เจาะตลาดธุรกิจไอดอลกับ “อธิปติ ไพรหิรัญ” ผู้ปั้นวง FEVER ความลงตัวของประสบการณ์และความนิยมแห่งยุคสมัย

กระทู้สนทนา
คัดมาส่วนหนึ่งนะครับ
####
....จากความเข้าใจของคนทั่วไป “ไอดอล” ก็เป็นดารา นักร้อง หรือคนมีชื่อเสียงทั่วๆ ไป หรือในมุมมองของเอเจนซี่ก็อาจเป็นอินฟลูเอนเซอร์อย่างหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วในประเทศที่เป็นจุดกำเนิดไอดอลอย่างเกาหลีและญี่ปุ่นนั้นไอดอลก็อยู่อีกหมวดหมู่ที่ไม่ใช่ดารา นักร้อง หรือคนมีชื่อเสียง แต่เป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีทั้งชายและหญิงที่อยากจะเข้าวงการบันเทิง นั่นคือการเป็นไอดอลเป็นการเปิดโอกาสในการเป็นที่รู้จักในที่สาธารณะ และที่ฝึกหัดทักษะในการทำงานวงการบันเทิง เช่น การร้องและการเต้น

ในโลกของการทำงานบันเทิงนั้นมีประเภทงานหลากหลาย ในจุดเริ่มต้น อธิปติอธิบายว่าสำหรับเขาแล้ว “ไอดอล” อยู่ในอุตสาหกรรมดนตรี “ถ้าวงของเรามันเป็นระบบไอดอลของญี่ปุ่น ซึ่งไปทางอุตสาหกรรมดนตรี มันเริ่มจากฝั่งดนตรีแล้วค่อยขยายไปทางการแสดง เพราะว่าสุดท้ายไอดอลคือนักร้อง แต่เป็นนักร้องที่อาจจะไม่ได้พร้อมมาก และไม่ถึงขั้นเป็นศิลปินใหญ่ คือไอดอลถูกวางไว้เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ แต่ด้วยความที่เด็กๆ จะถูกฝึกเรื่องการแสดงและการร้องเพลง ถึงวันหนึ่งที่เขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เขาก็จะมี skill set ไปต่อยอดงานในวงการบันเทิงอะไรของเขาเอง”

หากบอกว่าไอดอลเริ่มที่การเป็นนักร้อง แล้วความต่างระหว่างไอดอลกับเกิร์ลกรุ๊ปอยู่ไหน อธิปติบอกว่า “1. ระบบ อย่างระบบวงไอดอลรับมาเป็นแบบญี่ปุ่น ความเชี่ยวชาญชำนาญด้านการแสดงทั้งร้องและเต้นก็จะยังไม่เท่ากับเกิร์ลกรุ๊ป ไอดอลคือกลุ่มที่ไม่ได้เป็นศิลปิน เป็นกลุ่มเด็กๆ ที่ผู้คน (แฟนคลับ) ดูแล้วจะอยากเห็นพัฒนาการ อย่างเช่นเพลงแรก Start Again จะเห็นว่าการแสดงมันประมาณนี้ พอเพลงถัดๆ ไป ก็จะได้เห็นว่าความสามารถดีขึ้น 2. ความต่างอีกอย่างคือการเข้าถึงตัวศิลปินและไอดอลก็จะต่างกัน ศิลปินจะเข้าถึงตัวยาก คนไม่รู้ว่าจะได้เจอเมื่อไหร่ แต่ไอดอล ดังแค่ไหนก็ต้องมีงานจับมือและงานถ่ายรูป คือมีกิจกรรมที่แฟนคลับจะได้ปฏิสัมพันธ์กับไอดอลแน่นอน”

ในช่วงเวลาที่ใครๆ ก็คุ้นกับไอดอล ใครๆ ก็เต้นเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย เหมือนมีภาคบังคับว่าทุกวงดนตรีที่ขึ้นคอนเสิร์ตต้องเล่นเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย กลายเป็น “ปรากฏการณ์บีเอ็นเค” จนถึงตอนนี้ในมุมของคนที่ไม่ใช่แฟนคลับวงไอดอลรับรู้ว่าหลายวงไอดอลเกิดขึ้นใหม่ เกิดเป็นความสงสัยว่าต่อไปไอดอลจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทยหรือไม่ อธิปติเสนอมุมมองว่า ไอดอลนั้นไม่ใช่เรื่องเรื่องกระแสหลัก มันเป็นความนิยมเฉพาะกลุ่ม

“ในมุมมองผม บีเอ็นเคจะเป็นเพียงกระแส แต่ในไทยไอดอลมีมานานแล้ว แต่มันเป็นความนิยมเฉพาะกลุ่ม มันไม่เคยอยู่ในกระแสหลักหรอก แต่ข้อดีของยุคสมัยนี้คือต่อให้เป็นเฉพาะกลุ่ม แต่ด้วยอินเทอร์เน็ต คนสามารถเข้าถึงง่ายขึ้น อย่างเรื่องที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยดูทีวี หันไปดูยูทูบ ก็เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ถึงไอดอลจะเป็นกลุ่ม niche (เฉพาะกลุ่ม) แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไป เช่น การมีแชนแนลยูทูบ ระบบมันเอื้อให้เข้าถึงง่ายขึ้น จะทำให้ไอดอลมีอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่ว่ากระแสหมดแล้วหายไป คนที่ชอบไอดอลจริงๆ ก็จะอยู่ตรงนั้น แต่ในการทำธุรกิจเราก็อยากให้คนชอบเยอะๆ แต่ว่าถ้าเราไปทำขนาดนั้น จนเสียความเป็นตัวตนของวง FEVER ก็ไม่ใช่อยู่ดี อีกอย่างที่คุยกันไว้ วงเราจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เหมือนมีหนังแอคชั่น หนังดราม่า ก็ให้คนเลือกที่ชอบ”

สำหรับอีเวนต์ที่ให้แฟนคลับได้ใกล้ชิดกับไอดอลอย่างงานถ่ายรูป ที่ต้องเสียเงินเพื่อถ่ายรูปคู่ อธิปติมองว่า แม้การตามดาราปกติ เราสามารถขอถ่ายรูปคู่ ขอลายเซ็นได้ แต่เปอร์เซ็นต์การเจอมันต่างกัน และเราจะรู้ได้ไงว่าเจอแล้วดาราคนนั้นจะยอมให้เราถ่ายรูปด้วย ซึ่งการตามไอดอลจะมีตารางแน่นอน ส่วนเงินที่จ่ายไปก็คือค่าทำงาน เพราะสุดท้ายก็ถือว่าเป็นงานที่เขาต้องทำ...

#####

กว่าจะเป็นวง FEVER ที่คุยเฉยๆ นาน แต่ตอนที่ลงมือทำจริงจังก็สักประมาณปีหนึ่งที่ผ่านมา ใจไม่อยากให้ดังเร็ว อธิปติเล่าถึงแนวทางของวง และการปรับกิจกรรมการพบเจอแฟนคลับของวงไอดอลบางอย่าง “วงนี้สมาชิก 12 คน จะให้ไปด้วยกันทั้งหมด เพราะไม่อยากให้มีการแข่งขันกันเอง และไม่อยากให้เด็กทะเลาะกัน แม้ว่าตามธรรมชาติเด็กผู้หญิงอยู่ร่วมกันหลายๆ คนจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็พยายามเลี่ยงมากที่สุด ผมมองว่ามันคือการบริหารทั้งวง เด็กดูแลกันเอง มีเด็กบางคนเรียนมหาวิทยาลัยจบแล้วก็ดูแลเด็กที่ยังเรียนชั้นมัธยม ส่วนกิจกรรมบางอย่างของวงไอดอลก็ยังอยู่ในขั้นตอนที่คุยกัน เราคุยกับเด็กว่าอะไรโอเคไม่โอเค เพราะบริบทวัฒนธรรมของไทยกับญี่ปุ่นมันต่างกัน อย่างงานจับมือ ก็คุยกันว่าโอเคไหม ถ้าไม่ เราเปลี่ยน อาจจะมีหรือไม่มี คือปรับให้เข้ากับสังคมไทยและความสบายใจของเด็ก”

กสิ่งที่อธิปติพยายามจะปรับคือวงจรการประมูลสินค้าไอดอลที่มีราคาสูงจนน่าตกใจ เขาบอกว่าอยากจะตัดวงจรตรงนั้นออก เพราะอยากให้เงินที่ไปทุ่มกับการประมูลสินค้านั้นเข้าเด็กในวง หรือเป็นรายได้ของบริษัทมากกว่าที่เห็น

วิธีการคัดเลือกคนเข้ามาวง FEVER ไม่ได้ดูว่าต้องร้องเพลงเพราะหรือหน้าตาดีที่สุด แต่ดูที่คาแรกเตอร์บางอย่างที่น่าสนใจ อธิปติเล่าว่า “ต้องมองต่อไปว่าคนนี้จะขยายต่อไปเป็นอะไรบางอย่างได้ อย่างเราและทีมคัดเลือกเองดูเองยังชอบ คนอื่นก็น่าจะชอบ เรื่องหน้าตา จริงๆ แล้วโดยรวมของการอยู่ในวงการบันเทิง ยังไงก็ต้องยึดหน้าตาประมาณหนึ่ง แต่ถ้ามีคนคาแรกเตอร์น่าสนใจ กับคนหน้าตาดี ก็จะเลือกคนแรกมากว่า คนที่หน้าตาดีพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่มีจุดเด่นให้คนดูจำได้ อย่างใน 12 คนนี้ ถ้าคนมอง ไม่ชอบคนหนึ่ง ก็ต้องชอบอีกคนหนึ่งอยู่ดี”...

อ่านต่อที่เหลือได้ที่ https://thaipublica.org/2019/02/atipti-fever/

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่