่องมาเที่ยว บวกกับช่วงใกล้จบฝึกงานเป็นโอกาสที่ดีที่จะพาตัวเองออกไปเที่ยวตามที่ตั้งใจไว้ ครั้งนี้เราเลือก”ดอยหลวงเชียงดาว”สถานที่อันดับต้นๆในใจที่อยากไปมากๆ แน่นอนว่าครั้งนี้เราไปคนเดียว เป็นทริปขึ้นดอยคนเดียวของเราจริงๆจัง เตรียมตัว เตรียมใจ แพคกระเป๋าแล้วลุยเลย
เริ่มต้นกันเช้ามืดของวันพฤหัสบดี ที่7ของเดือนธันวาคม ที่ขนส่งช้างเผือก
เราตีตั๋วจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปลงเชียงดาว โดยใช้รถโดยสารประจำทาง เชียงใหม่-ท่าตอน ราคา40บาท รอบ6โมงเช้า โดยรถมีออกทุกๆครึ่งชั่วโมง
บรรยากาศที่ขนส่งคึกคักกว่าที่คิด ใช้เวลาเพียงไม่นานที่นั่งภายในรถโดยสารก็ถูกจับจองจนเกือบเต็ม
ระหว่างทางก็มีผู้โดยสารโบกขึ้นจากข้างทางเป็นระยะๆ พ่อค้าแม่ค้าทีเดินทางไปขายของต่างอำเภอ คนหนุ่มสาวที่เดินทางไปทำงาน รวมถึงเด็กน้อยที่นั่งรถไปโรงเรียน เป็นการเดินทางที่แทบลืมไปเลยว่ามาคนเดียว
ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งเราก็เดินทางมาถึงตัวอำเภอเชียงดาว เราลงรถที่โลตัสเชียงดาว ก่อนใช้google mapsเปิดหาทางเดินไปยังจุดรวมพลที่ถูกนัดหมายโดยเชียงดาวแคมป์ปิ้ง
เดินเท้าประมาณ10นาที เราก็มาถึงจุดรวมพลที่เป็นร้านกาแฟเล็กๆดูอบอุ่น มีพื้นที่พักผ่อนไว้ให้นั่งพัก ชาตแบต มีห้องน้ำ/ห้องอาบน้ำรองรับนักเดินทาง เราถูกกล่าวต้อนรับอย่างเป็นมิตรจากพี่อาร์ทผู้ดูแลเชียงดาวแคมป์ปิ้งก่อนที่จะเช็คชื่อ เช็คสัมภาระต่างๆก่อนขึ้นรถโฟวิวไปยังเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่าเชียงดาว ในแคมป์ของเรารอบนี้มีผู้ร่วมเดินทางด้วยกันทั้งหมด6คน และโชคดีที่มีพี่โบว์ พี่สาวที่เดินทางมาคนเดียวไม่ต่างกับเรา
เมื่อเดินทางมาถึงที่เขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่าเราจะต้องเข้าฟังอบรมถึงขั้นตอนและกฏระเบียบในการปฏิบัติตัวบนดอยหลวงเชียงดาวกันซักเล็กน้อยก่อนจะเดินทางไปยังจุดเริ่มเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาว
1 1 : 3 0 น. การเดินทางจริงๆคงเริ่มขึ้นตรงนี้
ก่อนออกเดินทางขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว พี่ศร คนนำทางของเราก็เข้ามาแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร
ลมเบาๆที่พัดมาปะทะใบบหน้าพร้อมกับความเย็นแอบทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
2กิโลเมตรแรกนั้นทางเดินยังเดินได้ง่ายๆ เป็นทางราบที่มีขนาดแคบหน่อย ทำให้เราชะล่าใจแอบคิดว่านี่หรอที่ใครๆบอกว่าโหด
หลังจาก2กิโลเมตรแรกผ่านไปแล้วเราเริ่มเปลี่ยนความคิด ทางชันมากขึ้น ลื่นมากขึ้น เพื่อนร่วมทางของเราลื่นล้มกันไปคนละทีสองทีรวมถึงเราเองด้วย
ระหว่างทางก็ได้พบเจอเพื่อนร่วมทางทีมอื่นๆที่เดินสลับกันแซงสลับกันพักไปตามทาง
ความเร็วในการเดินของทุกคนเริ่มลดลง พักกันบ่อยขึ้น นานขึ้นแต่มีเพียงคนเดียวที่ดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยซักนิดเดียว นั่นคือพี่ศร
ตลอดทางพี่ศรจะชี้ให้เราดูต้นไม้ ดอกไม้พื้นถิ่นไปพลาง พอให้ได้ลืมความเหนื่อยกันไปได้ไม่น้อย
รู้ตัวอีกทีเราก็เดินทางมาถึง ดงน้อย ซึ่งหมายความว่าเราเดินกันมาได้ครึ่งทางแล้ว พี่ศรให้พวกเรานั่งพัก ดื่มน้ำกันราวๆ10นาที ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “หลังจากนี้เดินขึ้นอย่างเดียวแล้วนะ”
ในช่วงเส้นทางครึ่งหลังนี้ เราได้พบเจอหน้าคลาดตาพี่ๆที่ร่วมเดินทางมาพิชิตยอดดอยหลวงบ่อยมากขึ้น นั่นคงจะเป็นเพราะทุกคนเริ่มเหนื่อยล้าและหยุดพักกันตามทางบ่อยขึ้น ทุกครั้งที่เราเดินผ่านพี่ๆกลุ่มอื่นๆที่พักกันอยู่ข้างทางก็จะได้ยินเสียงให้กำลังใจว่า”สู้ๆ”อยู่ตลอด เป็นบรรยากาศที่เหนื่อยแต่ไม่ได้เหนื่อยอยู่คนเดียว เหนื่อยแบบมีเพื่อน เหนื่อยแบบยิ้มได้
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เราคาดเอาไว้ การเดินทางทั้งหมดอยู่ราวๆ4-5ชั่วโมง ก่อนที่เราจะเดินทางขึ้นมาถึงจุดกางเต็นท์ที่จะเป็นที่นอนของเราในคืนนี้
ด้านบนมีร้านค้าเล็กๆพอให้เราได้หาซื้อน้ำเย็นๆ มาม่าซักกระป๋องแก้หิวแก้เหนื่อยกันได้
แน่นอนว่าสิ่งที่เราทำอย่างแรกหลังจากวางกระเป๋าลง คือวิ่งไปซื้อโค้กเย็นๆมากิน พอหายคอแห้งก็ชวนกันไปต้มมาม่ากินรองท้องก่อนถึงเวลาอาหารเย็น
พี่ๆแต่ละคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ พี่ศรช่วยจุดไฟ พี่โบว์ช่วยต้มน้ำ เป็นบรรยากาศน่ารักๆที่เกิดขึ้นจากคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเจอกันได้ไม่ถึง1วัน
หลังจากท้องอิ่ม ก็ถึงเวลาลุยต่อ เวลาที่เรารอคอย เวลาที่จะได้ขึ้นไปถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวจริงๆสักที
1 7 : 0 0 น.
จากจุดกางเต็นท์ต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปประมาณ2กิโลเมตร เพื่อดูพระอาทิตย์ตกบนยอดดอย
เป็น2กิโลเมตรที่ต้องปีนป่ายขึ้นหน้าผากันมากพอสมควร
ทุกความเหนื่อยล้าพาเราให้มาเจอกับภาพเบื้องหน้าภาพนี้ ทั้งความรู้สึกเหนื่อย ดีใจ ตื่นเต้น ชื่นชม ทุกอย่างมันปะปนกันไปหมด เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย และไม่ว่าจะถ่ายรูปออกมายังไงเราก็เชื่อว่าภาพนั้นยังสวยไม่เท่าครึ่งนึงของการได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง
เวลา 0 4 : 3 0 น. วันที่ 8 ธันวาคม ยอดกิ่วลม
ผู้คนเริ่มตื่นนอนเตรียมตัวออกเดินทางกันอีกครั้ง ดูพระอาทิตย์ตกแล้วก็คงจะพลาดการดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้
เช้าวันนี้อากาศไม่เป็นใจสักเท่าไร หมอกหนาจนบังดวงอาทิตย์ไปหมด
ระหว่างนั้งรอหวังให้หมอกจางลง ทุกคนก็นั่งดื่มโอวัลตินกันไปพลาง นั่งคุยถึงแพลนต่อไปว่าจะไปดอยไหนกันต่อดี ชวนกันถ่ายรูปบ้าง ชวนให้ถ่ายรูปให้บ้าง นี่คงจะเป็นบรรยากาศการรวมตัวนั่งคุยกันครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันเดินลงดอย
การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเรื่องราวดีดี ทุกความประทับใจเราจำได้ทั้งหมด อยากจะขอบคุณทุกมิตรภาพที่เกิดขึ้นที่สถานที่แห่งนี้ พี่โบว์ที่คอยดูแลเหมือนพี่สาว พี่กิฟผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเดินป่า พี่ชาติสายอุปกกรณ์มีทุกอย่างที่เราต้องการ พี่ศรผู้นำทางและเชฟฝีมือเยี่ยมของเราในทริปนี้ รวมถึงผู้ร่วมเดินทางทุกๆคนที่ได้เจอกันในวันนั้น
เพราะเชียงดาว
ที่ทำให้เรามาเจอกัน : )
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดการเดินทางของเราในครั้งนี้
-ครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของทางเชียงดาวแคมป์ปิ้ง เนื่องจากเดินทางคนเดียวจะช่วยประหยัดไปได้เยอะ ราคา2890บาท (รวมค่ารถโฟวิวที่ขึ้นมายังจุดสตาท ค่าอาหาร ลูกหาบ คนนำทาง เต็นท์ มีคนเตรียมอาหารและกางเต็นท์ให้)
-ค่ารถโดยสารเชียงใหม่-ท่าตอน เที่ยวละ40บาท ไป-กลับ 80บาท
สุดท้ายนี้การเดินทางลุยเดี่ยวมาเที่ยวของเราในครั้งนี้เราได้อะไรกับตัวเองเยอะมาก อะไรที่เราจะหาไม่ได้หากไม่ได้ลองออกมาเที่ยวด้วยตัวเองสักครั้ง
สนับสนุนให้ทุกคนออกมาเที่ยวกันนะคะ
ฝากติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวและชีวิตของเราผ่านทาง
Instagram : proudchanya
ยินดีให้คำตอบสำหรับทุกคำถามค่ะ