สวัสดีค่ะ ห่างหายจากการรีวิวท่องเที่ยวไปนานม๊ากกก แต่คราวนี้ไม่ได้ตั้งใจนำภาพมาให้ชมนะคะ น่าจะได้เห็นความงามจากกระทู้อื่นๆ จนฉ่ำแล้ว ครั้งนี้มารีวิวเรื่องการเตรียมตัวเดินทาง เผื่อจะมีประโยชน์กับผู้ที่วางแผนล่าแสงเหนือในช่วงเดือนตุลาคมกันบ้างค่ะ และที่สำคัญอยากจะบอกว่าตอนที่เราไปนั้น ตั้งครรภ์ที่ 23 สัปดาห์ ไปเข้าเดือนที่ 6 ตอนอยู่ที่นั่นพอดี อุปสรรคมีบ้างโดยเฉพาะเรื่องเข้าห้องน้ำในระหว่างเดินทาง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ต้องบอกว่าที่ไหนๆ ก็คือห้องน้ำสำหรับคนท้อง ฮ่าๆๆๆ
ส่วนรีวิวจะบอกสิ่งที่มีประโยชน์ good to know ของแต่ละที่ พร้อมร้านอาหารที่ได้ไปชิมมากันนะคะบางร้านมีป้ายชื่อร้านแล้ว ถ้ายังไม่มีก็จะใส่ไว้ให้นะคะ เผื่อใครอยากตามรอย ซึ่งทริปนี้รวมทุกอย่างและค่าวีซ่าแล้ว อยู่ที่ประมาณ 70K นิดๆ อ่ะไปเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
อันดับแรก หารีวิวไม่ค่อยได้เรื่องซิมเพราะส่วนมากคนใช้ AIS เยอะ แต่ของเราเลือก sim Go inter ของ Dtac ค่ะ อันนี้เพราะราคาถูกและใช้ได้ที่นอร์เวย์ด้วย เลยเลือกค่ะ โชคดีมีโปรส่วนลดค่า grab ไปสนามบินอีกขาละ 100 บาท แต่ใช้แค่ขาไปนะคะ เรียกว่าคุ้ม เสียอยู่อย่างเดียวคือ share hot spot ไม่ได้ แต่ถ้าได้นี่ก็คงจะถูกไปมว้ากก
การเดินทางจาก กรุงเทพ-ออสโล
สำหรับกรุ๊ปเรานั้นมีทั่งหมด 5 คนค่ะ ได้ตั๋วเดินทางของ KLM ขาไป และกลับด้วย Air France ซึ่งอยากจะบอกว่าสายการบิน KLM ขาไป ดีงามมากกก ในเรื่องของรสชาติอาหารและของว่างทั้งหมดที่เสิร์ฟ ถูกจริตสุดๆ แต่ขากลับนั้นไม่ค่อยประทับจิตเท่าไหร่นัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสองสายการบินบริการดีทั้งคู่
ส่วนตอนต่อเครื่องขาไปนั้น เราไปลงที่ Schiphol airport ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามบินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง และแน่นอนว่ากว้างมว้ากกก ใช้เวลาเดินไปต่อเครื่องกว่า 40 นาที ด้วยความที่ไม่อยากรีบเดิน เลยขอไปเข้าช่อง priority lane อื้อหือ คำถามมาอื้อเลย คงกลัวว่าจะไปอยู่ถาวรมั้งนั่น (แฟนไปกับกรุ๊ปเพราะกลัวจะหลงกัน แต่เราเดินแยกมาคนเดียว) พอผ่านปุ๊บเราก็ไปจัดการธุระของคนท้องได้ตามอัธยาศัยระหว่างรอเพื่อนๆ มาสมทบ ส่วนตอนผ่านจุดตรวจก็ต้องบอกว่าตรวจร่างกายค่อนข้างละเอียด ถอดแม้กระทั่งรองเท้า แล้วก็เอามือลูบคลำหาของด้วยเท้าด้วย อุต๊ะ แอบเขิลเล็กๆ แบบว่าหนูนั่ง long haul มาอ่ะค่ะ และตอนอยู่บนเครื่องก็ไม่ได้ใส่รองเท้าทั้งเดินยืดเส้น ทั้งเข้าห้องน้ำด้วยสิ
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ นำหมอนรองคอติดมาด้วยคือดีสุด เพราะสามารถนำไปใช้ได้ในทุกท่านอน และอิริยาบท
การเดินทางจากออสโล เข้าตัวเมือง
ถึงออสโลก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่ยังทันขึ้นรถไฟเข้าเมืองซึ่งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โชคดีบนรถไฟมีไวไฟเลย track แผนที่โรงแรมไว้ และก็เดินตามเลยง่ายหน่อย ด้วยความที่นอนแค่คืนเดียวเลยเลือกพักโรงแรมที่มีอาหารเช้า เน้นสะดวกไว้ก่อน พอเช้าตื่นมาก็ทานอาหารเช้าและตะลุยออสโลได้เลย ปล. เราเที่ยวที่ออสโลแค่ครึ่งวัน เพราะรถไฟวันเสาร์ไปแบร์เกนมีรอบบ่ายสามรอบเดียว เลยต้องรีบเดินและกลับมาขึ้นรถไฟให้ทันเวลา
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ หากเป็นคนเลือกโรงแรมเอง ให้เลือกแบบที่เดินได้และกระเป๋าเดินทางควรต้องมีล้อแบบเข็นได้ เพราะกระเป๋าแบบลากนั้นอันตรายมากเนื่องจากใช้แรงเยอะกว่า
ที่พักง่ายๆ สำหรับ 5 คน Anker Hostel

รูปวิวเมืองทั่วๆ ไป

ร้านอาหารค่ะอร่อยและราคาไม่แพงค่ะ เน้นพิซซ่าและพาสต้า จานใหญ่มาก
ออสโล-แบร์เกน
ส่วนตัวอยากประหยัดค่าที่พักด้วยกันนั่ง overnight train แต่เนื่องจากเดินทางในวันเสาร์ รถไฟเลยมีแค่ตอนบ่าย 3 เท่านั้น เลยนั่งแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น โชคดีมีหมอนรองคอมาเลยช่วยได้เยอะ ทั้งนี้ เรานอนที่นี่สองคืน แต่มาในช่วงฝนเลยค่อนข้างทุลักทุเลหน่อย เพราะฝนตกตอนที่ไปถึงสถานีปลายทางยามดึกดื่น แถม GPS พาเดินขึ้นเนินตลอด! สำหรับที่พักนั้น เราพักเป็นอพาร์ทเม้น 3 ห้องนอนค่ะ ทำอาหารได้ ชื่อว่า Støletorget Appartment ถือว่าโอเคเลยทีเดียว
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ อันนี้แล้วแต่คนนะ ส่วนตัวเราไม่กิน raw meat/ fish เลยตั้งแต่รู้ว่าท้อง ซาชิมินี่เลิกเลย เอาจริงเราคิดว่ากินได้นะ แต่ที่เราไม่เชื่อถือคือ food hygiene ของไทยเรา ดังนั้นเลยตัดไปเลยดีกว่า ไม่เสี่ยง แต่มาที่นอร์เวย์ รับประทานได้แบบไม่กลัวจ้า ปลาสดมากนะที่ Fish market ห้ามพลาดค่า อีกอย่างด้วยความที่แบร์เกนมีความเป็นเนินอยู่มากเวลาเลือกที่พักให้ลองสอบถามกับทางโรงแรมว่าพื้นที่ที่ต้องเดินจากรถไฟนั้นเป็นทางชันมากไหม และลองให้เค้าแนะนำเส้นทางที่เหมาะกับคนท้องและการเข็นกระเป๋าด้วย ขามาเรามาถึงจะห้าทุ่มแถมเจอฝนตก พอเดินตาม google map นี่แทบร้องเลย เพราะเดินขึ้นทั้งเนิน และบันได ไหนมือยังต้องถือร่มและกระเป๋าหิ้วอีกใบ เช้ามาพอสำรวจเส้นทางเองถึงได้เห็นว่ามีทางที่ง่ายและสะดวกกว่ามากจริงๆ
ฝนตกแต่เมืองยังสวยงามมากจริงๆ

อาหารใน fish market ที่ๆ บาปในการกินปลา จะยังตราหน้าไปอีกยาวนาน แต่ mussel in creamy white sauce ถือว่าอร่อยมว้ากกก

ร้านอาหารท้องถิ่น ที่ได้ขึ้นชื่อว่าแพงกว่าทั่วไป รสชาติไม่น่าเกลียดแต่ยังไม่ว้าว

ร้านกาแฟเอาไว้พักขา
แบร์เกน – ทรุมโซ
เดินทางด้วยเครื่องบินและได้ไฟลท์เช้ามากเลยต้องนั่งรถบัสตอนเช้าออกไปขึ้นเครื่อง โดยเลือกรถรอบตีห้านิดๆ อันที่จริงมีรถไฟที่ถูกกว่านะแต่เดินไปขึ้นไกล เลยเลือกไปรถบัสที่จอดอยู่ใจกลางเมืองแทนซึ่งอยู่ด้านหน้าโรงแรม Radisson ทั้งนี้เราไปเดินเล่นตรงนั้นอยู่แล้ว เลยเช็ครอบรถก่อนเวลาเดินทางจริง และรถก็มาจอดตรงเวลามากด้วย และสามารถซื้อตั๋วบนรถได้เลย จ่ายได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต
เช่ารถเที่ยวทรุมโซ
เรานอนที่ทรุมโซ 3 คืน ไปถึงวันแรกอากาศไม่ค่อยดี โดยนั่งรถบัสเข้าเมืองซึ่งคนขับจะถามว่าพักที่ไหน จะได้ให้ลงจุดใกล้สุด แต่ของเราพักอพาร์ทเม้นท์ซึ่งลุงขับรถไม่รู้จัก แต่ก็ดูจากแผนที่และพาไปส่งจุดใกล้สุดเพื่อให้เราเดินไปถึงได้ ส่วนที่พีกที่นี่ได้มาคือหรูหรา ใหญ่โต ใกล้อุโมงค์จอดรถ เรียกว่าคุ้มค่าดีงามมาก ที่นี่เลยค่ะ Nordic Host - Tromsø City Center พอไปถึงที่พักเราก็ออกมาซื้ออาหารตุนไว้ เพราะที่พักทำอาหารได้ เผื่อไว้สำหรับมื้อเช้า และอื่นๆ สำหรับแพลนหลักๆ ของที่นี่คือล่าแสงเหนือ ดังนั้นเราจึงต้องมีรถขับ ดังนั้นจึงเช่ารถของ Avis auto transmission ขนาด 5 ที่นั่ง ราคา 2 คืน 2 วัน อยู่ที่ประมาณ 3,100 บาท ส่วนค่าที่จอดรถนั้นใช้แบบเหมาจ่าย 24 ชม. จะเข้าออกกี่ครั้งก็ได้ในอุโมงค์ที่จอดซึ่งเป็นที่จอดขนาดใหญ่ ราคาอยู่ที่ 250 NOK โดยซื้อบัตรได้ที่สำนักงานเท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
https://tromso-parkering.no/in-english/
รายละเอียดที่เค้าแจ้งเรามาในอีเมล์ตามนี้เลยค่ะ
“The free parking in night time is only in the summer, during the winter there will be no parking signs because they have to remove snow from the streets and parking area.
The best will be to park inside the Fjellet p-hus, you have to drive to the gate and get a ticket and drive inside. When you are about to leave you have to pay the ticket in one of 6 automats, get the car and use the ticket in the gate to open it. It cost NOK 25 per hour from 08-18 and NOK 10 from 18-08 the next morning. If you park the car and let it stay there will be a maximum to pay per 24 hour at NOK 250.
You may come to our office in Vestregata 23 and get a pre-paid ticket that will be valid for the days you want, it will cost NOK 250 per day. You will then get one ticket which you can use in and out in the period. We won’t refund if the ticket get lost or you leave earlier.”
ส่วนมากเราใช้รถตอนกลางวันไปสำรวจเส้นทางก่อน แล้วมาร์คจุดโล่งๆ และแบ็คกราวด์ด้านหลังสวย จากนั้นกลางคืนค่อยขับไป แต่ก็มีขยับหลบแสงจากเสาไฟไปนิดหน่อย เพื่อจะได้เห็นแสงชัดๆ ด้านล่างนี่คือภาพถ่ายจาก iPhone 7 ที่ไม่เคยถ่ายคอนเสิร์ตอะไรได้เลย แต่ถ่ายแสงเหนือติดห่ะ!
• รถเช่ามีให้เลือกคือ Avis และ Budget ซึ่งทั้งคู่อยู่ที่เดียวกันเลย ใช้เจ้าไหนก็ลองเทียบราคาแต่ละเว็บเอานะคะ แต่ใครอยากเสี่ยงนิด ลองเข้าไป Avis website ท้องถิ่น จะได้ราคาถูกกว่าอีกนิดหน่อย เอาใจคนท้องถิ่น แต่ของเราพอใจกับราคาที่จ่ายละ เลยจองเว็บกลางของ Avis แทน
• หากต้องการซื้อบัตรจอดรถแบบ 24 ชม. ต้องไปที่ออฟฟิศเท่านั้น
• หากเช้าต้องออกเดินทางไปอีกเมือง ให้เอารถไปคืนคืนสุดท้ายที่ใช้เสร็จ จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าที่จอดรถ (ดูระยะเดินจากบ้านไปที่ศูนย์รถด้วย)
ภาพเมืองและแสงเหนือ

ร้านอาหาร Bardus Bar & Bistro มากินกลางวัน เมนูให้เลือกน้อย รสชาติพอได้

ร้านอาหาร Emma's Drommekjokken ร้านที่หรูสุดของทริป มากินแบบงงๆ อร่อยนะ แต่ราคาสูงไปมว้ากก

หน้าตาอาหารเช้าทำเอง ก็จะประมาณนี้

ร้านกาแฟ อร่อยดี ไม่เข้ม แต่ฟองละมุน
เช่ารถขับจากทรุมโซ-ลูฟูเทน
เมื่อคืนนำรถไปคืนที่ศูนย์แล้วเพื่อประหยัดค่าที่จอดรถ พอตอนเช้าก็กลับไปนำรถอีกคันออกมาจากศูนย์ของ Budget Car ซึ่งก็ตั้งอยู่ที่เดียวกันกับ Avis นั่นล่ะ คันนี้เช่าผ่าน Car Rental ซึ่งเราจะคืนรถที่ลูฟูเทน ดังนั้นราคาจึงค่อนข้างแพงเพราะคืนต่างเมือง ระยะทางขับที่เค้าบอกก็ประมาณ 7 ชม. กว่า แต่เอาจริงเราใช้เวลาเกือบ 10 ชม. เพราะด้วยความที่ถนนระหว่างทางไปจะมีน้ำแข็งปกคลุมผิวถนนเล็กๆ เราเลยขับแบบไม่รีบมาก ระหว่างทางพอมีจุดพักรถ คือพักแค่รถจริงๆ ไม่มีร้านค้า ส่วนใหญ่จะแวะเข้าห้องน้ำ ซึ่งจะเรียกว่าเข้าก็ไม่ได้ ด้วยความที่กลิ่นและโถฉี่สูง ไม่สามารถคร่อมได้ แลยเลือกไปเข้าข้างหลังและเอาน้ำราดทำความสะอาดพื้นแทน เราถึงเมืองก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว แถมไปอยู่หมู่บ้านท้ายๆ ของเกาะ (A)
• อาหารสด ผัก ผลไม้ ซื้อตุนไว้ได้เลย เพราะพอไปลูฟูเทน ห้างร้านจะน้อยมาก
• อยากกินอะไร กินไปจากเมืองก่อนหน้าที่ได้แวะเที่ยวให้หายอยาก เพราะที่ลูฟูเทน หลายร้านปิดทำการยาวไปจนมกราคม
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ แพ็คอาหารไว้พร้อมกินตลอดเวลา กล้วย แอปเปิ้ล ส้ม ข้าว เก็บไว้เอาที่สะดวก และยาดมควรมี นั่งรถนานๆ ขาไม่ได้เหยียดจะทั้งอึดอัดและเมื่อยได้ และอย่าลืมใส่เสื้อผ้าที่ถอดเข้าออกสบาย เผื่อต้องแวะเข้าห้องน้ำข้างทาง จะได้ไม่เสียเวลาไปยืนทนหนาวนอกรถ
วิวระหว่างทาง ที่แทบจะหาเพื่อนร่วมทางไม่ได้เลย
ทิปส์เล็กๆ สำหรับเตรียมตัวไปล่าแสงเหนือเดือนตุลาคม ใครว่าคนท้องเที่ยวไม่ได้!
ส่วนรีวิวจะบอกสิ่งที่มีประโยชน์ good to know ของแต่ละที่ พร้อมร้านอาหารที่ได้ไปชิมมากันนะคะบางร้านมีป้ายชื่อร้านแล้ว ถ้ายังไม่มีก็จะใส่ไว้ให้นะคะ เผื่อใครอยากตามรอย ซึ่งทริปนี้รวมทุกอย่างและค่าวีซ่าแล้ว อยู่ที่ประมาณ 70K นิดๆ อ่ะไปเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
อันดับแรก หารีวิวไม่ค่อยได้เรื่องซิมเพราะส่วนมากคนใช้ AIS เยอะ แต่ของเราเลือก sim Go inter ของ Dtac ค่ะ อันนี้เพราะราคาถูกและใช้ได้ที่นอร์เวย์ด้วย เลยเลือกค่ะ โชคดีมีโปรส่วนลดค่า grab ไปสนามบินอีกขาละ 100 บาท แต่ใช้แค่ขาไปนะคะ เรียกว่าคุ้ม เสียอยู่อย่างเดียวคือ share hot spot ไม่ได้ แต่ถ้าได้นี่ก็คงจะถูกไปมว้ากก
การเดินทางจาก กรุงเทพ-ออสโล
สำหรับกรุ๊ปเรานั้นมีทั่งหมด 5 คนค่ะ ได้ตั๋วเดินทางของ KLM ขาไป และกลับด้วย Air France ซึ่งอยากจะบอกว่าสายการบิน KLM ขาไป ดีงามมากกก ในเรื่องของรสชาติอาหารและของว่างทั้งหมดที่เสิร์ฟ ถูกจริตสุดๆ แต่ขากลับนั้นไม่ค่อยประทับจิตเท่าไหร่นัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสองสายการบินบริการดีทั้งคู่
ส่วนตอนต่อเครื่องขาไปนั้น เราไปลงที่ Schiphol airport ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามบินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง และแน่นอนว่ากว้างมว้ากกก ใช้เวลาเดินไปต่อเครื่องกว่า 40 นาที ด้วยความที่ไม่อยากรีบเดิน เลยขอไปเข้าช่อง priority lane อื้อหือ คำถามมาอื้อเลย คงกลัวว่าจะไปอยู่ถาวรมั้งนั่น (แฟนไปกับกรุ๊ปเพราะกลัวจะหลงกัน แต่เราเดินแยกมาคนเดียว) พอผ่านปุ๊บเราก็ไปจัดการธุระของคนท้องได้ตามอัธยาศัยระหว่างรอเพื่อนๆ มาสมทบ ส่วนตอนผ่านจุดตรวจก็ต้องบอกว่าตรวจร่างกายค่อนข้างละเอียด ถอดแม้กระทั่งรองเท้า แล้วก็เอามือลูบคลำหาของด้วยเท้าด้วย อุต๊ะ แอบเขิลเล็กๆ แบบว่าหนูนั่ง long haul มาอ่ะค่ะ และตอนอยู่บนเครื่องก็ไม่ได้ใส่รองเท้าทั้งเดินยืดเส้น ทั้งเข้าห้องน้ำด้วยสิ
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ นำหมอนรองคอติดมาด้วยคือดีสุด เพราะสามารถนำไปใช้ได้ในทุกท่านอน และอิริยาบท
การเดินทางจากออสโล เข้าตัวเมือง
ถึงออสโลก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่ยังทันขึ้นรถไฟเข้าเมืองซึ่งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โชคดีบนรถไฟมีไวไฟเลย track แผนที่โรงแรมไว้ และก็เดินตามเลยง่ายหน่อย ด้วยความที่นอนแค่คืนเดียวเลยเลือกพักโรงแรมที่มีอาหารเช้า เน้นสะดวกไว้ก่อน พอเช้าตื่นมาก็ทานอาหารเช้าและตะลุยออสโลได้เลย ปล. เราเที่ยวที่ออสโลแค่ครึ่งวัน เพราะรถไฟวันเสาร์ไปแบร์เกนมีรอบบ่ายสามรอบเดียว เลยต้องรีบเดินและกลับมาขึ้นรถไฟให้ทันเวลา
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ หากเป็นคนเลือกโรงแรมเอง ให้เลือกแบบที่เดินได้และกระเป๋าเดินทางควรต้องมีล้อแบบเข็นได้ เพราะกระเป๋าแบบลากนั้นอันตรายมากเนื่องจากใช้แรงเยอะกว่า
ที่พักง่ายๆ สำหรับ 5 คน Anker Hostel
รูปวิวเมืองทั่วๆ ไป
ร้านอาหารค่ะอร่อยและราคาไม่แพงค่ะ เน้นพิซซ่าและพาสต้า จานใหญ่มาก
ออสโล-แบร์เกน
ส่วนตัวอยากประหยัดค่าที่พักด้วยกันนั่ง overnight train แต่เนื่องจากเดินทางในวันเสาร์ รถไฟเลยมีแค่ตอนบ่าย 3 เท่านั้น เลยนั่งแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น โชคดีมีหมอนรองคอมาเลยช่วยได้เยอะ ทั้งนี้ เรานอนที่นี่สองคืน แต่มาในช่วงฝนเลยค่อนข้างทุลักทุเลหน่อย เพราะฝนตกตอนที่ไปถึงสถานีปลายทางยามดึกดื่น แถม GPS พาเดินขึ้นเนินตลอด! สำหรับที่พักนั้น เราพักเป็นอพาร์ทเม้น 3 ห้องนอนค่ะ ทำอาหารได้ ชื่อว่า Støletorget Appartment ถือว่าโอเคเลยทีเดียว
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ อันนี้แล้วแต่คนนะ ส่วนตัวเราไม่กิน raw meat/ fish เลยตั้งแต่รู้ว่าท้อง ซาชิมินี่เลิกเลย เอาจริงเราคิดว่ากินได้นะ แต่ที่เราไม่เชื่อถือคือ food hygiene ของไทยเรา ดังนั้นเลยตัดไปเลยดีกว่า ไม่เสี่ยง แต่มาที่นอร์เวย์ รับประทานได้แบบไม่กลัวจ้า ปลาสดมากนะที่ Fish market ห้ามพลาดค่า อีกอย่างด้วยความที่แบร์เกนมีความเป็นเนินอยู่มากเวลาเลือกที่พักให้ลองสอบถามกับทางโรงแรมว่าพื้นที่ที่ต้องเดินจากรถไฟนั้นเป็นทางชันมากไหม และลองให้เค้าแนะนำเส้นทางที่เหมาะกับคนท้องและการเข็นกระเป๋าด้วย ขามาเรามาถึงจะห้าทุ่มแถมเจอฝนตก พอเดินตาม google map นี่แทบร้องเลย เพราะเดินขึ้นทั้งเนิน และบันได ไหนมือยังต้องถือร่มและกระเป๋าหิ้วอีกใบ เช้ามาพอสำรวจเส้นทางเองถึงได้เห็นว่ามีทางที่ง่ายและสะดวกกว่ามากจริงๆ
ฝนตกแต่เมืองยังสวยงามมากจริงๆ
อาหารใน fish market ที่ๆ บาปในการกินปลา จะยังตราหน้าไปอีกยาวนาน แต่ mussel in creamy white sauce ถือว่าอร่อยมว้ากกก
ร้านอาหารท้องถิ่น ที่ได้ขึ้นชื่อว่าแพงกว่าทั่วไป รสชาติไม่น่าเกลียดแต่ยังไม่ว้าว
ร้านกาแฟเอาไว้พักขา
แบร์เกน – ทรุมโซ
เดินทางด้วยเครื่องบินและได้ไฟลท์เช้ามากเลยต้องนั่งรถบัสตอนเช้าออกไปขึ้นเครื่อง โดยเลือกรถรอบตีห้านิดๆ อันที่จริงมีรถไฟที่ถูกกว่านะแต่เดินไปขึ้นไกล เลยเลือกไปรถบัสที่จอดอยู่ใจกลางเมืองแทนซึ่งอยู่ด้านหน้าโรงแรม Radisson ทั้งนี้เราไปเดินเล่นตรงนั้นอยู่แล้ว เลยเช็ครอบรถก่อนเวลาเดินทางจริง และรถก็มาจอดตรงเวลามากด้วย และสามารถซื้อตั๋วบนรถได้เลย จ่ายได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต
เช่ารถเที่ยวทรุมโซ
เรานอนที่ทรุมโซ 3 คืน ไปถึงวันแรกอากาศไม่ค่อยดี โดยนั่งรถบัสเข้าเมืองซึ่งคนขับจะถามว่าพักที่ไหน จะได้ให้ลงจุดใกล้สุด แต่ของเราพักอพาร์ทเม้นท์ซึ่งลุงขับรถไม่รู้จัก แต่ก็ดูจากแผนที่และพาไปส่งจุดใกล้สุดเพื่อให้เราเดินไปถึงได้ ส่วนที่พีกที่นี่ได้มาคือหรูหรา ใหญ่โต ใกล้อุโมงค์จอดรถ เรียกว่าคุ้มค่าดีงามมาก ที่นี่เลยค่ะ Nordic Host - Tromsø City Center พอไปถึงที่พักเราก็ออกมาซื้ออาหารตุนไว้ เพราะที่พักทำอาหารได้ เผื่อไว้สำหรับมื้อเช้า และอื่นๆ สำหรับแพลนหลักๆ ของที่นี่คือล่าแสงเหนือ ดังนั้นเราจึงต้องมีรถขับ ดังนั้นจึงเช่ารถของ Avis auto transmission ขนาด 5 ที่นั่ง ราคา 2 คืน 2 วัน อยู่ที่ประมาณ 3,100 บาท ส่วนค่าที่จอดรถนั้นใช้แบบเหมาจ่าย 24 ชม. จะเข้าออกกี่ครั้งก็ได้ในอุโมงค์ที่จอดซึ่งเป็นที่จอดขนาดใหญ่ ราคาอยู่ที่ 250 NOK โดยซื้อบัตรได้ที่สำนักงานเท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://tromso-parkering.no/in-english/
รายละเอียดที่เค้าแจ้งเรามาในอีเมล์ตามนี้เลยค่ะ
“The free parking in night time is only in the summer, during the winter there will be no parking signs because they have to remove snow from the streets and parking area.
The best will be to park inside the Fjellet p-hus, you have to drive to the gate and get a ticket and drive inside. When you are about to leave you have to pay the ticket in one of 6 automats, get the car and use the ticket in the gate to open it. It cost NOK 25 per hour from 08-18 and NOK 10 from 18-08 the next morning. If you park the car and let it stay there will be a maximum to pay per 24 hour at NOK 250.
You may come to our office in Vestregata 23 and get a pre-paid ticket that will be valid for the days you want, it will cost NOK 250 per day. You will then get one ticket which you can use in and out in the period. We won’t refund if the ticket get lost or you leave earlier.”
ส่วนมากเราใช้รถตอนกลางวันไปสำรวจเส้นทางก่อน แล้วมาร์คจุดโล่งๆ และแบ็คกราวด์ด้านหลังสวย จากนั้นกลางคืนค่อยขับไป แต่ก็มีขยับหลบแสงจากเสาไฟไปนิดหน่อย เพื่อจะได้เห็นแสงชัดๆ ด้านล่างนี่คือภาพถ่ายจาก iPhone 7 ที่ไม่เคยถ่ายคอนเสิร์ตอะไรได้เลย แต่ถ่ายแสงเหนือติดห่ะ!
• รถเช่ามีให้เลือกคือ Avis และ Budget ซึ่งทั้งคู่อยู่ที่เดียวกันเลย ใช้เจ้าไหนก็ลองเทียบราคาแต่ละเว็บเอานะคะ แต่ใครอยากเสี่ยงนิด ลองเข้าไป Avis website ท้องถิ่น จะได้ราคาถูกกว่าอีกนิดหน่อย เอาใจคนท้องถิ่น แต่ของเราพอใจกับราคาที่จ่ายละ เลยจองเว็บกลางของ Avis แทน
• หากต้องการซื้อบัตรจอดรถแบบ 24 ชม. ต้องไปที่ออฟฟิศเท่านั้น
• หากเช้าต้องออกเดินทางไปอีกเมือง ให้เอารถไปคืนคืนสุดท้ายที่ใช้เสร็จ จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าที่จอดรถ (ดูระยะเดินจากบ้านไปที่ศูนย์รถด้วย)
ภาพเมืองและแสงเหนือ
ร้านอาหาร Bardus Bar & Bistro มากินกลางวัน เมนูให้เลือกน้อย รสชาติพอได้
ร้านอาหาร Emma's Drommekjokken ร้านที่หรูสุดของทริป มากินแบบงงๆ อร่อยนะ แต่ราคาสูงไปมว้ากก
หน้าตาอาหารเช้าทำเอง ก็จะประมาณนี้
ร้านกาแฟ อร่อยดี ไม่เข้ม แต่ฟองละมุน
เช่ารถขับจากทรุมโซ-ลูฟูเทน
เมื่อคืนนำรถไปคืนที่ศูนย์แล้วเพื่อประหยัดค่าที่จอดรถ พอตอนเช้าก็กลับไปนำรถอีกคันออกมาจากศูนย์ของ Budget Car ซึ่งก็ตั้งอยู่ที่เดียวกันกับ Avis นั่นล่ะ คันนี้เช่าผ่าน Car Rental ซึ่งเราจะคืนรถที่ลูฟูเทน ดังนั้นราคาจึงค่อนข้างแพงเพราะคืนต่างเมือง ระยะทางขับที่เค้าบอกก็ประมาณ 7 ชม. กว่า แต่เอาจริงเราใช้เวลาเกือบ 10 ชม. เพราะด้วยความที่ถนนระหว่างทางไปจะมีน้ำแข็งปกคลุมผิวถนนเล็กๆ เราเลยขับแบบไม่รีบมาก ระหว่างทางพอมีจุดพักรถ คือพักแค่รถจริงๆ ไม่มีร้านค้า ส่วนใหญ่จะแวะเข้าห้องน้ำ ซึ่งจะเรียกว่าเข้าก็ไม่ได้ ด้วยความที่กลิ่นและโถฉี่สูง ไม่สามารถคร่อมได้ แลยเลือกไปเข้าข้างหลังและเอาน้ำราดทำความสะอาดพื้นแทน เราถึงเมืองก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว แถมไปอยู่หมู่บ้านท้ายๆ ของเกาะ (A)
• อาหารสด ผัก ผลไม้ ซื้อตุนไว้ได้เลย เพราะพอไปลูฟูเทน ห้างร้านจะน้อยมาก
• อยากกินอะไร กินไปจากเมืองก่อนหน้าที่ได้แวะเที่ยวให้หายอยาก เพราะที่ลูฟูเทน หลายร้านปิดทำการยาวไปจนมกราคม
**ทิปส์สำหรับคุณแม่ แพ็คอาหารไว้พร้อมกินตลอดเวลา กล้วย แอปเปิ้ล ส้ม ข้าว เก็บไว้เอาที่สะดวก และยาดมควรมี นั่งรถนานๆ ขาไม่ได้เหยียดจะทั้งอึดอัดและเมื่อยได้ และอย่าลืมใส่เสื้อผ้าที่ถอดเข้าออกสบาย เผื่อต้องแวะเข้าห้องน้ำข้างทาง จะได้ไม่เสียเวลาไปยืนทนหนาวนอกรถ
วิวระหว่างทาง ที่แทบจะหาเพื่อนร่วมทางไม่ได้เลย