เรียกว่า โคตรแย่อะครับ หลังจากที่ผมเจอเรื่องที่กระทบจิตใจมา ทำให้ผมเคลียดและคิดมากด้วยครับ เป็นเรื่องที่ทำให้ผมร้องไห้หนักมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้คนสำคัญในชีวิตผมยังมีชีวิตอยู่ครบ นี่จึงเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดแล้ว โทษทีที่ผมบอกไม่ได้
ผมเสียใจและเคลียดมากๆ เลยลงไปซื้อเบียร์กินครับ ที่ร้านที่ผมรุ้สึกดีด้วย เขายังให้แกงผมมากินฟรีๆ ด้วยเลย และแล้ว เหตุก็เกิด ผมดันมองไปที่โทรศัพย์เขา แล้วดันคิดไปว่า เกือบลืมไปเลยดีนะเห็นก่อน ผมคิดไปเองว่าผมลืมโทรศัพย์วางทิ้งไว้ ทั้งๆ ที่โทรศัพย์ผมมันอยู่ในกระเป๋า แล้วผมก็วางขวดเบียร์ แล้วหยิบโทรศัพย์ของเขาใส่กระเป๋ากางเกงซ้าย แล้วก็หยิบโทรศัทพ์ผม จากกระเป๋าขวาออกมา รับตังทอนแล้วเดินออกจากร้าย แน่นอนว่าผมรู้ว่าเขามีกล้องวงจรปิด
คือตอนนั้นผมทำไปแบบอัตโนมัติ ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง แค่คิดว่าจะหยิบโทรศัทย์ตัวเองมา ไม่รุ้ตัวเลยว่าหยิบมาใส่แล้วกระเป๋าซ้าย แล้วหยิบจากกระเป๋าขวามาอีกที คือ สิ่งที่เขาเห็นในกล้องมันชี้ว่าผม ตั้งใจขโมยทางพฤติกรรม ผมพยามอธิบายเขาก็ไม่ฟัง
คือผมพังมากๆ จนเบลอ แล้วยังมาโดนข้อหอขโมยของอีก ตอนแรกเขาจะแจ้งตำรวจ เพราะผมไม่ยอมรับ แต่ผมจะยอมรับในสิ่งที่ผมไม่ได้ตั้งใจได้ไง
ผมไม่มีแรงจูงใจให้ขโมยด้วย แต่เขาไม่สน ไม่ทำความรู้จักผม คือเขาตัดสินผมในสิ่งที่เห็นเรียบร้อยไปแล้ว
ผมแก้ตัว ผมเสียใจ ผมร้องไห้ พยามอธิบาย แต่เขาต้องการแค่คำสารภาพ ไม่มีแม้สักนิดเดียว ที่เขาจะเชื่อผม หรือ
แค่เอะใจเลยสักนิดว่าผมอาจจะพูดจริงบ้าง
คือในภาพ มันชัดเจนว่าผมตั้งใจขโมย แต่มันจะไม่มีโอกาสเลยหรอที่ผมจะเบลอได้ขนาดนั้น
ลองนึกสภาพนะครับ ผมเจอเรื่องแย่ๆ มาที่ทำให้เสียใจมาก แล้วก็มาโดนลุงร้านค้าที่ผมชอบ และซื้อประจำคิดว่าผมเป็นขโมย
นี่ผมคิดมากมาสามวันละครับ สรุปเขาไม่เอาความครับ แต่เขาไม่เชื่อผม และผมเสียมิตรภาพไปเรียบร้อย
ส่วนเรื่องที่ทำให้ผมคิดมากก่อนจะเกิดเรื่องขโมย มันดีขึ้นครับ แต่ไม่เหมือนเดิม แต่ผมก็รับได้แล้ว
คือถ้าผม ไม่ลงไปซื้อเบียร์ ปัญหาคงไม่เกิด ก็เป็นบทเรียนครับ เวลาเราเสียใจมากๆ หรือเคลียดมากๆ ควรอยู่บ้านครับ ไม่ควรออกไปไหนครับ
ผมคิดมากมา 3 วันแล้ว เลยกะอยากโพสระบาย
หรือผมใกล้จะต้องพบหมอจิตเวชแล้วครับ สติผมไปหมดแล้ว
เจอเรื่องแย่ๆ มาแล้ว ก็โดนหาว่าเป็นขโมย อธิบายเขาก็ไม่เชื่อ
ผมเสียใจและเคลียดมากๆ เลยลงไปซื้อเบียร์กินครับ ที่ร้านที่ผมรุ้สึกดีด้วย เขายังให้แกงผมมากินฟรีๆ ด้วยเลย และแล้ว เหตุก็เกิด ผมดันมองไปที่โทรศัพย์เขา แล้วดันคิดไปว่า เกือบลืมไปเลยดีนะเห็นก่อน ผมคิดไปเองว่าผมลืมโทรศัพย์วางทิ้งไว้ ทั้งๆ ที่โทรศัพย์ผมมันอยู่ในกระเป๋า แล้วผมก็วางขวดเบียร์ แล้วหยิบโทรศัพย์ของเขาใส่กระเป๋ากางเกงซ้าย แล้วก็หยิบโทรศัทพ์ผม จากกระเป๋าขวาออกมา รับตังทอนแล้วเดินออกจากร้าย แน่นอนว่าผมรู้ว่าเขามีกล้องวงจรปิด
คือตอนนั้นผมทำไปแบบอัตโนมัติ ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง แค่คิดว่าจะหยิบโทรศัทย์ตัวเองมา ไม่รุ้ตัวเลยว่าหยิบมาใส่แล้วกระเป๋าซ้าย แล้วหยิบจากกระเป๋าขวามาอีกที คือ สิ่งที่เขาเห็นในกล้องมันชี้ว่าผม ตั้งใจขโมยทางพฤติกรรม ผมพยามอธิบายเขาก็ไม่ฟัง
คือผมพังมากๆ จนเบลอ แล้วยังมาโดนข้อหอขโมยของอีก ตอนแรกเขาจะแจ้งตำรวจ เพราะผมไม่ยอมรับ แต่ผมจะยอมรับในสิ่งที่ผมไม่ได้ตั้งใจได้ไง
ผมไม่มีแรงจูงใจให้ขโมยด้วย แต่เขาไม่สน ไม่ทำความรู้จักผม คือเขาตัดสินผมในสิ่งที่เห็นเรียบร้อยไปแล้ว
ผมแก้ตัว ผมเสียใจ ผมร้องไห้ พยามอธิบาย แต่เขาต้องการแค่คำสารภาพ ไม่มีแม้สักนิดเดียว ที่เขาจะเชื่อผม หรือ
แค่เอะใจเลยสักนิดว่าผมอาจจะพูดจริงบ้าง
คือในภาพ มันชัดเจนว่าผมตั้งใจขโมย แต่มันจะไม่มีโอกาสเลยหรอที่ผมจะเบลอได้ขนาดนั้น
ลองนึกสภาพนะครับ ผมเจอเรื่องแย่ๆ มาที่ทำให้เสียใจมาก แล้วก็มาโดนลุงร้านค้าที่ผมชอบ และซื้อประจำคิดว่าผมเป็นขโมย
นี่ผมคิดมากมาสามวันละครับ สรุปเขาไม่เอาความครับ แต่เขาไม่เชื่อผม และผมเสียมิตรภาพไปเรียบร้อย
ส่วนเรื่องที่ทำให้ผมคิดมากก่อนจะเกิดเรื่องขโมย มันดีขึ้นครับ แต่ไม่เหมือนเดิม แต่ผมก็รับได้แล้ว
คือถ้าผม ไม่ลงไปซื้อเบียร์ ปัญหาคงไม่เกิด ก็เป็นบทเรียนครับ เวลาเราเสียใจมากๆ หรือเคลียดมากๆ ควรอยู่บ้านครับ ไม่ควรออกไปไหนครับ
ผมคิดมากมา 3 วันแล้ว เลยกะอยากโพสระบาย
หรือผมใกล้จะต้องพบหมอจิตเวชแล้วครับ สติผมไปหมดแล้ว