จากเด็กยากจนเริ่มต้นจากศูนย์จนมีทุกอย่างดั่งที่หวัง

ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะการเงินไม่สู้ดีมากนัก พ่อทำงานก่อสร้าง แม่ทำงานรับจ้างทั่วไป ผมมีพี่ชายหนึ่งคน อาศัยในบ้านเก่าๆหลังคามุงจากฝาบ้านเป็นไม้นัดแตะพอกันลมฝนได้แต่ดีมากนักฝนตกทีต้องค่อยหากระดาษเเข็งมาอุดรอยรัวของฝนที่หยดลงมา
  ผมจำความได้ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ประมาณ 8 ขวบ โดยวันเสาร์อาทิตย์จะช่วยแม่กรีดข้าวโพดฝักอ่อน แต่ในขณะที่ผมทำงานช่วยแม่แต่เด็กวัยเดียวกันกับผมนั้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่ผมก็เข้าใจเพราะแม่สอนผมเสมอให้ผมขยันช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่เท่าที่ทำได้
  พอผมโตขึ้นอีกนิด ประมาณ ป.5,ป.6 ผมก็ไปทำงานกับพ่อไปช่วย ผสมปูน ยกกระเบื้อง โดยได้ค่าเเรงวันละ 120 บาท โดยเงินส่วนนี้ผมก็จะเอาไปกินใช้ในโรงเรียน พอผมจบมัธยมปลาย ครอบครัวฝั่งพ่อผมทั้ง ลุง ป้า น้า อา ก็บอกให้ไปทำงานดีกว่าจะได้ไม่ต้องให้ พ่อแม่ กู้นี้ยืมสินใครเขา เพราะปัจจุบันก็มีหนี้มีสินพอสมควรจากการส่งพี่ชายเรียน ปวส แต่พ่อและแม่ผมไม่เคยเอาคำที่ญาติพี่น้องว่ามาคิดเลย พยายามส่งผมเรียนโดยอยากให้จบปริญญา และโชคดีของผม ผมได้โควต้าเด็กพื้นที่ได้เข้าเรียนเกษตรศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา (ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรเลยลงวิศวกรรมไว้) ผมเรียนได้เพียงเทอมเดียว ความที่กลัวโดนรีไทร์ เนื่องจากมันยากกว่าที่ผมคิดไว้ ผมจึงดร็อปเรียนมาเพื่อมาตั้งหลักชีวิตเเละกลัวเงินที่พ่อแม่หามาส่งผมเรียนจะเสียเปล่า
  ระหว่างที่ผมดร็อปเรียน พี่ชายผมที่ทำงานอยู่ตอนผมเรียน ก็กลับไปเรียนต่อ ส่วนผมก็ทำงานที่บิ๊กซีและลงเรียนรามควบคู่ไปด้วย ผมทำงานส่งตัวเองเรียนขอเงินจากแม่บ้างในบางครั้ง จนผมและพี่ชายทำสำเร็จ ผมและพี่ชายเรียนจบปริญญา วันที่ผมรับปริญญา ผมเห็นหน้าพ่อและเเม่ผมมีความสุขมันสัมผัสได้โดยไม่ต้องบอกมาเป็นคำพูดเลย
   ผมทำงานต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ทุกๆเดือนผมและพี่ชายจะส่ง เงินให้พ่อกับแม่เดือนละ 2000-3000 บาท ส่วนพ่อและแม่ก็เอาเงินที่ผมและพี่ชายให้มากบ้างน้อยบ้างไปใช้หนี้จนหมด ผมและพี่ชายตั้งใจกันว่าจะให้พ่อและแม่ออกจากงาน ซึ่งท่านสองคนก็อายุมากแล้วแต่ไม่ทันได้บอก พ่อผมล้มป่วยกระทันหันหนักมากจนมีรถฉุกเฉินมารับพ่อไปโรงพยาบาล ทุกคนในครอบครัวต่าง ตกใจมาก เพราะพ่อไม่เคยป่วยหนักเลย พอไปโรงพยาบาลหมอบอกพ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอยู่ได้ไม่ถึงเดือน ทุกคนเศร้ามากจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่แต่ทุกคนต้องทำตัวให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้พ่อรู้ กลัวพ่อเสียกำลังใจ แต่แม่ผมเก่งกว่าผมและพี่ชายมากแม่ต้องเฝ้าพ่อตลอด 24 ชม.โดยบอกพ่อเสมอว่าเดี๋ยวก็หายและจะกลับบ้านได้แล้ว ส่วนผมและพี่ชายสลับกันมาเพราะผมทำงานกรุงเทพ พี่ชายอยู่ชลบุรี
   แม่ดูแลพ่อได้ประมาณ 1 เดือน พ่อก็จากผมไป หลังจากพ่อเสียผมและพี่ชายเลยให้แม่ออกจากงานอยู่บ้าน โดยผมและพี่ชายช่วยกันส่งเงินให้แม่ใช้เดือนละ 4000-5000 บาท และทำในสิ่งที่แม่ฝันไว้ตลอดทั้งชีวิตคือมีบ้านดีๆสักหลัง โดยพี่ชายได้กู้เงินปลูกบ้านให้แม่ และเราสองคนช่วยกันผ่อนเดือนละ 5000 บาท
   สองปีที่ผ่านมาผมย้ายกลับมาทำงานแถวกาญจนบุรีใกล้บ้านนครปฐมแต่ผมต้องมีรถยนต์ แต่เเลกมากับเงินเดือนที่มากขึ้นและค่าครองชีพถูกลงกว่ากรุงเทพฯ ผมจึงต้องออกรถยนต์โดยความจำเป็นเพื่อใช้ในการทำงาน ช่วงปีแรกผมขับไปกลับบ้านกาญจนบุรีนครปฐม แต่ไม่ไหวเพราะเหนื่อยมาก ผมเลยกู้ซื้อบ้านมือสองที่กาญจนบุรีอีกหนึ่งหลัง
   ซึ่งปัจจุบัน ผมมีในสิ่งที่ผมตั้งใจไว้แต่เด็กครบแล้ว คือมีบ้าน มีรถ ก่อนอายุ 35ปี ซึ่งมันเกินสิ่งที่หวังแต่ตั้งใจมาด้วยซ้ำ ตออนนี้เท่ากับผมมีบ้าน 2 หลัง 1 หลังบ้านที่นครปฐมผ่อนกับพี่ชาย และบ้านที่กาญจนบุรีผ่อนกับภรรยา และรถยนต์ 1 คัน ผมมีรายได้หลักจากงานประจำ และรายได้รองจากการขายของออนไลน์เฉลี่ยเดือนละ 2000-5000 บาท
   สิ่งที่เล่ามานี้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ผมภูมิใจที่ผมเกิดมาในครอบครัวที่ยากมันเป็นภูมิคุ้มกันทำให้รู้คุณค่าของเงิน และทำให้ผมขยัน จนสามารถมีทุกวันนี้ได้
   กระทู้นี้ผมตั้งมาไม่ได้อวดรวยหรืออะไร ผมแค่อยากให้คนที่เกิดมาในฐานะอย่างผมหรือยิ่งกว่าผมมีกำลังใจมีแรงที่จะสู้ต่อไป สักวันจะเป็นวันของคุณ
  🙏 ขอบคุณมากๆที่สละเวลามาอ่านกระทู้ของผม ครั้งแรกในการเล่าเรื่องซึ่งผมไม่ค่อยเก่งพิมพ์เท่าไหร่นัก พิมพ์ผิดพลาดประการณ์ใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่