ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีหลักศรัทธาที่มุสลิมยึดมั่นอยู่เพียงหนึ่งเดียวคือพระเจ้าพียงองค์เดียวเท่านั้น
เมื่อเกี่ยวกับหลักศรัทธาหรือพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว มุสลิมจะเอาบุคคลหรือวัตถุมาเกี่ยวข้องหรือมีส่วนที่
ถือว่ามีความสำคัญในการสรรเสริญร่วมกับพระเจ้าไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นท่านศาสดาหรือสิ่งที่มี
ความสัมพันกับศาสดาของศาสนาอิสลามก็ตาม มุสลิมจะต้องนับถือและเชื่อฟังคำสังสอนของท่านศาสดา
ที่เป็นเรื่องเฉพาะที่นำมาจากอัลกุรอานเท่านั้น เรื่องอื่นใดที่ไม่เกี่ยวกับบัญญัติหรือวิทยปัญญาที่มาจากอัล
กุรอานแล้วมุสลิมไม่อาจจะนำมาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม หรือเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมของอิสลาม
ถึงแม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติของท่านศาสนทูตก็ตาม
การจูบและสัมผัสหินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) ไม่ใช่หลักศรัทธาในศาสนาอิสลาม ไม่ใช่พิธีกรรมในศาสนาอิสลาม
ไม่มีข้อบังคับใดๆในศาสนาอิสลามโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอัลกุรอานอัลลอฮ์ไม่ได้บัญญัติหรือกล่าวถึงเรื่อง
ราวของ หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) การจูบหรือเคารพรักก้อนหินเป็นความเชื่อของ มุชริกอรับ เมื่อพิจารณาจาก
อัลกุรอานเมื่ออัลลออ์กล่าวกำชับท่าน ศาสดามูฮัมมัดในการจดบันทึกและเผยแพร่อัลกุรอานแล้วไม่มีทางที่
จะเป็นไปได้ที่ท่านศาสนทูตจะก้มลงจูบก้อนหินอย่างไม่มีเหตุผลและท่านรอซูลย่อม รู้ดีว่า ถ้าท่านทำเช่นนั้น
จะทำให้มุสลิมรอบข้างเข้าใจผิดและกระทำตาม อย่างไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ฮาดีษที่เกี่ยวกับหินดำทุกๆบท ที่มี
อยู่ในสังคมมุสลิมจึงไม่อาจจะเป็นเรื่องจริง, มันอาจจะ เป็นเรื่องราวที่มุชริกอรับกรุขี้นมาเพื่อล่อลวงมุสลิมให้
หลง เชื่อในนามของท่านศาสดามูฮัมมัด
....จากฮาดีษในเรื่องการจูบและสัมผัสหินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد)ที่ติดตั้งอยู่ที่ มุมยามานีย์ของกะอฺบะหฺในนครมักกะห์
ประกอบ ทั้งในสังคมมุสลิมที่ยังมีการจูบและแย่งกันสัมผัสหินดำกันอยู่, จากเรื่องราวที่เกี่ยวกับหินดำ,ฮาดีษต่างๆ
ที่ได้รับการรับรองความแท้จริงจากผู้รู้มุสลิมในทุกระดับและ สมัยต่างๆ จนถึงในปัจจุบัน ยืนยันว่า ฮาดีษข้างล่าง
นี้เป็นความจริงและเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธาตามหลักการของศาสนาอิสลาม
ซึ่งตามเหตุผลแล้ว ฮาดีษข้างล่างนี้เป็น ฮาดีษที่ใช้ในการหลอกลวงมุสลิมให้ หันเหออกจากแนวทางของอัลลอฮ์
1.จากฮาดีษ: หินดำได้ถูกประทานลงมาจากสวรรค์ ในสภาพที่มีความขาวจัดประดุจน้ำนมต่อมาความชั่วของมนุษย์
ได้ทำให้มันเปลี่ยนสีเป็นสีดำ
2.จากฮาดีษ: “แท้จริงแล้วหินดำนี้คือการสาบานของอัลลอฮ์” บนโลกนี้”
3.จากฮาดีษ: แท้จริงสำหรับหินดำนี้มีลิ้นและมี2ริมฝีปาก มันจะเป็นพยานให้กับผู้ที่จูบหรือสัมผัสมันในวันกิยามะห์
ด้วยความสัจจริง
4.จากฮาดีษ 3957 - إنّ مَسْحَ الحَجَرِ الأسْوَدِ والرُّكْنِ اليَمانِي يَحُطَّانِ الخطايا حط
"แท้จริง การสัมผัสหินดำและมุมยามานีย์ ทั้งสองจะทำให้บาปร่วงแน่นนอน”
อัลลอฮ์ทรงเตือนมุสลิมไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺลุกมาน บัญญัติที่ 6 ว่า:
وَمِنَ النَّاسِ مَنْ يَشْتَرِي لَهْوَ الْحَدِيثِ لِيُضِلَّ عَنْ سَبِيلِ اللَّهِ بِغَيْرِ عِلْمٍ وَيَتَّخِذَهَا هُزُوًا ۚ أُولَٰئِكَ لَهُمْ عَذَابٌ مُهِينٌ {6}
{31:6} และในหมู่มนุษย์มีผู้แลกเอาเรื่องไร้สาระ เพื่อหลอกลวงผู้คนให้หลงออกจากทางของอัลลอฮฺ โดยปราศ
จากความรู้ และถือเอามันเป็นเรื่องขบขัน ชนเหล่านี้พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ
ถ้ามุสลิมหลงเชื่อและปฏิบัติตามฮาดีษข้างบนนี้จะเสี่ยงต่อการกระทำชิริกเป็นอย่างยิ่ง ฮาดีษที่อ้างว่าท่านศาสน
ทูตมูฮัททัด ก้มลงจูบก้อนหินและร้องให้จึ่งเป็นฮาดีษที่เหลวไหลและมุสลิมไม่ควรที่จะปฏิบัติตามฮาดีษดังกล่าว
การที่นำเรื่องนี้มากล่าวอย่างซัำๆซากๆ นั้นเพื่อให้ผู้รู้ทางศาสนาอิสลาม ต่างๆและเยาวชนมุสลิม ได้ทราบอย่างแน่
ชัดว่า การนำเอาเรื่องไร้สาระต่างๆมาปะปนกับหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามนั้น เป็นการทำลายหลักการของอิสลาม
อย่างแน่ชัด ตราบใดที่ หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) นั้น ยังสถิตย์อยู่ในสถานที่กระทำพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามแล้ว
ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้มุสลิมไขว้เขวไปจากแนวางของอัลลอฮ์ ศาสนาอิสลามจะบริสุทธิ์ไม่ได้ตราบใดที่ยังมีหินดำ
(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) ที่เป็นวัตถุ ที่ติดต้ังอยู่ที่มุมยามานีย์ของกะอฺบะหฺในนครมักกะห์
หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) เป็นวัตถุที่ทำให้ศาสนาอิสลาม เปรอะเปื้อน ในเรื่อง "หลักการถือพระเจ้าองค์เดียว"
เมื่อเกี่ยวกับหลักศรัทธาหรือพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว มุสลิมจะเอาบุคคลหรือวัตถุมาเกี่ยวข้องหรือมีส่วนที่
ถือว่ามีความสำคัญในการสรรเสริญร่วมกับพระเจ้าไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นท่านศาสดาหรือสิ่งที่มี
ความสัมพันกับศาสดาของศาสนาอิสลามก็ตาม มุสลิมจะต้องนับถือและเชื่อฟังคำสังสอนของท่านศาสดา
ที่เป็นเรื่องเฉพาะที่นำมาจากอัลกุรอานเท่านั้น เรื่องอื่นใดที่ไม่เกี่ยวกับบัญญัติหรือวิทยปัญญาที่มาจากอัล
กุรอานแล้วมุสลิมไม่อาจจะนำมาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม หรือเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมของอิสลาม
ถึงแม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติของท่านศาสนทูตก็ตาม
การจูบและสัมผัสหินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) ไม่ใช่หลักศรัทธาในศาสนาอิสลาม ไม่ใช่พิธีกรรมในศาสนาอิสลาม
ไม่มีข้อบังคับใดๆในศาสนาอิสลามโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอัลกุรอานอัลลอฮ์ไม่ได้บัญญัติหรือกล่าวถึงเรื่อง
ราวของ หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) การจูบหรือเคารพรักก้อนหินเป็นความเชื่อของ มุชริกอรับ เมื่อพิจารณาจาก
อัลกุรอานเมื่ออัลลออ์กล่าวกำชับท่าน ศาสดามูฮัมมัดในการจดบันทึกและเผยแพร่อัลกุรอานแล้วไม่มีทางที่
จะเป็นไปได้ที่ท่านศาสนทูตจะก้มลงจูบก้อนหินอย่างไม่มีเหตุผลและท่านรอซูลย่อม รู้ดีว่า ถ้าท่านทำเช่นนั้น
จะทำให้มุสลิมรอบข้างเข้าใจผิดและกระทำตาม อย่างไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ฮาดีษที่เกี่ยวกับหินดำทุกๆบท ที่มี
อยู่ในสังคมมุสลิมจึงไม่อาจจะเป็นเรื่องจริง, มันอาจจะ เป็นเรื่องราวที่มุชริกอรับกรุขี้นมาเพื่อล่อลวงมุสลิมให้
หลง เชื่อในนามของท่านศาสดามูฮัมมัด
....จากฮาดีษในเรื่องการจูบและสัมผัสหินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد)ที่ติดตั้งอยู่ที่ มุมยามานีย์ของกะอฺบะหฺในนครมักกะห์
ประกอบ ทั้งในสังคมมุสลิมที่ยังมีการจูบและแย่งกันสัมผัสหินดำกันอยู่, จากเรื่องราวที่เกี่ยวกับหินดำ,ฮาดีษต่างๆ
ที่ได้รับการรับรองความแท้จริงจากผู้รู้มุสลิมในทุกระดับและ สมัยต่างๆ จนถึงในปัจจุบัน ยืนยันว่า ฮาดีษข้างล่าง
นี้เป็นความจริงและเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธาตามหลักการของศาสนาอิสลาม
ซึ่งตามเหตุผลแล้ว ฮาดีษข้างล่างนี้เป็น ฮาดีษที่ใช้ในการหลอกลวงมุสลิมให้ หันเหออกจากแนวทางของอัลลอฮ์
1.จากฮาดีษ: หินดำได้ถูกประทานลงมาจากสวรรค์ ในสภาพที่มีความขาวจัดประดุจน้ำนมต่อมาความชั่วของมนุษย์
ได้ทำให้มันเปลี่ยนสีเป็นสีดำ
2.จากฮาดีษ: “แท้จริงแล้วหินดำนี้คือการสาบานของอัลลอฮ์” บนโลกนี้”
3.จากฮาดีษ: แท้จริงสำหรับหินดำนี้มีลิ้นและมี2ริมฝีปาก มันจะเป็นพยานให้กับผู้ที่จูบหรือสัมผัสมันในวันกิยามะห์
ด้วยความสัจจริง
4.จากฮาดีษ 3957 - إنّ مَسْحَ الحَجَرِ الأسْوَدِ والرُّكْنِ اليَمانِي يَحُطَّانِ الخطايا حط
"แท้จริง การสัมผัสหินดำและมุมยามานีย์ ทั้งสองจะทำให้บาปร่วงแน่นนอน”
อัลลอฮ์ทรงเตือนมุสลิมไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺลุกมาน บัญญัติที่ 6 ว่า:
وَمِنَ النَّاسِ مَنْ يَشْتَرِي لَهْوَ الْحَدِيثِ لِيُضِلَّ عَنْ سَبِيلِ اللَّهِ بِغَيْرِ عِلْمٍ وَيَتَّخِذَهَا هُزُوًا ۚ أُولَٰئِكَ لَهُمْ عَذَابٌ مُهِينٌ {6}
{31:6} และในหมู่มนุษย์มีผู้แลกเอาเรื่องไร้สาระ เพื่อหลอกลวงผู้คนให้หลงออกจากทางของอัลลอฮฺ โดยปราศ
จากความรู้ และถือเอามันเป็นเรื่องขบขัน ชนเหล่านี้พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ
ถ้ามุสลิมหลงเชื่อและปฏิบัติตามฮาดีษข้างบนนี้จะเสี่ยงต่อการกระทำชิริกเป็นอย่างยิ่ง ฮาดีษที่อ้างว่าท่านศาสน
ทูตมูฮัททัด ก้มลงจูบก้อนหินและร้องให้จึ่งเป็นฮาดีษที่เหลวไหลและมุสลิมไม่ควรที่จะปฏิบัติตามฮาดีษดังกล่าว
การที่นำเรื่องนี้มากล่าวอย่างซัำๆซากๆ นั้นเพื่อให้ผู้รู้ทางศาสนาอิสลาม ต่างๆและเยาวชนมุสลิม ได้ทราบอย่างแน่
ชัดว่า การนำเอาเรื่องไร้สาระต่างๆมาปะปนกับหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามนั้น เป็นการทำลายหลักการของอิสลาม
อย่างแน่ชัด ตราบใดที่ หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) นั้น ยังสถิตย์อยู่ในสถานที่กระทำพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามแล้ว
ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้มุสลิมไขว้เขวไปจากแนวางของอัลลอฮ์ ศาสนาอิสลามจะบริสุทธิ์ไม่ได้ตราบใดที่ยังมีหินดำ
(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) ที่เป็นวัตถุ ที่ติดต้ังอยู่ที่มุมยามานีย์ของกะอฺบะหฺในนครมักกะห์