อีกด้านของดวงจันทร์ที่ส่องแสง... ความรู้สึกลึกๆที่ไม่มีใครเห็น

กระทู้นี้เเค่ตั้งขึ้นมาเพราะอยากจะวางอะไรลงสักพักนึง อยากจะปลดอะไรออกจากไหล่บ้าง รู้สึกว่าตัวเองแบกอะไรไว้เยอะเหลือเกิน

ที่อยากจะพูด ผมรู้ว่าทั้งหมดที่ผมเจอมันเเค่เรื่องเล็กๆ เทียบกับคนอีกมากที่มาพูดบนพันทิป เทียบกับคนที่โดนยึดบ้านหรือต้องทำงานแต่เด็ก เรื่องของผมเหมือนไร้สาระ เเต่มันก็ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ยอมรับว่าตัวเองยังเป็นเด็ก ผมผ่านเรื่องพวกนั้นไปเเล้ว เเต่ทุกครั้งมันก็เหมือนแผลเป็น เมื่อเหงาหรือเปล่าเปลี่ยวมันก็ย้อนกลับมาจ้องมองเราตลอด

ผมป่วยเป็นโรคประสาทตั้งเเต่ ม.1...

ผมเคยหนีความจริงด้วยการสร้างตัวตนหลอกๆให้ตนเอง...

ผมหลอกตัวเองว่าเป็นคนอื่น หนีจากความทุกข์ทั้งหมดเเละบอกตัวเองว่าเราไม่ใช่คนๆนั้น มันไม่ใช่เรื่องของเรา...

ผมเคยแบกอะไรไว้มากมาย จนสุดท้ายก็ระเบิดออกไป เเต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมต้องเสียทุกคนที่ผมคิดว่าเข้าใจ...

ผมเคยเป็นคนขี้เเพ้ ผมหนีทุกอย่าง...

เเต่จนวันนี้ผมผ่านทั้งหมดมาได้ ยืดอกได้อย่างภูมิใจ ว่าเราเติบโตพอจะยืนอยู่ต่อหน้าโลกทั้งใบ บอกตัวเองว่าจะไม่หนี บอกตัวเองว่าจะสู้กับทุกความจริงที่อยู่ข้างหน้า เเละผมก็ทำตามนั้น ไม่ว่าจะเจอกับอะไร ถึงจะเหนื่อยเเค่ไหน ผมก็กัดฟันเดินฝ่ามันไป ทุกคำด่า ทุกคำถากถาง ไม่ได้ชะลอผมลงเลย ทุกครั้งที่ผมล้ม ผมลุกขึ้นมาเสมอ เเม้จะไม่เคยมีใครเหลียวแลเลย

ผมเคยรู้สึกว่าตัวเองเจ็บ เคยพูดความรู้สึกออกไป และผมก็รู้ว่าโลกไม่ได้รับฟังผม ทุกคนมีโลกของตัวเอง เเละไม่มีใครคิดจะรับโลกของคนบ้าเข้าไป มันเป็นอย่างนั้นอยู่หลายครั้ง จนผมเข้าใจเเละไม่ได้พูดอึก....

ผมสู้ต่อไป สู้จนแผลเต็มตัว สู้จนก้าวผ่านขีดจำกัดของตัวเอง จนมาถึงจุดนี้ ผมสามารถพูดอย่างภูมิใจว่าผมทำสำเร็จ ผมมาถึงจุดที่ทั้งชีวิตผมไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงได้เเล้ว จากเด็กเก็บกดต่อต้านสังคม กลายมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด ในงานวันเดียวผมทำเงินมหาฬารให้สถานศึกษาของตัวเอง จำนวนเงินที่หลายคนทำงานหลายปีก็ยังไม่ได้มา ผมกลายเป็นคนที่ทุกคนยอมรับ ผมกลายเป็นคนที่ทุกคนเข้าหา มีเพื่อนมากมาย เเละเป็นคนที่ทุกคนพูดอย่างภาคภูมิว่าอยากเป็นคนเก่งอย่างผม

เเละเมื่อมีคนมากมาย เรายิ่งเห็นอะไรมากมาย ผมเรียนรู้ เร็วขึ้น เร็วขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น มากขึ้น มากจนผู้ใหญ่พูดต่อหน้าทุกคนว่าผมไม่จำเป็นต้องมาเรียนเเล้ว ผมอยู่ในระดับที่ต่างจากทุกคน มากจนเขาพูดว่าเมื่อไหร่เด็กคนอื่นจะเป็นอย่างผม ไม่มีอคติ เเละเรียนรู้ทุกอย่างที่สำมารถทำประโยชน์ได้


ยิ่งเวลาผ่านไป ผมยิ่งเติบโตขึ้น กระทั่งผู้ใหญ่ที่เคยสอนผม ผมก็เริ่มมองเห็นจุดบอดของพวกเขา ผมสามารถให้คำเเนะนำเขาได้ สามารถบอกได้ว่าคนที่เคยเป็นไอดอลที่ผมอยากเป็น เขาผิดผลาดอย่างไรเเละจะไม่เป็นอย่างเขาเมื่อโตขึ้น เเละเมื่อผมมาถึงจุดนี้เอง ผมถึงได้เริ่มรู้สึก ว่าโลกที่ผมอยู่มันไม่เหมือนเดิมเเล้ว

จากที่เคยมีความสุขกับการละเล่นของเด็ก จากที่เคยนั่งเล่นเกม นั่งคุยเล่นไร้สาระกับเพื่อน กลับกลายเป็นว่าผมไม่เห็นประโยชน์จากมัน ไม่ใช่ผมต่อต้านการอยู่กับเด็ก ผมยังยิ้มหัวเราะเเละให้เกียรติทุกคน เเต่พวกเขาสำหรับผมเเล้วช่างยังเยาว์วัยเหลือเกิน ผมไม่ได้เห็นมิติ หรืออะไรก็ตามที่ผมคิดว่าผมจะเรียนรู้อีกเเล้ว กลับกันเป็นพวกเขาเองที่ต้องการให้ผมช่วยเเก้ปัญหาให้

ผมเริ่มต้นจากคนที่ต่ำที่สุด ถูกเหยียดมากที่สุด เเละไม่ถูกยอมรับที่สุด ผมถึงได้เข้าใจความรู้สึกพวกเขา กับคนที่ถูกเหยียดถูกรังแก ผมไม่เคยดูถูกพวกเขาเลย ผมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆเเละยิ้มให้ทุกคนเสมอ

มาถึงจุดนี้ผมก็รับรู้ได้ว่าเด็กป่วยทางจิตอย่างผมมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ผมเรียนรู้อะไรเร็วจนผมกลัว เเละผมก็เปล่งประกายจนตัวเองไม่เชื่อสายตา ผมพูดให้แม่ผมที่หมดกำลังใจกับงานมาหลายปีมาสู้ต่อเพื่อตำแหน่งที่สูงกว่าที่เขาพูดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ ผมทำให้รุ่นน้องที่เป็นเด็กมีปัญหาร้องไห้ด้วยความตื้นตันเเละสัญญาว่าจะพัฒนาตนเอง ผมทำให้รุ่นพี่ที่กลับมาเป็นครูกอดผมด้วยความขอบคุณ เเละพูดกับผมว่าผมทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นครูจริงๆ เเละกับเพื่อนอีกหลายคนที่ผมอยู่ข้างๆ ผมก็พูดกับเขาเเละเเนะนำทางให้พัฒนาเสมอ

ผมเข้าใจทุกคน เเม้กระทั่งคนที่ผมคิดว่าชาตินี้จะไม่เข้าใจ ผมช่วยเหลือทุกคน เพราะผมรู้ว่าการไม่มีใครมันเจ็บขนาดไหน ผมคุยกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม เพราะรู้ว่าบางคนก็ไม่เคยได้รับเหมือนกับผมเมื่อก่อน ทุกคนขอบคุณกับการกระทำของผม...

เเต่อย่างหนึ่งที่ติดอยู่ในใจ....

ทำไมไม่เคยมีใครถามถึงปัญหาของผมบ้างเลย....

ผมเข้าถึงปัญหาของทุกคนเสมอ เเต่กลับไม่มีใครเข้าถึงปัญหาของผม.... ผมเข้าใจคนอื่นเสมอ เเต่ไม่เคยมีใครเข้าใจผม...

เป็นเพราะผมอาศัยอยู่ในโลกของอุดมคติที่ไม่มีใครเห็น? เป็นเพราะผมมีความเชื่อในสิ่งที่คนอื่นไม่มี? เป็นเพราะผมเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ? เป็นเพราะผมเติบโตเร็วกว่าทุกคนที่อยู่ข้างๆผม? หรือเป็นเพราะโลกนี้มันไม่เหมาะกับผมเลย?

ผมไม่ได้บอกว่าพวกเขาผิด ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีคนมาปลดภาระของผมเพราะผมช่วยพวกเขา เเต่ผมกลับรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน...

เทียบกับคนที่ผมช่วยเเล้ว ผมแบกปัญหาไว้มากมายกว่าพวเขาจะคิดเสมอ เเต่ทุกครั้งผมก็อยู่กับพวกเขา ทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไร ทำตัวตลก ทำตัวไร้สาระเหมือนคนที่คิดอะไรน้อยที่สุด เเต่ตลกที่ตลอดเวลาผมเป็นคนที่คิดเเละเข้าใจอะไรมากที่สุด...

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดวงจันทร์ ดวงจันทร์ที่เวลาไม่มีอะไรทุกคนก็หันมามอง มาเล่นมาหยอกล้อกับเรา ดวงจันทร์ที่ยามมืดทุกคนก็หันมาหา ร้องไห้เเละขอพลัง ดวงจันทร์ที่ยอมอยู่กับเขาทุกค่ำคืน เเม้ว่าพวกเขาไม่สมควรได้รับขนาดไหน

เเต่ทั้งที่ผมทำขนาดนี้กลับไม่มีใครเคยคิดหรือถามเลยว่า ข้างหลังดวงจันทร์ที่สองสว่างมันซ่อนความมืดมิดที่หนาวเหน็บไว้ขนาดไหน...

ผมรู้ว่ามันเป็นปัญหาของผมเอง รู้ด้วยว่าจะต้องเเก้ยังไง รู้ด้วยว่าผมต้องเลิกคาดหวังกับคนอื่น เเค่ทำในสิ่งที่เชื่อก็พอ... ผมทำอยู่ เเค่วันนี้มันอยู่ในอารมณ์เหนื่อยจนอยากเอามันออกมาบ้างเท่านั้นเอง

ผมไม่ได้เกลียดที่จะแบกโลกทั้งใบไว้ ไม่เคยเลย เเต่ที่ต้องการ ผมเเค่ต้องการเวลาพักบ้างหลังจากผ่านการถือทุกอย่างไว้คนเดียวเป็นเวลานานเท่านั้นเอง

ผมเชื่อว่าทุกน้ำหนักที่เราแบกไว้ ทุกน้ำหนักที่กัดกินเราทำให้เราเเข็งเเกร่งขึ้น ทุกครั้งที่เราข้ามเส้นเดิมๆออกไปหากรอบที่ใหญ่กว่า บ่าของเรากว้างขึ้นเสมอ เเต่บางครั้งกว่าจะไปถึงจุดนั้นมันก็เจ็บมากๆเท่านั้นเอง....

ขอบคุณที่อ่านถึงตรงนี้ ผมรู้ว่ามันยาว บางทีอาจไม่มีคนอ่านเลยก็ได้ เเต่ถ้าคุณมาถึงตรงนี้ ผมอยากบอกว่าขอบคุณคุณจากใจจริงที่ยอมอ่านเรื่องของผม บางทีมันก็ฟังดูเหนือจริงไปบ้างเพราะภาษาที่ผมใช้ หรือมันอาจจะฟังดูเหมือนผมอวดความสำเร็จของตัวเอง เเต่เชื่อเถอะ ถึงตรงนี้ความสำเร็จมันก็ไม่ได้สำคัญเเล้ว อดีตทำให้เราเป็นเรา เเต่เราก็ต้องโฟกัสกับปัจจุบันเหมือนกัน เพราะในวันพรุ่งนี้ ตัวเราในตอนนี้จะเป็นรากฐานของเราเองในอนาคต ผมไม่อยากปล่อยความอึดอัดของตัวเองไป เเต่อยากจัดการมันมากกว่า

เเต่ยังไง ขอบคุณ ขอบคุณที่ไม่เมินเฉยเรื่องของผม ขอบคุณที่ยอมอ่านเรื่องของคนบ้าๆคนนึงที่ไม่มีแก่นสารเลย ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่