สวัสดีค่ะ _/\_ ขอเล่า Background ของนิคร่าวๆ ก่อนนะคะ เผื่อคนที่อ่านจะได้เอาไปปรับใช้กับสถานการณ์ของตัวเองได้ถูก นิตัดสินใจซื้อคอนโดเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ค่ะ เป็นการตัดสินใจแบบปัจจุบันทันด่วนมากๆ คือ อยากย้ายออกไปอยู่คนเดียว ก็เลยเริ่มตระเวนหาคอนโดที่น่าสนใจ รวมเวลาตั้งแต่คิดอยากจะมีคอนโดเป็นของตัวเองจนย้ายเข้าไปอยู่จริงๆ เนี่ย ประมาณเดือนครึ่งเท่านั้นเองค่ะ อาจจะเพราะเจอคอนโดที่ตอบโจทย์ค่อนข้างเร็วด้วย ตอนที่ยื่นกู้ สถานะของนิเป็นประมาณนี้นะคะ
- อายุ 24 ปี
- กู้คนเดียว ไม่มีผู้กู้ร่วม ไม่มีเงินดาวน์ (ไม่มีเงินดาวน์จริงๆ มันไม่ดีนะคะ อย่าทำตาม ควรดาวน์อย่างน้อยสัก 10% ได้ข่าวว่าปีนี้แบงค์ชาติเริ่มคุมเข้มมากขึ้นแล้วด้วย) สำหรับนิที่ไม่วางเงินดาวน์ เพราะเงินเก็บที่มีมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น เลยอยากเก็บเงินไว้ก่อน คิดว่าถ้าตอนหลังอยากลดภาระหนี้ ค่อยเอาเงินเก็บมาโปะแบบตัดเงินต้นอีกทีค่ะ ซึ่งแบบนี้จะเสียดอกเบี้ยเยอะกว่าวางเงินดาวน์ไปเลยตั้งแต่แรกนะคะ
- มีงานประจำ เป็นพนักงานบริษัทเอกชน อายุงาน 2 ปี
- รายได้ต่อเดือนหลังหักลดหย่อนพื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีในอัตรา 5% (ขอโทษที่บอก
จำนวนตรงๆ ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวมีเพื่อนร่วมงานมาเห็น มันผิดกฎบริษัทค่ะ)
- นิเริ่มต้นเองจาก 0 เพราะว่าพื้นฐานทางบ้านก็ธรรมดาๆ ค่ะ พ่อแม่ให้สิ่งที่ดีที่สุดมาแล้วคือการศึกษา นอกนั้นก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องไขว่คว้ามาเอง ใครที่ท้อใจว่า ไม่มีใคร support แล้วเมื่อไหร่จะมีบ้านเป็นของตัวเองได้ ไม่ต้องท้อนะคะ บ้านและคอนโดมีหลายราคา เราสามารถเลือกที่เหมาะกับงบของเราได้ค่ะ อย่าให้เกินตัว
- คอนโดราคา 2,690,000 บาท เป็นห้อง Fully Fitted 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 32.5 ตารางเมตร อยู่ในระยะที่สามารถเดินไปขึ้นบีทีเอสได้ (ไม่ใกล้มาก) ตอนที่ไปจอง คอนโดสร้างเสร็จเรียบร้อย มีลูกบ้านย้ายเข้ามาอยู่บางส่วนได้ประมาณครึ่งปีแล้วค่ะ
ปูพื้นฐาน สร้างเครดิต
พูดซะเหมือนจะไปปรับพื้นฐานตอนเข้ามัธยม คือจะพูดถึงปัจจัยที่นิคิดว่าทำให้ตัวเองกู้ผ่านง่ายนะคะ พวกนี้จะว่านิตั้งใจปูทางมาเพื่อไปซื้อบ้านโดยเฉพาะก็ไม่ใช่หรอกค่ะ เพียงแต่พยายามควบคุมตัวเองให้มีวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างหนี้สินมากเกินกว่าที่ตัวเองจะจ่ายได้ ใครที่อยากจะซื้อบ้านก็ค่อยๆ เตรียมตัวกันนะคะ พอเรามีเครดิตดีแล้วกู้อะไรก็ง่ายค่ะ
1.
ไม่มีภาระหนี้สิน: ส่วนใหญ่ เด็กจบใหม่จะซื้อรถกันก่อน บ้านนี่คิดกันทีหลัง พอจะมากู้บ้าน ความสามารถในการชำระหนี้แต่ละเดือนก็ลดลงไปเยอะแล้ว ทำให้กู้กันไม่ผ่าน แต่เผอิญว่านิขับรถไม่เป็นค่ะ เพิ่งมาคิดจะเรียนขับรถหลังซื้อบ้านนี่เอง แต่ถึงใครมีหนี้ก็ใช่ว่าจะกู้ไม่ผ่านนะคะ ต้องเทียบวงเงินกู้กับความสามารถในการชำระหนี้ที่เหลืออยู่ด้วย เช่น ถ้าเงินเดือน 60,000 มีหนี้ที่ต้องชำระ 10,000 บาททุกเดือน ธ. อาจจะมองว่าเรามีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้อีกประมาณไม่เกิน 15,000 — 20,000 บาทต่อเดือน ก็จะปล่อยกู้ให้เราได้ในวงเงินที่พอเหมาะกับความสามารถในการชำระหนี้ของเราค่ะ
2.
มีข้อมูลในเครดิตบูโร: ก่อนที่ธนาคารจะปล่อยกู้ทุกครั้งเขาจะเช็คข้อมูลเครดิตบูโรของเราก่อนเสมอ เพื่อดูประวัติการชำระหนี้ ซึ่งธ.เขาจะสามารถคาดเดานิสัยทางการเงินของเราได้จากตรงนี้นะคะ เอ่ แล้วไหนข้อก่อนบอกว่าไม่มีภาระหนี้สิน ทำไมถึงมีข้อมูลในเครดิตบูโรได้ นิมีบัตรเครดิตค่ะ มีหลายใบด้วย (ถ้าวันไหนว่างๆ จะมารีวิวเรื่องบัตรเครดิตให้ฟังนะคะ) แต่นิ
จ่ายเต็มเกือบทุกเดือนค่ะ เดือนไหนที่หมุนไม่ทันก็มีหยวนๆ ให้ตัวเองบ้าง แต่จะไม่ทิ้งหนี้เก่าไว้เกินสองเดือนเด็ดขาด คือ สมมติ เดือนนี้มีเงินไม่พอ จ่ายไปแค่ครึ่งเดียว เดือนหน้าก็จะต้องหาเงินมาปิดยอดที่เรียกเก็บมาให้ได้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้หนี้มันพอกพูนขึ้นไปอีกค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ช่วงหกเดือนก่อนที่จะกู้ นิจ่ายเต็มทุกเดือน ทุกใบนะคะ ถ้ายิ่งมีหนี้บัตรเครดิตมากโอกาสที่จะกู้ได้ก็จะน้อยตามไปด้วยค่ะ
3.
มีเงินเก็บ: ข้อนี้เป็นอีกข้อที่สำคัญมาก นิไม่แนะนำให้ใครซื้อบ้านโดยที่ไม่มีเงินเก็บสำรองไว้เลย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้นะคะ สมมติอยู่ๆ เราตกงานหรือป่วยไปทำงานไม่ได้ขึ้นมา เราจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อนบ้าน ถ้าทิ้งไว้ไม่ผ่อน โดนดอกเบี้ยผิดนัด ทีนี้หนี้จากที่เยอะอยู่แล้วก็พอกขึ้นไปอีก หรือผ่อนไม่ไหว โดนธ. ยึด ที่เราผ่อนมาก็สูญไปหมด กลับกัน ถ้าเรามีเงินเก็บสำรองไว้ให้พอผ่อนบ้านไปได้อย่างน้อยสักครึ่งปี นอกจากธ. จะให้คะแนนเราเพิ่มแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงและซื้อเวลาให้ตัวเองตั้งหลักใหม่ได้ด้วยนะคะ
4.
มีรายได้แน่นอนพร้อมหลักฐาน: ข้อนี้คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนึกถึงกัน ถ้าทำงานบริษัทแบบนิก็สบายหน่อย มีสลิปเงินเดือนเป็นหลักฐานทุกเดือน แต่ตอนกู้ นิไม่ได้ยื่นแค่สลิปนะคะ นิแนบตัวภงด. 90 ไปด้วย สำหรับคนที่ทำงานฟรีแลนซ์หรืองานไม่ประจำทั้งหลาย ภงด.90 หรือ 91 นี่ล่ะค่ะ ที่จะช่วยเป็นหลักฐานได้ ว่าคุณมีรายได้เท่าไหร่ บางคนเห็นว่าตัวเองเป็นฟรีแลนซ์ รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็ไม่ยื่นกัน แต่พอจะต้องใช้ ไม่มีขึ้นมานี่ลำบากนะคะ
อ่านต่อในคอมเม้นท์นะคะ
แบ่งปันประสบการณ์ซื้อคอนโดหลังแรก ฉบับมือใหม่
สวัสดีค่ะ _/\_ ขอเล่า Background ของนิคร่าวๆ ก่อนนะคะ เผื่อคนที่อ่านจะได้เอาไปปรับใช้กับสถานการณ์ของตัวเองได้ถูก นิตัดสินใจซื้อคอนโดเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ค่ะ เป็นการตัดสินใจแบบปัจจุบันทันด่วนมากๆ คือ อยากย้ายออกไปอยู่คนเดียว ก็เลยเริ่มตระเวนหาคอนโดที่น่าสนใจ รวมเวลาตั้งแต่คิดอยากจะมีคอนโดเป็นของตัวเองจนย้ายเข้าไปอยู่จริงๆ เนี่ย ประมาณเดือนครึ่งเท่านั้นเองค่ะ อาจจะเพราะเจอคอนโดที่ตอบโจทย์ค่อนข้างเร็วด้วย ตอนที่ยื่นกู้ สถานะของนิเป็นประมาณนี้นะคะ
- อายุ 24 ปี
- กู้คนเดียว ไม่มีผู้กู้ร่วม ไม่มีเงินดาวน์ (ไม่มีเงินดาวน์จริงๆ มันไม่ดีนะคะ อย่าทำตาม ควรดาวน์อย่างน้อยสัก 10% ได้ข่าวว่าปีนี้แบงค์ชาติเริ่มคุมเข้มมากขึ้นแล้วด้วย) สำหรับนิที่ไม่วางเงินดาวน์ เพราะเงินเก็บที่มีมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น เลยอยากเก็บเงินไว้ก่อน คิดว่าถ้าตอนหลังอยากลดภาระหนี้ ค่อยเอาเงินเก็บมาโปะแบบตัดเงินต้นอีกทีค่ะ ซึ่งแบบนี้จะเสียดอกเบี้ยเยอะกว่าวางเงินดาวน์ไปเลยตั้งแต่แรกนะคะ
- มีงานประจำ เป็นพนักงานบริษัทเอกชน อายุงาน 2 ปี
- รายได้ต่อเดือนหลังหักลดหย่อนพื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีในอัตรา 5% (ขอโทษที่บอก
จำนวนตรงๆ ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวมีเพื่อนร่วมงานมาเห็น มันผิดกฎบริษัทค่ะ)
- นิเริ่มต้นเองจาก 0 เพราะว่าพื้นฐานทางบ้านก็ธรรมดาๆ ค่ะ พ่อแม่ให้สิ่งที่ดีที่สุดมาแล้วคือการศึกษา นอกนั้นก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องไขว่คว้ามาเอง ใครที่ท้อใจว่า ไม่มีใคร support แล้วเมื่อไหร่จะมีบ้านเป็นของตัวเองได้ ไม่ต้องท้อนะคะ บ้านและคอนโดมีหลายราคา เราสามารถเลือกที่เหมาะกับงบของเราได้ค่ะ อย่าให้เกินตัว
- คอนโดราคา 2,690,000 บาท เป็นห้อง Fully Fitted 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 32.5 ตารางเมตร อยู่ในระยะที่สามารถเดินไปขึ้นบีทีเอสได้ (ไม่ใกล้มาก) ตอนที่ไปจอง คอนโดสร้างเสร็จเรียบร้อย มีลูกบ้านย้ายเข้ามาอยู่บางส่วนได้ประมาณครึ่งปีแล้วค่ะ
ปูพื้นฐาน สร้างเครดิต
พูดซะเหมือนจะไปปรับพื้นฐานตอนเข้ามัธยม คือจะพูดถึงปัจจัยที่นิคิดว่าทำให้ตัวเองกู้ผ่านง่ายนะคะ พวกนี้จะว่านิตั้งใจปูทางมาเพื่อไปซื้อบ้านโดยเฉพาะก็ไม่ใช่หรอกค่ะ เพียงแต่พยายามควบคุมตัวเองให้มีวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างหนี้สินมากเกินกว่าที่ตัวเองจะจ่ายได้ ใครที่อยากจะซื้อบ้านก็ค่อยๆ เตรียมตัวกันนะคะ พอเรามีเครดิตดีแล้วกู้อะไรก็ง่ายค่ะ
1. ไม่มีภาระหนี้สิน: ส่วนใหญ่ เด็กจบใหม่จะซื้อรถกันก่อน บ้านนี่คิดกันทีหลัง พอจะมากู้บ้าน ความสามารถในการชำระหนี้แต่ละเดือนก็ลดลงไปเยอะแล้ว ทำให้กู้กันไม่ผ่าน แต่เผอิญว่านิขับรถไม่เป็นค่ะ เพิ่งมาคิดจะเรียนขับรถหลังซื้อบ้านนี่เอง แต่ถึงใครมีหนี้ก็ใช่ว่าจะกู้ไม่ผ่านนะคะ ต้องเทียบวงเงินกู้กับความสามารถในการชำระหนี้ที่เหลืออยู่ด้วย เช่น ถ้าเงินเดือน 60,000 มีหนี้ที่ต้องชำระ 10,000 บาททุกเดือน ธ. อาจจะมองว่าเรามีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้อีกประมาณไม่เกิน 15,000 — 20,000 บาทต่อเดือน ก็จะปล่อยกู้ให้เราได้ในวงเงินที่พอเหมาะกับความสามารถในการชำระหนี้ของเราค่ะ
2. มีข้อมูลในเครดิตบูโร: ก่อนที่ธนาคารจะปล่อยกู้ทุกครั้งเขาจะเช็คข้อมูลเครดิตบูโรของเราก่อนเสมอ เพื่อดูประวัติการชำระหนี้ ซึ่งธ.เขาจะสามารถคาดเดานิสัยทางการเงินของเราได้จากตรงนี้นะคะ เอ่ แล้วไหนข้อก่อนบอกว่าไม่มีภาระหนี้สิน ทำไมถึงมีข้อมูลในเครดิตบูโรได้ นิมีบัตรเครดิตค่ะ มีหลายใบด้วย (ถ้าวันไหนว่างๆ จะมารีวิวเรื่องบัตรเครดิตให้ฟังนะคะ) แต่นิจ่ายเต็มเกือบทุกเดือนค่ะ เดือนไหนที่หมุนไม่ทันก็มีหยวนๆ ให้ตัวเองบ้าง แต่จะไม่ทิ้งหนี้เก่าไว้เกินสองเดือนเด็ดขาด คือ สมมติ เดือนนี้มีเงินไม่พอ จ่ายไปแค่ครึ่งเดียว เดือนหน้าก็จะต้องหาเงินมาปิดยอดที่เรียกเก็บมาให้ได้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้หนี้มันพอกพูนขึ้นไปอีกค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ช่วงหกเดือนก่อนที่จะกู้ นิจ่ายเต็มทุกเดือน ทุกใบนะคะ ถ้ายิ่งมีหนี้บัตรเครดิตมากโอกาสที่จะกู้ได้ก็จะน้อยตามไปด้วยค่ะ
3. มีเงินเก็บ: ข้อนี้เป็นอีกข้อที่สำคัญมาก นิไม่แนะนำให้ใครซื้อบ้านโดยที่ไม่มีเงินเก็บสำรองไว้เลย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้นะคะ สมมติอยู่ๆ เราตกงานหรือป่วยไปทำงานไม่ได้ขึ้นมา เราจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อนบ้าน ถ้าทิ้งไว้ไม่ผ่อน โดนดอกเบี้ยผิดนัด ทีนี้หนี้จากที่เยอะอยู่แล้วก็พอกขึ้นไปอีก หรือผ่อนไม่ไหว โดนธ. ยึด ที่เราผ่อนมาก็สูญไปหมด กลับกัน ถ้าเรามีเงินเก็บสำรองไว้ให้พอผ่อนบ้านไปได้อย่างน้อยสักครึ่งปี นอกจากธ. จะให้คะแนนเราเพิ่มแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงและซื้อเวลาให้ตัวเองตั้งหลักใหม่ได้ด้วยนะคะ
4. มีรายได้แน่นอนพร้อมหลักฐาน: ข้อนี้คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนึกถึงกัน ถ้าทำงานบริษัทแบบนิก็สบายหน่อย มีสลิปเงินเดือนเป็นหลักฐานทุกเดือน แต่ตอนกู้ นิไม่ได้ยื่นแค่สลิปนะคะ นิแนบตัวภงด. 90 ไปด้วย สำหรับคนที่ทำงานฟรีแลนซ์หรืองานไม่ประจำทั้งหลาย ภงด.90 หรือ 91 นี่ล่ะค่ะ ที่จะช่วยเป็นหลักฐานได้ ว่าคุณมีรายได้เท่าไหร่ บางคนเห็นว่าตัวเองเป็นฟรีแลนซ์ รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็ไม่ยื่นกัน แต่พอจะต้องใช้ ไม่มีขึ้นมานี่ลำบากนะคะ
อ่านต่อในคอมเม้นท์นะคะ