Work Life Balance หรือการปรับชีวิตกับงานได้อย่างสมดุลและดี ซึ่งแต่ละคนย่อมแตกต่างกันตามเหตุปัจจัยของมนุษย์เงินเดือน หรือผู้ประกอบธุรกิจ
ซึ่งบางคน เอางานเป็นหลัก แล้วปรับชีวิตให้เข้ากับงาน (คือไม่เลือกงาน ได้งานแล้วปรับเปลี่ยนชีวิต)
แต่บางคน เอาชีวิตเป็นหลัก แล้วปรับงานให้เข้ากับชีวิต (คือมีความสามารถเลือกงาน ให้เข้ากับชีวิต)
ก็บางคน ปรับงานและชีวิต ประกองไปทั้งคู่
ดังนั้น Work Life Balance ความจริงแล้ว ไม่ใช่เป็นการตั้งกรอบว่าต้องอย่างนี้ อย่างนี้เอาไว้ก่อน แต่เป็นการปรับสมดุล ไปตามวิถีชีวิตและงานที่ดำเนินไปตามความเป็นจริงของแต่ละคนที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นต่างๆ กันตามช่วงเวลาของแต่ละคน
สำหรับผมทำงานเอกชนมาจนใกล้เกษียณ ประมาณกลางปีนี้ (ครบเดือนเกิด 60 ปี ยื่นขอเกษียณ ปล่อยให้บริษัทตัดสินใจเอง ส่วนผมได้ทั้งหมด ถ้ายุติการงานทำงานก็พออยู่ได้แล้ว) ประสบการณ์ทำงานถือว่ายาวนานพอสมควร
ผมเริ่มทำ Work Life Balance เมื่อใด?
ผมเริ่มทำเมื่อหลังจากผมได้รับสัญชาติไทยอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2537-8 ผมมีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์สูงในสายอาชีพ คือมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สร้างพัฒนาขึ้นมาด้วยตนเองเป็นระบบใหญ่ระดับห้างได้ และเริ่มขายลูกค้าไป 2 รายแล้ว (แต่เมือปี 2540 ก็หายไป) ก็ กำลังติดต่ออีก 1 ราย ที่ผมต้องปรับระบบโครงสร้างโปรแกรมเป็นส่วนมาก ผมอยู่ระหว่างการตัดสินใจ จะเปิดธุรกิจของตนเองเป็นห้างหุ้นส่วน หรือเปลี่ยนงานเพื่อไปเป็นโปรแกรมเมอร์และเป็นผู้บริหารคอมพิวเตอร์
แต่สุขภาพผมแย่มากๆ คือมีความเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตด้วยข้อบวมอักเสบจนกระดูกเบียดกันจนไข้ขึ้นทรมานอยู่ 3-7 วัน เดือนละ 1 ครั้ง และถ่ายท้องยากถึงขั้นมาก ต้องเสียเวลากับการถ่ายท้องนาน ด้วยต่อสู้มาตั้งแต่เรียนปริญญาตรี ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ เพราะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย จึงมีความกดดันเครียดทุกด้านแม้กับพ่อของตนเอง แต่ด้วยปฏิบัติธรรมด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็กๆ และปฏิบัติมากยิ่งขึ้นเมื่อทุกข์กดดันมากขึ้น ระหว่างจะเรียนจบ ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรม และผลการเรียนทางโลกก็จบผ่านทุกวิชา แต่ไม่รู้ว่าตนเองจะไม่รับปริญญาหรือเปล่าเพราะหลักฐานที่ยืนไปตอนสมัครเรียนไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถหาได้อีกเลย เรื่องทางโลกในการเรียนเดินมาถึงที่สุดแล้วแต่มันมืดทึบไม่เห็นทางออกเลย จึงสละเวลาทั้งหมดและชีวิตทั้งหมดให้กับการปฏิบัติธรรมในวัดนั้น จนยิ่งยวด เป็นเวลาถึง 4-5 เดือน จึงเห็นธรรมที่เป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งได้รับอนุมัติจบและได้รับปริญญาเป็นคนหลังสุดเพราะเกิดน้ำท้วมใหญ่ในปี 2526 มหาลัยรามคำแห่งเปิดเรียนไม่ได้เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนโดยที่ผมไม่ต้องไปวิ่งติดต่อ เพราะก่อนหน้านั้นทางมหาลัยได้ส่งจดหมายเพื่อให้ติดต่อทางมหาลัยในขณะที่ผมบวชอยู่ ผมจึงได้รับปริญญาทางโลกและทางธรรมพร้อมๆ กัน
แต่หลังจากนั้นผมก็ยังตกระกำลำบากเพราะไม่สามารถมีงานที่มั่นคงทำได้ จึงหาเลี้ยงตนเองไปเป็นเดือนๆ ด้วยการเป็นติวเตอร์ คณิตศาสตร์และสถิติเบื้องต้น ไม่สะสมทรัพย์สิน เพราะใจนั้นอยู่ที่การปฏิบัติธรรม หวังจะกลับไปบวชพระอีกเมื่อโอกาสเปิด แต่พอมีแฟนยังเรียนอยู่และกลายเป็นภรรยากำลังท้องและเรียนจบพอดีโดยที่ผมไม่ได้วางแผนไว้ก่อนเลย ความทุกข์ใหญ่จึงเริ่มขึ้นเมื่อผมตกงาน งานอิสระก็ตกงานได้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมภรรยาและลูกตกระกำลำบากไปเกือบ 10 ปี ที่เดี่ยว ผมได้ใช้ร่างกายที่เป็นโรคปวดทรมานเป็นดังมนุษย์เปรตอย่างมากและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเลย ใช้เวลาให้กับงาน และทำงานเสริม แต่ได้เงินมาเพียงน้อย แค่ประกองให้ครอบครัวอยู่ได้ โดยอาศัยเขาอยู่ และเช่าห้องอยู่เท่านั้น และผมต้องเจียดเวลา ตั้งแต่ค่ำ ถึงเทียงคืน ศึกษาเรียนรู้ระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 0 คือไม่ได้เรียนมาก่อนเลยในมหาลัย จนภรรยาทนแทบเอาขวานมาฟันคอมพิวเตอร์ทิ้งไป แล้วบอกว่า เรามีงานทำเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว ผมจึงอธิบายให้ภรรยาฟังว่า ผมเห็นอนาคตไกลไปกว่าคุณมาก เราต้องอยู่ต้องเช่าห้องเขาไปอย่างนี้หรือ ทรัพย์สินก็ไม่มีเงินเก็บก็ไม่มี ลูกก็ต้องเรียนสูงขึ้นค่าใช้จ่ายมากขึ้น สิ่งนี้ที่ผมทำนี้แหละทำให้เราไม่ลำบากในภายหลัง พลิกยกฐานะขึ้นมาได้ ภรรยาจึงหยุดทั้งแต่นั้นมา.
ทำไมผมประกองชีวิตอยู่ได้ ก็ด้วยการเห็นธรรมนั้น กลายเป็นคุณสมบัติติดตัวไป เพราะแม้จะได้รับความกดดันทุกข์มากมายแค่ไหน ก็ไม่ตกสะสมกันมากเป็นอนุสัยภัยในจิตใจจนผิดเพี้ยนฟั่นเฝื่อนไปได้ ด้วยแม้โรคภัยทำให้เจ็บปวดทรมานดังมนุษย์เปรตที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจึงไม่ทราบสาเหตุ จิตใจก็ไม่ผิดเพียนไปได้ แม้เรื่องเศร้าหมองทุกข์ใจที่สะสมมา เมื่อนั่งเข้าสมาธิก็หายอย่างปลิดทิ้ง เมื่อถอนออกมา หรือแม้เรื่องทุกข์รำคาญที่สะสมระหว่างวัน เมื่อนอนหลับรุ้งวันใหม่ก็คลายไปแล้ว ส่วนการเจ็บปวดทรมานของร่างกายนั้น เมือกลับถึงที่พักผมต้องนอนคู้ ด้วยความเจ็บปวดทรมาน บางครั้งครางเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดทรมานจนน้ำตาไหล แต่ด้วยวัยยังหนุ่มอยู่ เมื่อได้นอนหลับตื่นมาร่างกายก็พอต้านทานได้ ก็ไปทำงานต่อตามปกติทั้งที่ยังเจ็บปวดบวมอยู่
เมื่อผมนำเรื่องที่จะเปิดธุรกิจของตนเองดี หรือทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไปดี ปรึกษากับภรรยา ภรรยาให้เหตุผลว่า สุขภาพผมแย่ขนาดนี้ แค่มีลูกค้าเพียง 5-6 ราย สุขภาพผมก็แย่แล้ว ดูแลไม่ไหวควรเปลี่ยนงาน หางานใหม่เป็นโปรแกรมเมอร์ให้กับบริษัททั่วไปที่ไม่ใช่บริษัทที่ขายพัฒนาโปรแกรม เพราะจะเหนื่อยและหนักมากเหมือนเดิม
เพื่อหาข้อยุติ ผมจึงเสนอราคา ลูกค้ารายที่ 3 ไว้สูงมาก คือ 9 แสนบาท ทั้งระบบและจะฝังตัวให้เวลาเขา เพื่อพัฒนาให้เป็นเวลา 1 ปี ลูกค้ารายที่ 3 รับไม่ไหว ผมจึงเปลี่ยนงาน อย่างมีข้อยุติแล้วนั้นเอง
ผมเริ่มคำนึงถึง Work Life Balance เมื่อหางานที่ใหม่ โดยไม่ทำงานเสริมนอกเวลาอีกแล้ว และตั้งเงินเดือนตัวเองที่ 25,000 - 32,000 บาท เมื่อ ผมอายุ 37-38 ปี เมื่อ พ.ศ. 2539 จากเงินเดือนที่เก่าเพียง 15,000 บาท และต้องให้ผมเข้างานสายได้ ไม่ต้องตอกบัตรเข้าทำงาน ในตำแหน่งผู้บริหารคอมพิวเตอร์ (ออ..ตอนนั้นเงินเดือนแรกเข้ารับราชการระดับปริญญาตรี ประมาณ 4-5 พันบาท ภรรยาผมตอนนั้นเป็นข้าราชการเงินเดือนประมาณ 6-7 พันบาท)
เมื่อผมไปสำพาทย์บริษัทใหม่ที่ไม่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมได้ ยังตัดสต็อกการ์ดด้วยมือ เช่าตึกที่มีบริเวณทำโรงงานได้ด้วย ผมจำต้องลดขอเงินเดือนที่ 25,000 บาท ขาดตัว บริษัทรับเงื่อนไขนั้นได้ ผมจึงได้ทำงานที่ใหม่ แล้วยกเครื่องระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งหมด ทำให้รู้ว่ายอดขายของบริษัทก่อนที่ผมเข้ามาอยู่ที่ 30-40 ล้านต่อปี สินค้าหายไปปีละหลายแสนบาท เพราะระบบยังระหลวมมาก ต่อจากนั้นผมก็ไม่ต่อรองเรื่องเงินเดือนกับทางบริษัทอีกเลยทั้งแต่นั้นมา ในช่วงระยะแรกผมเข้าทำงานสายประมาณ 30 นาที เป็นประจำ.
Work Life Balance ช่วงนั้นก็ผมคือ ได้นอนยาวขึ้นตื่นเช้าไม่ต้องรีบ มีระบบประกันสังคม ผมเลือกรักษาที่โรงบาลเอกชน ผมจึงเริ่มเข้ารับการรักษาอย่างเป็นระบบ ทำให้ทราบว่าผมเป็นโรครูมาตอย และไขมันในเลือดสูง จากที่ผมทรมานแบบมนุษย์เปรตมายาวนานเป็นเวลาเกือบ 20 ปี (เริ่มปวดทรมานตอนผมอายุ 20 ปี เกิดจากทนรับความกดดันเครียดทุกด้านตนเรียน ป.ตรี ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปน่าจะเพี้ยนหรือเป็นบ้าได้) ดังนั้นเวลาปวดทรมานไม่เป็นแบบมนุษย์เปรตแล้วเพราะโรครูมาตอยรักษาไม่หาย อาจจะมีผู้สงสัยว่าผมเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตอย่างไร?
อธิบาย ให้อ่านเพื่อความเข้าใจ เพราะผมไม่มียารักษาและยาบรรเทาเลยตลอดเกือบ 20 ปี เวลาข้อปวดบวมแข็งจนกระดูกข้อเคลื่อนจากฐานเดิมจะทรมานจนไข้ขึ้น เจ็บอยู่ตลอดเวลาเพราะกระดูกเบียดกันอยู่ไม่มีคำว่าได้ว่างหรือพักเมื่อโรคนั้นกำลังปะทุอยู่ บางครั้งผมต้องข่มเข้าสมาธิ ให้หลับไป เมื่อตื่นมาก็ปวดติดต่อกันอย่างเดิม ไม่มียาคอยช่วยบรรเทาเลย ปล่อยให้หายเองลงไปเอง 3-7 วัน แต่กระดูกก็ยังขัดกันต่อไปอีกเพราะไม่เข้าที่ ต้องกัดฟันกับความเจ็บปวดอย่างมากอีกครั้ง จัดให้กระดูกมันเข้าที่ วันสองวันก็หายเป็นปกติ แต่ถ้าไม่เข้าที่ต้องทนเจ็บจัดให้เข้าที่ ผมจึงบอกแล้วเป็นการเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตนั้นเอง เพราะเวลาต่อมาเมื่อโรคนั้นปะทุอีก ก็ทรมานอย่างนี้ เดือนละ 1 หรือ 2 ครั้ง วนอยู่อย่างนี้ .
เมื่อผมได้ที่มั่นแล้ว เป้าหมายที่ผมจะมีบ้านอีก 1 หลังให้เขาเช่าเป็นรายได้ยามเกษียนก็มีความเป็นไปได้ โดยผมตั้งเป้าไว้ว่า ผมยอมมีเงินเก็บ 0 บาท แต่ขอเก็บในรูปอสังหาริมทรัพย์ มาก่อนหน้านั้นหลาย ปีแล้วและกัดฟันรัดเข็มขัด โดย ผ่อนบ้าน 2 หลัง เป็นทาวเฮ้า 2 ชั้น 18 ตรว. 1 หลัง และ ชั้นเดียว 23 ตรว. อีกหนึ่งหลัง คือมีเงินเก็บ 0 บาท มีหนี้ขณะนั้น 1.3 ล้านบาท เป็นความเสี่ยงที่ผมยอมรับได้หลังได้รับสัญชาติไทยแล้วเป็นการจับเสือมือเปล่า ยังดีกว่าที่ผ่านมาที่ผมโดนมัดมือมัดเท้าต่อสู้ชีวิตในสังคมดงผู้มีมือเท้าอิสระ
และเมื่อผมเริ่มทราบแล้วว่า ลูกคนที่ 2 มีปัญหาในการอ่านการเขียน เรียนรู้ช้า โดยทางการแพทย์ยื่นยันแล้ว หรือเป็นเด็กโง่ และครูประจำชันที่สอน ก็บอกว่าลูกจะเรียนไม่จบ ป. 6 แล้วเข็นๆ ไปให้จบ ป.6 แล้วหยุดเรียนไปเอง ผมจึงไม่ย่อมเปลี่ยนงานเพื่อรับเงินเดือนสูงขึ้น จะใช้เวลาพัฒนาลูกให้เรียนดีขึ้น แม้แม่เขาสิ้นหวังและสอนเขาได้อีกแล้ว เป้าหมายผมจึงเพิ่มขึ้น ต้องมีที่ดิน เผื่อลูกพัฒนาขึ้นไม่ได้จริงๆ เขายังปลูกผักพอเลี้ยงตัวเองได้.
ดังนั้นเป้าหมายพร้อมต้องทำ Work Life Balance เพื่อพื้นสุขภาพ ดังนี้
1.ต้องมีบ้านให้เขาเช่า และผมหมดหนี้ก่อนเกษียณ เพื่อเป็นรายได้หลังเกษียณ
2.ต้องพัฒนาลูกคนเล็กที่เป็นเด็กโง่ ให้หายเป็นเด็กโง่ และเรียนดีขึ้น จึงไม่เปลี่ยนงานเอาเวลาให้เขา
3.ต้องมีที่ดินอย่างน้อยสัก 1 แปลงเป็นไร่ ขึ้นไปเผือพัฒนาเขาไม่ได้ เขายังปลูกผักเลี้ยงตัวเองได้
4.ต้องมีรถยนต์ขับไปทำงาน เพราะผมอายุจะ 40 ปีแล้ว ยังไม่เคยมีรถขับ และขับรถไม่เป็น
ส่วนลูกคนแรกที่ห่างจากลูกคนที่ 2 ถึง 8 ปีไม่ต้องห่วงเรื่องสติปัญญาเพราะเขามีแววเก่งพอๆ กับพ่อ หรือมากกว่าพ่อตั้งแต่เด็ก เพียงแต่พัฒนาจัดเรียงอย่างไรให้เขาสู่จดสูงสุดในการศึกษาที่เขาเลือก
ก็หมายความว่าทุกอย่างต้องสัมพันธ์กันทั้งหมด ผมต้องจัดลำดับจัดเรียงวางใจเป็นระบบ ปล่อยวางไม่ไปเครียด หรือคลายความเครียดวันต่อวัน และไม่ให้สะสมในจิตใจยาวนานได้ ก็ต้องอาศัยคุณสมบัติส่วนตัวที่ได้ฝึกและปฏิบัติธรรมมานั้นเอง รวมทั้งบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ต้องเจริญขึ้นไปตามลำดับ จึงทำให้เป้าหมายทั้งหมดที่วางไว้สมบูรณ์
ด้วยผมพัฒนาปรับระบบโปรแกรมสต็อก บิล และเอกสารภายใน ที่ผมมีอยู่ให้เข้ากับระบบบริษัทเดิมๆ ควบคุมพอได้ในระยะแรกในเวลาแค่ครึ่งปีแรกที่ผมเข้ามาทำงานคือ 16 เม.ย. พ.ศ. 2539 ดังนั้นพอสิ้นปี เงินเดือนผมจึงขึ้นไปเกือบ 10 % ทั้งที่ทำงานยังไม่ครบ 12 เดือน
แต่ปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง โอ้... ระบบธุรกิจทุกอย่างมันทรุดล้มเป็นทอดๆ อย่างรวดเร็ว โดนกันทั่วหน้า ตกงานกันกลางอากาศกันว่าเล่น ยังโชคดีที่ผมวางระบบคอมพิวเตอร์ ในบริษัทแม่ แบบความคุมได้ทั้งหมด สต็อกไม่บวม สินค้าที่ผลิตได้อย่างเหมาะสมกับการขาย แบบมีข้อมูลชัด สินค้าไม่สูญหายเพราะควบคุมได้แทบทั้งหมด แต่บริษัทลูกต้องล้มหายตายจากไป 2 บริษัท เหลือบริษัทแม่เพียงอย่างเดียว บ้านใหม่ของกรรมการผู้จัดการ(เจ้าของบริษัทส่วนหนึ่ง) พึ่งผ่อนได้มาประมาณ 1 ปี ประกาศยกให้ฟรี เปลี่ยนสัญญาผ่อนต่อได้เลย
ส่วนผมบ้านทาวเฮ้า 18 ตรว. หน้ากว้าง 6 เมตร หลังที่ 2 ซื้อมาในราคา 9.2 แสนบาท ผ่อนมาได้ 2 ปี ดอกเบี้ยมันฟุ้งกระจูด 12 % ตายแน่ และบ้านด้านหลังก็ขายทิ้งกัน ในราคา 4-5 แสนบาทเอง ก็ขายได้ยาก แต่ใจผมกลับเฉยๆ และนิ่งมาก คิดว่าบริษัทแม่เอาอยู่ เพราะระบบคอมพิวเตอร์คุมได้เกือบหมดแล้วในฝ่ายของอ๊อฟฟิสคือแข็งโปก เพียงแต่ฝ่ายขายยืนหยัดตะลุยไปได้หรือเปล่าเท่านั้น แต่ผมก็มั่นใจเพราะประธานบริษัทคุมฝ่ายขายเอง ตะลุยตลาดเองแม้ตอนนั้น
วิธี การปรับชีวิตกับงานได้อย่างสมดุล(Work Life Balance) เป็นการเล่าประการณ์ของคนที่จะเกษียณ 60 ปี ปีนี้
ซึ่งบางคน เอางานเป็นหลัก แล้วปรับชีวิตให้เข้ากับงาน (คือไม่เลือกงาน ได้งานแล้วปรับเปลี่ยนชีวิต)
แต่บางคน เอาชีวิตเป็นหลัก แล้วปรับงานให้เข้ากับชีวิต (คือมีความสามารถเลือกงาน ให้เข้ากับชีวิต)
ก็บางคน ปรับงานและชีวิต ประกองไปทั้งคู่
ดังนั้น Work Life Balance ความจริงแล้ว ไม่ใช่เป็นการตั้งกรอบว่าต้องอย่างนี้ อย่างนี้เอาไว้ก่อน แต่เป็นการปรับสมดุล ไปตามวิถีชีวิตและงานที่ดำเนินไปตามความเป็นจริงของแต่ละคนที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นต่างๆ กันตามช่วงเวลาของแต่ละคน
สำหรับผมทำงานเอกชนมาจนใกล้เกษียณ ประมาณกลางปีนี้ (ครบเดือนเกิด 60 ปี ยื่นขอเกษียณ ปล่อยให้บริษัทตัดสินใจเอง ส่วนผมได้ทั้งหมด ถ้ายุติการงานทำงานก็พออยู่ได้แล้ว) ประสบการณ์ทำงานถือว่ายาวนานพอสมควร
ผมเริ่มทำ Work Life Balance เมื่อใด?
ผมเริ่มทำเมื่อหลังจากผมได้รับสัญชาติไทยอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2537-8 ผมมีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์สูงในสายอาชีพ คือมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สร้างพัฒนาขึ้นมาด้วยตนเองเป็นระบบใหญ่ระดับห้างได้ และเริ่มขายลูกค้าไป 2 รายแล้ว (แต่เมือปี 2540 ก็หายไป) ก็ กำลังติดต่ออีก 1 ราย ที่ผมต้องปรับระบบโครงสร้างโปรแกรมเป็นส่วนมาก ผมอยู่ระหว่างการตัดสินใจ จะเปิดธุรกิจของตนเองเป็นห้างหุ้นส่วน หรือเปลี่ยนงานเพื่อไปเป็นโปรแกรมเมอร์และเป็นผู้บริหารคอมพิวเตอร์
แต่สุขภาพผมแย่มากๆ คือมีความเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตด้วยข้อบวมอักเสบจนกระดูกเบียดกันจนไข้ขึ้นทรมานอยู่ 3-7 วัน เดือนละ 1 ครั้ง และถ่ายท้องยากถึงขั้นมาก ต้องเสียเวลากับการถ่ายท้องนาน ด้วยต่อสู้มาตั้งแต่เรียนปริญญาตรี ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ เพราะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย จึงมีความกดดันเครียดทุกด้านแม้กับพ่อของตนเอง แต่ด้วยปฏิบัติธรรมด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็กๆ และปฏิบัติมากยิ่งขึ้นเมื่อทุกข์กดดันมากขึ้น ระหว่างจะเรียนจบ ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรม และผลการเรียนทางโลกก็จบผ่านทุกวิชา แต่ไม่รู้ว่าตนเองจะไม่รับปริญญาหรือเปล่าเพราะหลักฐานที่ยืนไปตอนสมัครเรียนไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถหาได้อีกเลย เรื่องทางโลกในการเรียนเดินมาถึงที่สุดแล้วแต่มันมืดทึบไม่เห็นทางออกเลย จึงสละเวลาทั้งหมดและชีวิตทั้งหมดให้กับการปฏิบัติธรรมในวัดนั้น จนยิ่งยวด เป็นเวลาถึง 4-5 เดือน จึงเห็นธรรมที่เป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งได้รับอนุมัติจบและได้รับปริญญาเป็นคนหลังสุดเพราะเกิดน้ำท้วมใหญ่ในปี 2526 มหาลัยรามคำแห่งเปิดเรียนไม่ได้เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนโดยที่ผมไม่ต้องไปวิ่งติดต่อ เพราะก่อนหน้านั้นทางมหาลัยได้ส่งจดหมายเพื่อให้ติดต่อทางมหาลัยในขณะที่ผมบวชอยู่ ผมจึงได้รับปริญญาทางโลกและทางธรรมพร้อมๆ กัน
แต่หลังจากนั้นผมก็ยังตกระกำลำบากเพราะไม่สามารถมีงานที่มั่นคงทำได้ จึงหาเลี้ยงตนเองไปเป็นเดือนๆ ด้วยการเป็นติวเตอร์ คณิตศาสตร์และสถิติเบื้องต้น ไม่สะสมทรัพย์สิน เพราะใจนั้นอยู่ที่การปฏิบัติธรรม หวังจะกลับไปบวชพระอีกเมื่อโอกาสเปิด แต่พอมีแฟนยังเรียนอยู่และกลายเป็นภรรยากำลังท้องและเรียนจบพอดีโดยที่ผมไม่ได้วางแผนไว้ก่อนเลย ความทุกข์ใหญ่จึงเริ่มขึ้นเมื่อผมตกงาน งานอิสระก็ตกงานได้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมภรรยาและลูกตกระกำลำบากไปเกือบ 10 ปี ที่เดี่ยว ผมได้ใช้ร่างกายที่เป็นโรคปวดทรมานเป็นดังมนุษย์เปรตอย่างมากและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเลย ใช้เวลาให้กับงาน และทำงานเสริม แต่ได้เงินมาเพียงน้อย แค่ประกองให้ครอบครัวอยู่ได้ โดยอาศัยเขาอยู่ และเช่าห้องอยู่เท่านั้น และผมต้องเจียดเวลา ตั้งแต่ค่ำ ถึงเทียงคืน ศึกษาเรียนรู้ระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 0 คือไม่ได้เรียนมาก่อนเลยในมหาลัย จนภรรยาทนแทบเอาขวานมาฟันคอมพิวเตอร์ทิ้งไป แล้วบอกว่า เรามีงานทำเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว ผมจึงอธิบายให้ภรรยาฟังว่า ผมเห็นอนาคตไกลไปกว่าคุณมาก เราต้องอยู่ต้องเช่าห้องเขาไปอย่างนี้หรือ ทรัพย์สินก็ไม่มีเงินเก็บก็ไม่มี ลูกก็ต้องเรียนสูงขึ้นค่าใช้จ่ายมากขึ้น สิ่งนี้ที่ผมทำนี้แหละทำให้เราไม่ลำบากในภายหลัง พลิกยกฐานะขึ้นมาได้ ภรรยาจึงหยุดทั้งแต่นั้นมา.
ทำไมผมประกองชีวิตอยู่ได้ ก็ด้วยการเห็นธรรมนั้น กลายเป็นคุณสมบัติติดตัวไป เพราะแม้จะได้รับความกดดันทุกข์มากมายแค่ไหน ก็ไม่ตกสะสมกันมากเป็นอนุสัยภัยในจิตใจจนผิดเพี้ยนฟั่นเฝื่อนไปได้ ด้วยแม้โรคภัยทำให้เจ็บปวดทรมานดังมนุษย์เปรตที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจึงไม่ทราบสาเหตุ จิตใจก็ไม่ผิดเพียนไปได้ แม้เรื่องเศร้าหมองทุกข์ใจที่สะสมมา เมื่อนั่งเข้าสมาธิก็หายอย่างปลิดทิ้ง เมื่อถอนออกมา หรือแม้เรื่องทุกข์รำคาญที่สะสมระหว่างวัน เมื่อนอนหลับรุ้งวันใหม่ก็คลายไปแล้ว ส่วนการเจ็บปวดทรมานของร่างกายนั้น เมือกลับถึงที่พักผมต้องนอนคู้ ด้วยความเจ็บปวดทรมาน บางครั้งครางเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดทรมานจนน้ำตาไหล แต่ด้วยวัยยังหนุ่มอยู่ เมื่อได้นอนหลับตื่นมาร่างกายก็พอต้านทานได้ ก็ไปทำงานต่อตามปกติทั้งที่ยังเจ็บปวดบวมอยู่
เมื่อผมนำเรื่องที่จะเปิดธุรกิจของตนเองดี หรือทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไปดี ปรึกษากับภรรยา ภรรยาให้เหตุผลว่า สุขภาพผมแย่ขนาดนี้ แค่มีลูกค้าเพียง 5-6 ราย สุขภาพผมก็แย่แล้ว ดูแลไม่ไหวควรเปลี่ยนงาน หางานใหม่เป็นโปรแกรมเมอร์ให้กับบริษัททั่วไปที่ไม่ใช่บริษัทที่ขายพัฒนาโปรแกรม เพราะจะเหนื่อยและหนักมากเหมือนเดิม
เพื่อหาข้อยุติ ผมจึงเสนอราคา ลูกค้ารายที่ 3 ไว้สูงมาก คือ 9 แสนบาท ทั้งระบบและจะฝังตัวให้เวลาเขา เพื่อพัฒนาให้เป็นเวลา 1 ปี ลูกค้ารายที่ 3 รับไม่ไหว ผมจึงเปลี่ยนงาน อย่างมีข้อยุติแล้วนั้นเอง
ผมเริ่มคำนึงถึง Work Life Balance เมื่อหางานที่ใหม่ โดยไม่ทำงานเสริมนอกเวลาอีกแล้ว และตั้งเงินเดือนตัวเองที่ 25,000 - 32,000 บาท เมื่อ ผมอายุ 37-38 ปี เมื่อ พ.ศ. 2539 จากเงินเดือนที่เก่าเพียง 15,000 บาท และต้องให้ผมเข้างานสายได้ ไม่ต้องตอกบัตรเข้าทำงาน ในตำแหน่งผู้บริหารคอมพิวเตอร์ (ออ..ตอนนั้นเงินเดือนแรกเข้ารับราชการระดับปริญญาตรี ประมาณ 4-5 พันบาท ภรรยาผมตอนนั้นเป็นข้าราชการเงินเดือนประมาณ 6-7 พันบาท)
เมื่อผมไปสำพาทย์บริษัทใหม่ที่ไม่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมได้ ยังตัดสต็อกการ์ดด้วยมือ เช่าตึกที่มีบริเวณทำโรงงานได้ด้วย ผมจำต้องลดขอเงินเดือนที่ 25,000 บาท ขาดตัว บริษัทรับเงื่อนไขนั้นได้ ผมจึงได้ทำงานที่ใหม่ แล้วยกเครื่องระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งหมด ทำให้รู้ว่ายอดขายของบริษัทก่อนที่ผมเข้ามาอยู่ที่ 30-40 ล้านต่อปี สินค้าหายไปปีละหลายแสนบาท เพราะระบบยังระหลวมมาก ต่อจากนั้นผมก็ไม่ต่อรองเรื่องเงินเดือนกับทางบริษัทอีกเลยทั้งแต่นั้นมา ในช่วงระยะแรกผมเข้าทำงานสายประมาณ 30 นาที เป็นประจำ.
Work Life Balance ช่วงนั้นก็ผมคือ ได้นอนยาวขึ้นตื่นเช้าไม่ต้องรีบ มีระบบประกันสังคม ผมเลือกรักษาที่โรงบาลเอกชน ผมจึงเริ่มเข้ารับการรักษาอย่างเป็นระบบ ทำให้ทราบว่าผมเป็นโรครูมาตอย และไขมันในเลือดสูง จากที่ผมทรมานแบบมนุษย์เปรตมายาวนานเป็นเวลาเกือบ 20 ปี (เริ่มปวดทรมานตอนผมอายุ 20 ปี เกิดจากทนรับความกดดันเครียดทุกด้านตนเรียน ป.ตรี ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปน่าจะเพี้ยนหรือเป็นบ้าได้) ดังนั้นเวลาปวดทรมานไม่เป็นแบบมนุษย์เปรตแล้วเพราะโรครูมาตอยรักษาไม่หาย อาจจะมีผู้สงสัยว่าผมเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตอย่างไร?
อธิบาย ให้อ่านเพื่อความเข้าใจ เพราะผมไม่มียารักษาและยาบรรเทาเลยตลอดเกือบ 20 ปี เวลาข้อปวดบวมแข็งจนกระดูกข้อเคลื่อนจากฐานเดิมจะทรมานจนไข้ขึ้น เจ็บอยู่ตลอดเวลาเพราะกระดูกเบียดกันอยู่ไม่มีคำว่าได้ว่างหรือพักเมื่อโรคนั้นกำลังปะทุอยู่ บางครั้งผมต้องข่มเข้าสมาธิ ให้หลับไป เมื่อตื่นมาก็ปวดติดต่อกันอย่างเดิม ไม่มียาคอยช่วยบรรเทาเลย ปล่อยให้หายเองลงไปเอง 3-7 วัน แต่กระดูกก็ยังขัดกันต่อไปอีกเพราะไม่เข้าที่ ต้องกัดฟันกับความเจ็บปวดอย่างมากอีกครั้ง จัดให้กระดูกมันเข้าที่ วันสองวันก็หายเป็นปกติ แต่ถ้าไม่เข้าที่ต้องทนเจ็บจัดให้เข้าที่ ผมจึงบอกแล้วเป็นการเจ็บปวดทรมานแบบมนุษย์เปรตนั้นเอง เพราะเวลาต่อมาเมื่อโรคนั้นปะทุอีก ก็ทรมานอย่างนี้ เดือนละ 1 หรือ 2 ครั้ง วนอยู่อย่างนี้ .
เมื่อผมได้ที่มั่นแล้ว เป้าหมายที่ผมจะมีบ้านอีก 1 หลังให้เขาเช่าเป็นรายได้ยามเกษียนก็มีความเป็นไปได้ โดยผมตั้งเป้าไว้ว่า ผมยอมมีเงินเก็บ 0 บาท แต่ขอเก็บในรูปอสังหาริมทรัพย์ มาก่อนหน้านั้นหลาย ปีแล้วและกัดฟันรัดเข็มขัด โดย ผ่อนบ้าน 2 หลัง เป็นทาวเฮ้า 2 ชั้น 18 ตรว. 1 หลัง และ ชั้นเดียว 23 ตรว. อีกหนึ่งหลัง คือมีเงินเก็บ 0 บาท มีหนี้ขณะนั้น 1.3 ล้านบาท เป็นความเสี่ยงที่ผมยอมรับได้หลังได้รับสัญชาติไทยแล้วเป็นการจับเสือมือเปล่า ยังดีกว่าที่ผ่านมาที่ผมโดนมัดมือมัดเท้าต่อสู้ชีวิตในสังคมดงผู้มีมือเท้าอิสระ
และเมื่อผมเริ่มทราบแล้วว่า ลูกคนที่ 2 มีปัญหาในการอ่านการเขียน เรียนรู้ช้า โดยทางการแพทย์ยื่นยันแล้ว หรือเป็นเด็กโง่ และครูประจำชันที่สอน ก็บอกว่าลูกจะเรียนไม่จบ ป. 6 แล้วเข็นๆ ไปให้จบ ป.6 แล้วหยุดเรียนไปเอง ผมจึงไม่ย่อมเปลี่ยนงานเพื่อรับเงินเดือนสูงขึ้น จะใช้เวลาพัฒนาลูกให้เรียนดีขึ้น แม้แม่เขาสิ้นหวังและสอนเขาได้อีกแล้ว เป้าหมายผมจึงเพิ่มขึ้น ต้องมีที่ดิน เผื่อลูกพัฒนาขึ้นไม่ได้จริงๆ เขายังปลูกผักพอเลี้ยงตัวเองได้.
ดังนั้นเป้าหมายพร้อมต้องทำ Work Life Balance เพื่อพื้นสุขภาพ ดังนี้
1.ต้องมีบ้านให้เขาเช่า และผมหมดหนี้ก่อนเกษียณ เพื่อเป็นรายได้หลังเกษียณ
2.ต้องพัฒนาลูกคนเล็กที่เป็นเด็กโง่ ให้หายเป็นเด็กโง่ และเรียนดีขึ้น จึงไม่เปลี่ยนงานเอาเวลาให้เขา
3.ต้องมีที่ดินอย่างน้อยสัก 1 แปลงเป็นไร่ ขึ้นไปเผือพัฒนาเขาไม่ได้ เขายังปลูกผักเลี้ยงตัวเองได้
4.ต้องมีรถยนต์ขับไปทำงาน เพราะผมอายุจะ 40 ปีแล้ว ยังไม่เคยมีรถขับ และขับรถไม่เป็น
ส่วนลูกคนแรกที่ห่างจากลูกคนที่ 2 ถึง 8 ปีไม่ต้องห่วงเรื่องสติปัญญาเพราะเขามีแววเก่งพอๆ กับพ่อ หรือมากกว่าพ่อตั้งแต่เด็ก เพียงแต่พัฒนาจัดเรียงอย่างไรให้เขาสู่จดสูงสุดในการศึกษาที่เขาเลือก
ก็หมายความว่าทุกอย่างต้องสัมพันธ์กันทั้งหมด ผมต้องจัดลำดับจัดเรียงวางใจเป็นระบบ ปล่อยวางไม่ไปเครียด หรือคลายความเครียดวันต่อวัน และไม่ให้สะสมในจิตใจยาวนานได้ ก็ต้องอาศัยคุณสมบัติส่วนตัวที่ได้ฝึกและปฏิบัติธรรมมานั้นเอง รวมทั้งบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ต้องเจริญขึ้นไปตามลำดับ จึงทำให้เป้าหมายทั้งหมดที่วางไว้สมบูรณ์
ด้วยผมพัฒนาปรับระบบโปรแกรมสต็อก บิล และเอกสารภายใน ที่ผมมีอยู่ให้เข้ากับระบบบริษัทเดิมๆ ควบคุมพอได้ในระยะแรกในเวลาแค่ครึ่งปีแรกที่ผมเข้ามาทำงานคือ 16 เม.ย. พ.ศ. 2539 ดังนั้นพอสิ้นปี เงินเดือนผมจึงขึ้นไปเกือบ 10 % ทั้งที่ทำงานยังไม่ครบ 12 เดือน
แต่ปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง โอ้... ระบบธุรกิจทุกอย่างมันทรุดล้มเป็นทอดๆ อย่างรวดเร็ว โดนกันทั่วหน้า ตกงานกันกลางอากาศกันว่าเล่น ยังโชคดีที่ผมวางระบบคอมพิวเตอร์ ในบริษัทแม่ แบบความคุมได้ทั้งหมด สต็อกไม่บวม สินค้าที่ผลิตได้อย่างเหมาะสมกับการขาย แบบมีข้อมูลชัด สินค้าไม่สูญหายเพราะควบคุมได้แทบทั้งหมด แต่บริษัทลูกต้องล้มหายตายจากไป 2 บริษัท เหลือบริษัทแม่เพียงอย่างเดียว บ้านใหม่ของกรรมการผู้จัดการ(เจ้าของบริษัทส่วนหนึ่ง) พึ่งผ่อนได้มาประมาณ 1 ปี ประกาศยกให้ฟรี เปลี่ยนสัญญาผ่อนต่อได้เลย
ส่วนผมบ้านทาวเฮ้า 18 ตรว. หน้ากว้าง 6 เมตร หลังที่ 2 ซื้อมาในราคา 9.2 แสนบาท ผ่อนมาได้ 2 ปี ดอกเบี้ยมันฟุ้งกระจูด 12 % ตายแน่ และบ้านด้านหลังก็ขายทิ้งกัน ในราคา 4-5 แสนบาทเอง ก็ขายได้ยาก แต่ใจผมกลับเฉยๆ และนิ่งมาก คิดว่าบริษัทแม่เอาอยู่ เพราะระบบคอมพิวเตอร์คุมได้เกือบหมดแล้วในฝ่ายของอ๊อฟฟิสคือแข็งโปก เพียงแต่ฝ่ายขายยืนหยัดตะลุยไปได้หรือเปล่าเท่านั้น แต่ผมก็มั่นใจเพราะประธานบริษัทคุมฝ่ายขายเอง ตะลุยตลาดเองแม้ตอนนั้น