วิธี การปรับชีวิตกับงานได้อย่างสมดุล(Work Life Balance) เป็นการเล่าประการณ์ของคนที่จะเกษียณ 60 ปี ปีนี้

Work Life Balance หรือการปรับชีวิตกับงานได้อย่างสมดุลและดี ซึ่งแต่ละคนย่อมแตกต่างกันตามเหตุปัจจัยของมนุษย์เงินเดือน หรือผู้ประกอบธุรกิจ

     ซึ่งบางคน เอางานเป็นหลัก  แล้วปรับชีวิตให้เข้ากับงาน (คือไม่เลือกงาน ได้งานแล้วปรับเปลี่ยนชีวิต)
     แต่บางคน เอาชีวิตเป็นหลัก แล้วปรับงานให้เข้ากับชีวิต  (คือมีความสามารถเลือกงาน ให้เข้ากับชีวิต)
     ก็บางคน  ปรับงานและชีวิต ประกองไปทั้งคู่  

        ดังนั้น Work Life Balance ความจริงแล้ว ไม่ใช่เป็นการตั้งกรอบว่าต้องอย่างนี้ อย่างนี้เอาไว้ก่อน แต่เป็นการปรับสมดุล ไปตามวิถีชีวิตและงานที่ดำเนินไปตามความเป็นจริงของแต่ละคนที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นต่างๆ กันตามช่วงเวลาของแต่ละคน  

        สำหรับผมทำงานเอกชนมาจนใกล้เกษียณ ประมาณกลางปีนี้ (ครบเดือนเกิด 60 ปี ยื่นขอเกษียณ ปล่อยให้บริษัทตัดสินใจเอง ส่วนผมได้ทั้งหมด ถ้ายุติการงานทำงานก็พออยู่ได้แล้ว) ประสบการณ์ทำงานถือว่ายาวนานพอสมควร

            ผมเริ่มทำ Work Life Balance  เมื่อใด?  
        ผมเริ่มทำเมื่อหลังจากผมได้รับสัญชาติไทยอย่างสมบูรณ์  ในปี พ.ศ. 2537-8 ผมมีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์สูงในสายอาชีพ คือมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สร้างพัฒนาขึ้นมาด้วยตนเองเป็นระบบใหญ่ระดับห้างได้ และเริ่มขายลูกค้าไป 2 รายแล้ว (แต่เมือปี 2540 ก็หายไป) ก็ กำลังติดต่ออีก 1 ราย ที่ผมต้องปรับระบบโครงสร้างโปรแกรมเป็นส่วนมาก  ผมอยู่ระหว่างการตัดสินใจ จะเปิดธุรกิจของตนเองเป็นห้างหุ้นส่วน หรือเปลี่ยนงานเพื่อไปเป็นโปรแกรมเมอร์และเป็นผู้บริหารคอมพิวเตอร์

        แต่สุขภาพผมแย่มากๆ คือมีความเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตด้วยข้อบวมอักเสบจนกระดูกเบียดกันจนไข้ขึ้นทรมานอยู่ 3-7 วัน เดือนละ 1 ครั้ง และถ่ายท้องยากถึงขั้นมาก ต้องเสียเวลากับการถ่ายท้องนาน  ด้วยต่อสู้มาตั้งแต่เรียนปริญญาตรี ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ เพราะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย  จึงมีความกดดันเครียดทุกด้านแม้กับพ่อของตนเอง แต่ด้วยปฏิบัติธรรมด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็กๆ และปฏิบัติมากยิ่งขึ้นเมื่อทุกข์กดดันมากขึ้น ระหว่างจะเรียนจบ ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรม และผลการเรียนทางโลกก็จบผ่านทุกวิชา แต่ไม่รู้ว่าตนเองจะไม่รับปริญญาหรือเปล่าเพราะหลักฐานที่ยืนไปตอนสมัครเรียนไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถหาได้อีกเลย เรื่องทางโลกในการเรียนเดินมาถึงที่สุดแล้วแต่มันมืดทึบไม่เห็นทางออกเลย จึงสละเวลาทั้งหมดและชีวิตทั้งหมดให้กับการปฏิบัติธรรมในวัดนั้น จนยิ่งยวด เป็นเวลาถึง 4-5 เดือน  จึงเห็นธรรมที่เป็นอย่างยิ่ง  พร้อมทั้งได้รับอนุมัติจบและได้รับปริญญาเป็นคนหลังสุดเพราะเกิดน้ำท้วมใหญ่ในปี 2526 มหาลัยรามคำแห่งเปิดเรียนไม่ได้เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนโดยที่ผมไม่ต้องไปวิ่งติดต่อ เพราะก่อนหน้านั้นทางมหาลัยได้ส่งจดหมายเพื่อให้ติดต่อทางมหาลัยในขณะที่ผมบวชอยู่  ผมจึงได้รับปริญญาทางโลกและทางธรรมพร้อมๆ กัน

          แต่หลังจากนั้นผมก็ยังตกระกำลำบากเพราะไม่สามารถมีงานที่มั่นคงทำได้ จึงหาเลี้ยงตนเองไปเป็นเดือนๆ ด้วยการเป็นติวเตอร์ คณิตศาสตร์และสถิติเบื้องต้น ไม่สะสมทรัพย์สิน เพราะใจนั้นอยู่ที่การปฏิบัติธรรม หวังจะกลับไปบวชพระอีกเมื่อโอกาสเปิด  แต่พอมีแฟนยังเรียนอยู่และกลายเป็นภรรยากำลังท้องและเรียนจบพอดีโดยที่ผมไม่ได้วางแผนไว้ก่อนเลย ความทุกข์ใหญ่จึงเริ่มขึ้นเมื่อผมตกงาน งานอิสระก็ตกงานได้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมภรรยาและลูกตกระกำลำบากไปเกือบ 10 ปี ที่เดี่ยว  ผมได้ใช้ร่างกายที่เป็นโรคปวดทรมานเป็นดังมนุษย์เปรตอย่างมากและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเลย ใช้เวลาให้กับงาน และทำงานเสริม แต่ได้เงินมาเพียงน้อย แค่ประกองให้ครอบครัวอยู่ได้ โดยอาศัยเขาอยู่ และเช่าห้องอยู่เท่านั้น และผมต้องเจียดเวลา ตั้งแต่ค่ำ ถึงเทียงคืน ศึกษาเรียนรู้ระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 0 คือไม่ได้เรียนมาก่อนเลยในมหาลัย จนภรรยาทนแทบเอาขวานมาฟันคอมพิวเตอร์ทิ้งไป  แล้วบอกว่า เรามีงานทำเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว ผมจึงอธิบายให้ภรรยาฟังว่า ผมเห็นอนาคตไกลไปกว่าคุณมาก  เราต้องอยู่ต้องเช่าห้องเขาไปอย่างนี้หรือ ทรัพย์สินก็ไม่มีเงินเก็บก็ไม่มี ลูกก็ต้องเรียนสูงขึ้นค่าใช้จ่ายมากขึ้น  สิ่งนี้ที่ผมทำนี้แหละทำให้เราไม่ลำบากในภายหลัง พลิกยกฐานะขึ้นมาได้  ภรรยาจึงหยุดทั้งแต่นั้นมา.    
          ทำไมผมประกองชีวิตอยู่ได้  ก็ด้วยการเห็นธรรมนั้น กลายเป็นคุณสมบัติติดตัวไป เพราะแม้จะได้รับความกดดันทุกข์มากมายแค่ไหน ก็ไม่ตกสะสมกันมากเป็นอนุสัยภัยในจิตใจจนผิดเพี้ยนฟั่นเฝื่อนไปได้ ด้วยแม้โรคภัยทำให้เจ็บปวดทรมานดังมนุษย์เปรตที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจึงไม่ทราบสาเหตุ จิตใจก็ไม่ผิดเพียนไปได้  แม้เรื่องเศร้าหมองทุกข์ใจที่สะสมมา เมื่อนั่งเข้าสมาธิก็หายอย่างปลิดทิ้ง เมื่อถอนออกมา หรือแม้เรื่องทุกข์รำคาญที่สะสมระหว่างวัน เมื่อนอนหลับรุ้งวันใหม่ก็คลายไปแล้ว  ส่วนการเจ็บปวดทรมานของร่างกายนั้น เมือกลับถึงที่พักผมต้องนอนคู้ ด้วยความเจ็บปวดทรมาน บางครั้งครางเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดทรมานจนน้ำตาไหล แต่ด้วยวัยยังหนุ่มอยู่ เมื่อได้นอนหลับตื่นมาร่างกายก็พอต้านทานได้ ก็ไปทำงานต่อตามปกติทั้งที่ยังเจ็บปวดบวมอยู่

         เมื่อผมนำเรื่องที่จะเปิดธุรกิจของตนเองดี  หรือทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไปดี ปรึกษากับภรรยา ภรรยาให้เหตุผลว่า  สุขภาพผมแย่ขนาดนี้  แค่มีลูกค้าเพียง 5-6 ราย สุขภาพผมก็แย่แล้ว ดูแลไม่ไหวควรเปลี่ยนงาน หางานใหม่เป็นโปรแกรมเมอร์ให้กับบริษัททั่วไปที่ไม่ใช่บริษัทที่ขายพัฒนาโปรแกรม เพราะจะเหนื่อยและหนักมากเหมือนเดิม
          เพื่อหาข้อยุติ ผมจึงเสนอราคา ลูกค้ารายที่ 3 ไว้สูงมาก คือ 9 แสนบาท ทั้งระบบและจะฝังตัวให้เวลาเขา เพื่อพัฒนาให้เป็นเวลา 1 ปี  ลูกค้ารายที่ 3 รับไม่ไหว ผมจึงเปลี่ยนงาน อย่างมีข้อยุติแล้วนั้นเอง  
          ผมเริ่มคำนึงถึง Work Life Balance  เมื่อหางานที่ใหม่ โดยไม่ทำงานเสริมนอกเวลาอีกแล้ว และตั้งเงินเดือนตัวเองที่ 25,000 - 32,000 บาท เมื่อ ผมอายุ 37-38 ปี เมื่อ พ.ศ. 2539 จากเงินเดือนที่เก่าเพียง 15,000 บาท และต้องให้ผมเข้างานสายได้  ไม่ต้องตอกบัตรเข้าทำงาน ในตำแหน่งผู้บริหารคอมพิวเตอร์ (ออ..ตอนนั้นเงินเดือนแรกเข้ารับราชการระดับปริญญาตรี ประมาณ 4-5 พันบาท ภรรยาผมตอนนั้นเป็นข้าราชการเงินเดือนประมาณ 6-7 พันบาท)

         เมื่อผมไปสำพาทย์บริษัทใหม่ที่ไม่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมได้ ยังตัดสต็อกการ์ดด้วยมือ เช่าตึกที่มีบริเวณทำโรงงานได้ด้วย ผมจำต้องลดขอเงินเดือนที่ 25,000 บาท ขาดตัว บริษัทรับเงื่อนไขนั้นได้ ผมจึงได้ทำงานที่ใหม่ แล้วยกเครื่องระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งหมด  ทำให้รู้ว่ายอดขายของบริษัทก่อนที่ผมเข้ามาอยู่ที่  30-40 ล้านต่อปี  สินค้าหายไปปีละหลายแสนบาท เพราะระบบยังระหลวมมาก ต่อจากนั้นผมก็ไม่ต่อรองเรื่องเงินเดือนกับทางบริษัทอีกเลยทั้งแต่นั้นมา ในช่วงระยะแรกผมเข้าทำงานสายประมาณ 30 นาที เป็นประจำ.
        Work Life Balance  ช่วงนั้นก็ผมคือ ได้นอนยาวขึ้นตื่นเช้าไม่ต้องรีบ  มีระบบประกันสังคม ผมเลือกรักษาที่โรงบาลเอกชน ผมจึงเริ่มเข้ารับการรักษาอย่างเป็นระบบ ทำให้ทราบว่าผมเป็นโรครูมาตอย และไขมันในเลือดสูง จากที่ผมทรมานแบบมนุษย์เปรตมายาวนานเป็นเวลาเกือบ 20 ปี (เริ่มปวดทรมานตอนผมอายุ 20 ปี เกิดจากทนรับความกดดันเครียดทุกด้านตนเรียน ป.ตรี ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปน่าจะเพี้ยนหรือเป็นบ้าได้)  ดังนั้นเวลาปวดทรมานไม่เป็นแบบมนุษย์เปรตแล้วเพราะโรครูมาตอยรักษาไม่หาย อาจจะมีผู้สงสัยว่าผมเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตอย่างไร?
        อธิบาย ให้อ่านเพื่อความเข้าใจ เพราะผมไม่มียารักษาและยาบรรเทาเลยตลอดเกือบ 20 ปี เวลาข้อปวดบวมแข็งจนกระดูกข้อเคลื่อนจากฐานเดิมจะทรมานจนไข้ขึ้น เจ็บอยู่ตลอดเวลาเพราะกระดูกเบียดกันอยู่ไม่มีคำว่าได้ว่างหรือพักเมื่อโรคนั้นกำลังปะทุอยู่ บางครั้งผมต้องข่มเข้าสมาธิ ให้หลับไป เมื่อตื่นมาก็ปวดติดต่อกันอย่างเดิม ไม่มียาคอยช่วยบรรเทาเลย ปล่อยให้หายเองลงไปเอง 3-7 วัน แต่กระดูกก็ยังขัดกันต่อไปอีกเพราะไม่เข้าที่ ต้องกัดฟันกับความเจ็บปวดอย่างมากอีกครั้ง จัดให้กระดูกมันเข้าที่ วันสองวันก็หายเป็นปกติ แต่ถ้าไม่เข้าที่ต้องทนเจ็บจัดให้เข้าที่  ผมจึงบอกแล้วเป็นการเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตนั้นเอง  เพราะเวลาต่อมาเมื่อโรคนั้นปะทุอีก ก็ทรมานอย่างนี้ เดือนละ 1 หรือ 2 ครั้ง วนอยู่อย่างนี้ .

       เมื่อผมได้ที่มั่นแล้ว เป้าหมายที่ผมจะมีบ้านอีก 1 หลังให้เขาเช่าเป็นรายได้ยามเกษียนก็มีความเป็นไปได้ โดยผมตั้งเป้าไว้ว่า ผมยอมมีเงินเก็บ 0 บาท แต่ขอเก็บในรูปอสังหาริมทรัพย์  มาก่อนหน้านั้นหลาย ปีแล้วและกัดฟันรัดเข็มขัด โดย ผ่อนบ้าน 2 หลัง เป็นทาวเฮ้า 2 ชั้น 18 ตรว. 1 หลัง และ ชั้นเดียว 23 ตรว. อีกหนึ่งหลัง  คือมีเงินเก็บ 0 บาท มีหนี้ขณะนั้น  1.3 ล้านบาท เป็นความเสี่ยงที่ผมยอมรับได้หลังได้รับสัญชาติไทยแล้วเป็นการจับเสือมือเปล่า ยังดีกว่าที่ผ่านมาที่ผมโดนมัดมือมัดเท้าต่อสู้ชีวิตในสังคมดงผู้มีมือเท้าอิสระ         
        และเมื่อผมเริ่มทราบแล้วว่า ลูกคนที่ 2 มีปัญหาในการอ่านการเขียน เรียนรู้ช้า โดยทางการแพทย์ยื่นยันแล้ว หรือเป็นเด็กโง่ และครูประจำชันที่สอน ก็บอกว่าลูกจะเรียนไม่จบ ป. 6 แล้วเข็นๆ ไปให้จบ ป.6 แล้วหยุดเรียนไปเอง ผมจึงไม่ย่อมเปลี่ยนงานเพื่อรับเงินเดือนสูงขึ้น จะใช้เวลาพัฒนาลูกให้เรียนดีขึ้น แม้แม่เขาสิ้นหวังและสอนเขาได้อีกแล้ว  เป้าหมายผมจึงเพิ่มขึ้น ต้องมีที่ดิน เผื่อลูกพัฒนาขึ้นไม่ได้จริงๆ  เขายังปลูกผักพอเลี้ยงตัวเองได้.

        ดังนั้นเป้าหมายพร้อมต้องทำ Work Life Balance  เพื่อพื้นสุขภาพ  ดังนี้
1.ต้องมีบ้านให้เขาเช่า และผมหมดหนี้ก่อนเกษียณ เพื่อเป็นรายได้หลังเกษียณ
2.ต้องพัฒนาลูกคนเล็กที่เป็นเด็กโง่ ให้หายเป็นเด็กโง่ และเรียนดีขึ้น จึงไม่เปลี่ยนงานเอาเวลาให้เขา
3.ต้องมีที่ดินอย่างน้อยสัก 1 แปลงเป็นไร่ ขึ้นไปเผือพัฒนาเขาไม่ได้ เขายังปลูกผักเลี้ยงตัวเองได้
4.ต้องมีรถยนต์ขับไปทำงาน เพราะผมอายุจะ 40 ปีแล้ว ยังไม่เคยมีรถขับ และขับรถไม่เป็น  

      ส่วนลูกคนแรกที่ห่างจากลูกคนที่ 2 ถึง 8 ปีไม่ต้องห่วงเรื่องสติปัญญาเพราะเขามีแววเก่งพอๆ กับพ่อ หรือมากกว่าพ่อตั้งแต่เด็ก เพียงแต่พัฒนาจัดเรียงอย่างไรให้เขาสู่จดสูงสุดในการศึกษาที่เขาเลือก
     ก็หมายความว่าทุกอย่างต้องสัมพันธ์กันทั้งหมด ผมต้องจัดลำดับจัดเรียงวางใจเป็นระบบ ปล่อยวางไม่ไปเครียด หรือคลายความเครียดวันต่อวัน และไม่ให้สะสมในจิตใจยาวนานได้ ก็ต้องอาศัยคุณสมบัติส่วนตัวที่ได้ฝึกและปฏิบัติธรรมมานั้นเอง   รวมทั้งบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ต้องเจริญขึ้นไปตามลำดับ  จึงทำให้เป้าหมายทั้งหมดที่วางไว้สมบูรณ์  

     ด้วยผมพัฒนาปรับระบบโปรแกรมสต็อก บิล และเอกสารภายใน ที่ผมมีอยู่ให้เข้ากับระบบบริษัทเดิมๆ ควบคุมพอได้ในระยะแรกในเวลาแค่ครึ่งปีแรกที่ผมเข้ามาทำงานคือ 16 เม.ย.  พ.ศ. 2539  ดังนั้นพอสิ้นปี เงินเดือนผมจึงขึ้นไปเกือบ 10 %    ทั้งที่ทำงานยังไม่ครบ 12 เดือน

     แต่ปี พ.ศ. 2540  เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง  โอ้... ระบบธุรกิจทุกอย่างมันทรุดล้มเป็นทอดๆ อย่างรวดเร็ว โดนกันทั่วหน้า ตกงานกันกลางอากาศกันว่าเล่น ยังโชคดีที่ผมวางระบบคอมพิวเตอร์ ในบริษัทแม่ แบบความคุมได้ทั้งหมด สต็อกไม่บวม สินค้าที่ผลิตได้อย่างเหมาะสมกับการขาย แบบมีข้อมูลชัด สินค้าไม่สูญหายเพราะควบคุมได้แทบทั้งหมด แต่บริษัทลูกต้องล้มหายตายจากไป 2 บริษัท เหลือบริษัทแม่เพียงอย่างเดียว บ้านใหม่ของกรรมการผู้จัดการ(เจ้าของบริษัทส่วนหนึ่ง) พึ่งผ่อนได้มาประมาณ 1 ปี ประกาศยกให้ฟรี เปลี่ยนสัญญาผ่อนต่อได้เลย

     ส่วนผมบ้านทาวเฮ้า 18 ตรว. หน้ากว้าง 6 เมตร หลังที่ 2 ซื้อมาในราคา 9.2 แสนบาท ผ่อนมาได้ 2 ปี ดอกเบี้ยมันฟุ้งกระจูด 12 % ตายแน่ และบ้านด้านหลังก็ขายทิ้งกัน ในราคา 4-5 แสนบาทเอง ก็ขายได้ยาก  แต่ใจผมกลับเฉยๆ และนิ่งมาก คิดว่าบริษัทแม่เอาอยู่ เพราะระบบคอมพิวเตอร์คุมได้เกือบหมดแล้วในฝ่ายของอ๊อฟฟิสคือแข็งโปก  เพียงแต่ฝ่ายขายยืนหยัดตะลุยไปได้หรือเปล่าเท่านั้น แต่ผมก็มั่นใจเพราะประธานบริษัทคุมฝ่ายขายเอง ตะลุยตลาดเองแม้ตอนนั้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่