สวัสดีครับ ทุกท่าน
วันนี้จะมาขอแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง ที่ต้องเจอโรคร้าย หวังว่าจะสามารถสร้างกำลังใจให้แก่นักสู้มะเร็งคนต่อไป : )
อาการเริ่มต้น ::
เริ่มจากการมีอาการไอ และ เจ็บแถวบริเวณหน้าอก ตอนแรก ๆ ก็ไม่คิดอะไรคิดว่าอาการไอทั่ว ๆ ไป
เพราะปกติก็ไม่เคยมีประวัติโรคร้าย หรือเคยเจ็บป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลเลย จนประมาณครึ่งเดือนรู้สึกเจ็บหน้าอกมาก
การเดิน การนอน ส่งผลหมด จนเริ่มส่งผลต่อชีวิตประจำวัน เลยตัดสินใจไปหาหมอ ตอนแรกคิดว่าคงเป็นพวกกล้ามเนื้อมีปัญหา
เพราะเราไอหนักมาก ตอนไปหาหมอยังคิดว่าเดี๋ยวคงได้พวกยาคลายกล้ามเนื้อมากิน พอถึงวันที่ไปเจอหมอ
เราใช้สิทธิ์ของประกันสังคม หมอสงสัยว่าเราเป็นวัณโรคหรือเปล่า เพราะเห็นเราไอ และดูเหนื่อย ( ตอนหมอถามเหนื่อยไหม ก็เถียงหมอว่าไม่เหนื่อย -_-“ )
หมอบอกให้เราไป x-ray พอผลออกมา หมอทำหน้าตกใจ หันมาถามเราคำถามแรกว่า “ มากับใคร ? “ ตอนนั้นก็เริ่ม งง ๆ ถามต่ออีก “ มีประกันของอะไรบ้าง ? “
เท่านั้นแหละ หมอตกลงผมเป็นอะไรครับ หมอก็หันคอมมาให้เราดูฟิลม์ และเริ่มอธิบายเปรียบเทียบของคนปกติกับของเรา ในฟิลม์ของเราจะเห็นว่า
มีอะไรคล้าย ๆ ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ อยู่แถว ๆ ช่วงหน้าอกด้านขวา ซึ่งน่าจะเบียดปอดของเราอยู่ด้วย จนถึงตอนนี้หมอถามอีกครั้งว่าเหนื่อยยัง ?
“ ตอนแรกไม่เหนื่อย ตอนนี้เหนื่อยแล้วหมอ -.- “ จากนั้นหมอบอกให้เราทำการ CT ต่อเพื่อจะทราบรายละเอียดเพิ่มเติม
CT SCAN ::
ผล CT ออกมา พบว่ามีก้อนเนื้อขนาด 11x12x8 cm ทับหลอดลม และ เบียดปอดอยู่ หมอบอกว่าถ้าเป็นคนแก่น่าจะไม่รอดแล้ว เพราะทับหลอดลม
หมอก็เริ่มอธิบายต่าง ๆ ว่าก้อนเนื้อจะมีโอกาสเป็นอะไรได้บ้าง ประมาณ 4 ข้อมั้ง และข้อสุดท้ายที่จำได้คือ มะเร็ง .
หมอให้เราไป รพ ที่มีอาจารย์หมอ หรือ รพ ใหญ่ที่มีเครื่องมือพร้อม เพื่อที่จะเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ จากนั้นจึงส่งเรื่องไปยัง รพ ราชวิถี
เจาะเนื้อ ::
นอน รพ ในฐานะผู้ป่วยครั้งแรกในชีวิต เจอพี่เตียงข้าง ๆ นอน รพ เพราะแผลติดเชื้อมา 3 เดือน แผลน่ากลัวมาก -.-
ฟังผล ::
หมอบอกว่าเราเป็น seminoma ( มะเร็งอัณฑะ ) แต่มันดันไปเจริญเติบโตผิดที่ ไปขึ้นที่หน้าอก ( อืม พีคไปอีก -.- ) สาเหตุของการเกิดไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ความรู้สึกตอนนั้นมัน ชา ๆ แต่ก็เตรียมใจมาระดับนึงละ ออกมาถามตัวเอง นี่เราเป็นมะเร็งจริง หรอวะ เคยมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว มะเร็งนี่ผมต้องร่วงหมดหัวใช่มั้ยวะ กุจะตายมั้ยเนี่ย เงินเก็บจะพอมั้ย คิดสารพัดเลย ค่อย ๆ โทรบอกคนสำคัญทีละคน ( ไปฟังผลไปกับ แม่ กับพี่สาว ) แต่ก็ยังคิดว่า เอาวะเป็นได้ก็หายได้
พบหมอมะเร็ง ::
โครตกลัวอะ 55 แต่ก็ต้องทำเฉย ๆ เดี๋ยวคนรอบข้างตื่นเต้น รอเจอหมอนานมาก คนเป็นเยอะมาก แต่ละคนใส่หมวกใส่วิกเต็มไปหมด
เป็นอีกโลกที่ไม่เคยเห็น คีโมคืออะไร คือเคยได้ยินแต่คำว่ามะเร็งต้องทำคีโม แต่ไม่รู้เลยว่ามันทำอะไรยังไง ยังคิดว่าคีโมคือฉายแสงด้วยซ้ำไป
ตอนเจอหมอ หมอก็ค่อย ๆ อธิบาย ว่าตอนนี้เป็นยังไง การเตรียมตัวต้องทำยังไง ต้องทำคีโมนะ 4 รอบ
ก่อนหน้านี้ไปถามพี่ที่ทำงานที่เป็นมะเร็ง แกบอกคีโมชิว ๆ แกโดน 8 เข็ม เข็มละครึ่งวันก็เสร็จแล้ว กลับบ้านได้เลย เราก็คิดว่าพอไหว
แต่พอถึงของเรา 4 รอบ รอบละประมาณ 7 วันนะ พัก 15 วันต่อรอบ เราก็ ห๊ะ 7 วันเลยหรอ ทำไมไม่เห็นเหมือนที่ถามมา 55
สมองเบลอเลยทีนี้ เรื่องงานจะทำยังไงดีเนี่ย ถามหมอว่าเป็นมะเร็งระยะไหน หมอบอกระยะ 3 เราก็ตกใจอีก ระยะ 3 นี่มันไม่น่ารอดแล้วไม่ใช่หรอ
หมอบอกว่าที่เป็นระยะ 3 เพราะขนาดของก้อนเนื้อใหญ่มาก อยู่ในจุดที่สำคัญ และ เติบโตไวมาก คือเราตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี x-ray ไม่เคยเจอ แต่พอมาเจอที ใหญ่เลย หมอเลยบอกว่าไม่ถึงปีโตขนาดนี้ ปล่อยไว้อันตรายแน่ แต่ก็ต้องรักษา มีโอกาสกลับมาได้อยู่ เราก็เอาวะ เดี๋ยวนี้การแพทย์มันน่าจะไปไกลละ
น่าจะพอไหว หมอบอกมันจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะ ยาคีโมเราเป็นสูตรอาเจียน ( อืม ชื่อสูตร

ก็ไม่น่าดีละ ) แต่ก็คิดว่าอ๊วกสิดี เหมือนตอนกินเหล้าไง อ๊วกแล้วสบาย โล่ง 555 การเตรียมตัวคือ กินไข่ขาวเยอะ ๆ วันละ 5 ฟองได้ยิ่งดี เฉพาะไข่ขาวนะ ไข่แดงกินปกติ และที่สำคัญ เตรียมใจ !
เคมีบำบัด ::
วันแรกไป รพ เปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นเตียง มีพยาบาลมาแนะนำนู่นนี่นั่น ถังอ๊วกอยู่นี่นะ ถุงพลาสติกอยู่นี่นะ แต่ตอนนั้นในใจก็ยังคิดว่าไม่น่าอ๊วกหรอกมั้ง คอมฟอตสำหรับใส่ฉี่ คือระหว่างที่เรารับคีโม เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตวงฉี่ กับ น้ำที่เรากินเข้าไปด้วย สำคัญเพราะต้องนำไปคำนวณว่าเรารับน้ำเท่าไหร่ ออกมาเท่าไหร่ และไม่แนะนำให้ลุกไปไหนเยอะ เพราะถ้าสายคีโมหลุดจะอันตราย ยาเป็นเคมี หลังจากนั้นก็เริ่มจากการให้น้ำเกลือก่อนประมาณ 2-3 ถุง จากนั้นถึงค่อยเป็นยา การคีโมก็เหมือนการรับน้ำเกลือแหละ แค่เปลี่ยนจากน้ำเกลือเป็นยาเคมี ของเรายาประมาณ 30 กระปุกต่อรอบ หมายความว่าเราต้องเสียสายคาไว้ประมาณ 7 วันต่อเนื่อง จนกว่ายาจะหมด ช่วง 2-3 วันแรก กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีอาการอะไรเลย จนคิดว่า เอาว่ะ แค่นี้สบายมาก ทนเบื่อหน่อย ชิล ๆ ไป
ผลข้างเคียง ::
ประมาณวันที่ 3 ของการรับคีโม ผลข้ามเคียงเริ่มมา เริ่มมีการไม่อยากอาหาร เริ่มอ๊วก ความอ๊วกนี่มันแย่กว่าอ๊วกเหล้าเยอะมาก คือ พอเรากืนไม่ได้ แต่เราอ๊วก มันอ๊วกจนไม่มีอะไรออกมา ยกเว้นพวกน้ำเขียว ๆ เหลือง ๆ ไม่แน่ใจเรียกน้ำดีมั้ย แต่ที่แน่ใจคือมันโครตทรมานเลย หนังชีวิตเริ่มมาละทีนี้ กินไม่ได้ นอนไม่ได้ อ๊วกอย่างเดียว หลับ ๆ อยู่ต้องลุกมาอ๊วก ได้กลิ่นอาหารก็อ๊วก ยิ่งช่วงหลัง ๆ ได้ยินเสียงรถเข็นข้าวก็หลอนแล้วอะ อ๊วกตลอดเวลา หัวทิ่มถังอ๊วก
หมอให้ยาลดอ๊วกทุกอย่าง แต่เอาไม่อยู่ สภาพจิตใจเริ่มไม่ค่อยดี เริ่มหงุดหงิดเพราะไม่ได้นอน คนรอบข้าง ทั้งครอบครัว ทั้งแฟน ที่คอยอบู่ข้าง ๆ ก็ต้องเหนื่อย คอยให้กำลังใจ คอยบอกให้อดทน ผ่านไปให้ได้ สำหรับเราตอนนั้นนี่แย่มาก ทำอะไรไม่ได้ เล่นโทรศัพท์ก็มึนหัว เป็นไอ้ตัวอ๊วกอย่างเดียวเลยแหละ
คืดในใจกุต้องเจอแบบนี้อีก 3 รอบเลยหรอวะ ตอนกลางคืน นอนคนเดียว ( ช่วงแรกไม่ได้ห้องพิเศษ ญาติไม่สามารถอยู่เกิน 2 ทุ่ม ) นอนไม่หลับ เวลาผ่านไปช้ามาก ๆ อ๊วกต่อเนื่อง จนถึงประมาณ ตี 5 พยาบาลก็จะเอากาละมังใส่น้ำมาให้เช็ดตัว พร้อมชุดเปลี่ยน ทุกกิจกรรมอยู่บนเตียงหมด ช่วงเช้า ๆ จะมีนั่งสมาธิ ออกกำลังกายเล็กน้อย กิจกรรมล้างมือ โดยมีพยาบาลเป็นคนนำ ก็ถ้าไม่ติดว่าต้องอ๊วก ก็อยากจะทำตามนะ -.- บางวันก็จะมีกิจกรรมเล่นเกมบิงโกบ้าง ของรางวัลเป็นพวกแป้ง กระดาษชิดชู่ ต่าง ๆ ก็ดีนะ สร้างรอยยิ้มดี ทุกอย่างดำเนินต่อไปจนถึงวันกลับบ้าน โดยสภาพเหมือนซอมบี้
กลับบ้านครั้งแรก ::
สภาพร่างกายและจิตใจไม่โอเค แต่ความรู้สึกดีกว่าที่ รพ เยอะะะะ กลับมาเราก็ใช่ว่าจะหายอ๊วกนะ อ๊วกต่ออีกประมาณ 3-4 วัน และก็ยังกินอะไรไม่ได้เหมือนเดิม กินน้ำเปล่ายังอ๊วกเลย ถ้าหิวน้ำต้องอมน้ำแข็งไว้ และค่อย ๆ ให้มันละลายเข้าปาก หนังชีวิตสัส ๆ หิวทุกอย่าง แต่กินอะไรไม่ได้เลย น้ำหนักหายไป 10 กิโล ภายในอาทิตย์เดียว ผมเริ่มร่วง ประมาณวันที่ 2 หลังจากกลับมาบ้าน ตอนแรกก็ยังทำใจโกนไม่ได้นะ ก็ปล่อยมันร่วงเป็นหย่อม ๆ ไป แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ไปร้านเพื่อโกนออก ช่างตัดผมตอนเห็นสภาพผมเรา ตกใจมาก ถามเบา ๆ ไปแพ้อะไรมา อ่อ แพ้ยาคีโมครับ 55 โดยที่ระหว่างเรากลับมาบ้าน เราจำเป็นต้องไปฉีดยาเพิ่มเกล็ดเลือดที่ รพ ประมาณ 3-5 วันติดต่อกันทุกวัน เราจำเป็นต้องฉีดเพราะ ระหว่างที่เรารับเคมีบำบัด เม็ดเลือดขาวเราจะต่ำมาก ภูมิต้านทานเราจะน้อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ หลังจากนั้นเราก็พักรักษาตัวนอนอยู่บ้าน สภาพเหมือนซอมบี้ และที่สำคัญคือตกใจง่าย อันนี้ตลกมาก เราคุยไม่ค่อยรุ่เรื่องเนื่องจากไม่ได้นอนหลายวันติด ได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยก็จะตกใจ ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม หูเราดีมากเลยอะ ได้ยินอะไรก็ตกใจ ผ่านไปประมาณ 3-4 วันเราถึงจะค่อย ๆ กลับมาปกติ กินได้นอนได้ ช่วงที่กลับมากินได้นี่คือเหมือนขึ้นสวรรค์เลย เราจำเป็นต้องกินไปเยอะ ๆ ด้วยนะ เพื่อตุนไว้ใช้ในรอบต่อไป
หลังจากนั้นก็วนลูปวงจรนี้ไปอีก 3 รอบ คีโม พัก คีโม พัก คีโม พัก มีอาการท้อ เหนื่อย ไม่อยากทำต่อแล้ว ตอนนั้นสภาพโครตแย่ ทั้งน่างกายและจิตใจ ไม่อยากอยู่ต่อแล้วก็มี ร้องไห้ตอนอยู่บนรถตอนจะไปทำคีโมก็มี เรียกได้ว่ากว่าจะผ่านช่วงนั้นได้ยากมาก ร่างกายเรายิ่งโทรม อ๊วกมากขึ้น เจ็บคอ อดนอน กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก ๆ และที่สำคัญคือเราต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ตั้งเป้าหมายไว้ ถ้าเราหายเราจะไปนี่นะ ไปนั่นนะ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราอยากทำนะ คุยกับตัวเองไปเรื่อย ๆ วินาทีนั้นปัญหาอื่นในชีวิตถือเป็นเรื่องเล็กมาก แค่จะมีชีวิตวันต่อวันโดยไม่ท้อนี่สำคัญกว่าเยอะ พรุ่งนี้เราจะได้อยู่ต่อมั้ย ทำไมยิ่งรักษายิ่งแย่ เหนื่อย บลาๆ ทั้งครอบครัว ทั้งแฟน เพื่อนฝูง คนรอบข้างส่งกำลังใจมา เหมือนเป็นพาวเวอร์แบงค์ให้เราผ่านช่วงนั้นมาได้
ฟ้าหลังฝน ::
หลังจากพายุผ่านไปแล้ว ทุกวันนี้เรารักตัวเองมาก ออกกำลังกาย จากคนไม่เคยออกกำลังกายเลย เราหันมาเริ่มวิ่ง ช่วงแรกยากมาก ร่างกายเราชาไปหมด ขาเราชา เส้นประสาทถูกทำลาย ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ค่อย ๆ เริ่มจากการเดินช้า ๆ อยู่หลายวัน กว่าจะเริ่มวิ่งได้ ทุกวันนี้เราลง มินิมาราธอนได้แล้ว ดีใจมาก ตอนที่รักษาตัว นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ตั้งใจ ถ้าหายนะ กุจะวิ่งมาราธอน

เลย 555 เรากลับมาทำงาน เราหยุดไปประมาณครึ่งปี ก็ถือว่ายังโชคดีที่เค้ายังไม่ไล่เราออก ตอนนี้ เราต้องไปหาหมอ อยู่ตลอด เดือนละครั้งบ้าง สองเดือนครั้งบ้าง และก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะทำ ที่มาเขียนในวันนี้ ก็หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับคนที่กำลังเจออะไรแบบเดียวกัน ในวันที่คุณรู้สึกแย่ ก็ขอให้ท่องไว้ฟ้าหลังฝนต้องสวยกว่านี้ คนที่ยังใช้ชีวิตประมาทคุณท่องไว้ว่าชีวิตไม่ได้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ โรคร้ายบางครั้งก็มาหาคุณ ทั้ง ๆ ที่คุณไม่ได้เรียกมันเข้ามา สิ่งที่คุณทำได้คือทำใจยอมรับ และต่อสู้กับมัน อย่าคิดว่าเราใช้ชีวิตไม่ประมาท ออกกำลังกาย กินแต่ของดี แล้วเราจะปลอดภัย ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้คุ้มค่า แบ่งเวลาให้กับตัวเราเองและคนรอบข้าง พรุ่งนี้ของคนเราไม่ได้มีกันทุกคน
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เราเขียนในโทรศัพท์ ผิดบ้างถูกบ้าง
ขอบคุณครอบครัว ขอบคุณแฟน ขอบคุณคนรอบข้าง เพื่อน ๆ ทุกคน สำหรับทุกอย่าง ๆ
ขอบคุณคุณหมอและพยาบาลทุกคน
และที่สำคัญ ขอบคุณร่างกาย ขอบคุณที่ยังหายใจไปด้วยกัน : )
ขอบคุณครับ
ผู้ป่วยมะเร็ง ตึกรังสี ก ชั้น 4 โรงพยาบาลราชวิถี
เมื่อผมเป็นมะเร็ง : )
วันนี้จะมาขอแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง ที่ต้องเจอโรคร้าย หวังว่าจะสามารถสร้างกำลังใจให้แก่นักสู้มะเร็งคนต่อไป : )
อาการเริ่มต้น ::
เริ่มจากการมีอาการไอ และ เจ็บแถวบริเวณหน้าอก ตอนแรก ๆ ก็ไม่คิดอะไรคิดว่าอาการไอทั่ว ๆ ไป
เพราะปกติก็ไม่เคยมีประวัติโรคร้าย หรือเคยเจ็บป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลเลย จนประมาณครึ่งเดือนรู้สึกเจ็บหน้าอกมาก
การเดิน การนอน ส่งผลหมด จนเริ่มส่งผลต่อชีวิตประจำวัน เลยตัดสินใจไปหาหมอ ตอนแรกคิดว่าคงเป็นพวกกล้ามเนื้อมีปัญหา
เพราะเราไอหนักมาก ตอนไปหาหมอยังคิดว่าเดี๋ยวคงได้พวกยาคลายกล้ามเนื้อมากิน พอถึงวันที่ไปเจอหมอ
เราใช้สิทธิ์ของประกันสังคม หมอสงสัยว่าเราเป็นวัณโรคหรือเปล่า เพราะเห็นเราไอ และดูเหนื่อย ( ตอนหมอถามเหนื่อยไหม ก็เถียงหมอว่าไม่เหนื่อย -_-“ )
หมอบอกให้เราไป x-ray พอผลออกมา หมอทำหน้าตกใจ หันมาถามเราคำถามแรกว่า “ มากับใคร ? “ ตอนนั้นก็เริ่ม งง ๆ ถามต่ออีก “ มีประกันของอะไรบ้าง ? “
เท่านั้นแหละ หมอตกลงผมเป็นอะไรครับ หมอก็หันคอมมาให้เราดูฟิลม์ และเริ่มอธิบายเปรียบเทียบของคนปกติกับของเรา ในฟิลม์ของเราจะเห็นว่า
มีอะไรคล้าย ๆ ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ อยู่แถว ๆ ช่วงหน้าอกด้านขวา ซึ่งน่าจะเบียดปอดของเราอยู่ด้วย จนถึงตอนนี้หมอถามอีกครั้งว่าเหนื่อยยัง ?
“ ตอนแรกไม่เหนื่อย ตอนนี้เหนื่อยแล้วหมอ -.- “ จากนั้นหมอบอกให้เราทำการ CT ต่อเพื่อจะทราบรายละเอียดเพิ่มเติม
CT SCAN ::
ผล CT ออกมา พบว่ามีก้อนเนื้อขนาด 11x12x8 cm ทับหลอดลม และ เบียดปอดอยู่ หมอบอกว่าถ้าเป็นคนแก่น่าจะไม่รอดแล้ว เพราะทับหลอดลม
หมอก็เริ่มอธิบายต่าง ๆ ว่าก้อนเนื้อจะมีโอกาสเป็นอะไรได้บ้าง ประมาณ 4 ข้อมั้ง และข้อสุดท้ายที่จำได้คือ มะเร็ง .
หมอให้เราไป รพ ที่มีอาจารย์หมอ หรือ รพ ใหญ่ที่มีเครื่องมือพร้อม เพื่อที่จะเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ จากนั้นจึงส่งเรื่องไปยัง รพ ราชวิถี
เจาะเนื้อ ::
นอน รพ ในฐานะผู้ป่วยครั้งแรกในชีวิต เจอพี่เตียงข้าง ๆ นอน รพ เพราะแผลติดเชื้อมา 3 เดือน แผลน่ากลัวมาก -.-
ฟังผล ::
หมอบอกว่าเราเป็น seminoma ( มะเร็งอัณฑะ ) แต่มันดันไปเจริญเติบโตผิดที่ ไปขึ้นที่หน้าอก ( อืม พีคไปอีก -.- ) สาเหตุของการเกิดไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ความรู้สึกตอนนั้นมัน ชา ๆ แต่ก็เตรียมใจมาระดับนึงละ ออกมาถามตัวเอง นี่เราเป็นมะเร็งจริง หรอวะ เคยมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว มะเร็งนี่ผมต้องร่วงหมดหัวใช่มั้ยวะ กุจะตายมั้ยเนี่ย เงินเก็บจะพอมั้ย คิดสารพัดเลย ค่อย ๆ โทรบอกคนสำคัญทีละคน ( ไปฟังผลไปกับ แม่ กับพี่สาว ) แต่ก็ยังคิดว่า เอาวะเป็นได้ก็หายได้
พบหมอมะเร็ง ::
โครตกลัวอะ 55 แต่ก็ต้องทำเฉย ๆ เดี๋ยวคนรอบข้างตื่นเต้น รอเจอหมอนานมาก คนเป็นเยอะมาก แต่ละคนใส่หมวกใส่วิกเต็มไปหมด
เป็นอีกโลกที่ไม่เคยเห็น คีโมคืออะไร คือเคยได้ยินแต่คำว่ามะเร็งต้องทำคีโม แต่ไม่รู้เลยว่ามันทำอะไรยังไง ยังคิดว่าคีโมคือฉายแสงด้วยซ้ำไป
ตอนเจอหมอ หมอก็ค่อย ๆ อธิบาย ว่าตอนนี้เป็นยังไง การเตรียมตัวต้องทำยังไง ต้องทำคีโมนะ 4 รอบ
ก่อนหน้านี้ไปถามพี่ที่ทำงานที่เป็นมะเร็ง แกบอกคีโมชิว ๆ แกโดน 8 เข็ม เข็มละครึ่งวันก็เสร็จแล้ว กลับบ้านได้เลย เราก็คิดว่าพอไหว
แต่พอถึงของเรา 4 รอบ รอบละประมาณ 7 วันนะ พัก 15 วันต่อรอบ เราก็ ห๊ะ 7 วันเลยหรอ ทำไมไม่เห็นเหมือนที่ถามมา 55
สมองเบลอเลยทีนี้ เรื่องงานจะทำยังไงดีเนี่ย ถามหมอว่าเป็นมะเร็งระยะไหน หมอบอกระยะ 3 เราก็ตกใจอีก ระยะ 3 นี่มันไม่น่ารอดแล้วไม่ใช่หรอ
หมอบอกว่าที่เป็นระยะ 3 เพราะขนาดของก้อนเนื้อใหญ่มาก อยู่ในจุดที่สำคัญ และ เติบโตไวมาก คือเราตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี x-ray ไม่เคยเจอ แต่พอมาเจอที ใหญ่เลย หมอเลยบอกว่าไม่ถึงปีโตขนาดนี้ ปล่อยไว้อันตรายแน่ แต่ก็ต้องรักษา มีโอกาสกลับมาได้อยู่ เราก็เอาวะ เดี๋ยวนี้การแพทย์มันน่าจะไปไกลละ
น่าจะพอไหว หมอบอกมันจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะ ยาคีโมเราเป็นสูตรอาเจียน ( อืม ชื่อสูตร
เคมีบำบัด ::
วันแรกไป รพ เปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นเตียง มีพยาบาลมาแนะนำนู่นนี่นั่น ถังอ๊วกอยู่นี่นะ ถุงพลาสติกอยู่นี่นะ แต่ตอนนั้นในใจก็ยังคิดว่าไม่น่าอ๊วกหรอกมั้ง คอมฟอตสำหรับใส่ฉี่ คือระหว่างที่เรารับคีโม เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตวงฉี่ กับ น้ำที่เรากินเข้าไปด้วย สำคัญเพราะต้องนำไปคำนวณว่าเรารับน้ำเท่าไหร่ ออกมาเท่าไหร่ และไม่แนะนำให้ลุกไปไหนเยอะ เพราะถ้าสายคีโมหลุดจะอันตราย ยาเป็นเคมี หลังจากนั้นก็เริ่มจากการให้น้ำเกลือก่อนประมาณ 2-3 ถุง จากนั้นถึงค่อยเป็นยา การคีโมก็เหมือนการรับน้ำเกลือแหละ แค่เปลี่ยนจากน้ำเกลือเป็นยาเคมี ของเรายาประมาณ 30 กระปุกต่อรอบ หมายความว่าเราต้องเสียสายคาไว้ประมาณ 7 วันต่อเนื่อง จนกว่ายาจะหมด ช่วง 2-3 วันแรก กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีอาการอะไรเลย จนคิดว่า เอาว่ะ แค่นี้สบายมาก ทนเบื่อหน่อย ชิล ๆ ไป
ผลข้างเคียง ::
ประมาณวันที่ 3 ของการรับคีโม ผลข้ามเคียงเริ่มมา เริ่มมีการไม่อยากอาหาร เริ่มอ๊วก ความอ๊วกนี่มันแย่กว่าอ๊วกเหล้าเยอะมาก คือ พอเรากืนไม่ได้ แต่เราอ๊วก มันอ๊วกจนไม่มีอะไรออกมา ยกเว้นพวกน้ำเขียว ๆ เหลือง ๆ ไม่แน่ใจเรียกน้ำดีมั้ย แต่ที่แน่ใจคือมันโครตทรมานเลย หนังชีวิตเริ่มมาละทีนี้ กินไม่ได้ นอนไม่ได้ อ๊วกอย่างเดียว หลับ ๆ อยู่ต้องลุกมาอ๊วก ได้กลิ่นอาหารก็อ๊วก ยิ่งช่วงหลัง ๆ ได้ยินเสียงรถเข็นข้าวก็หลอนแล้วอะ อ๊วกตลอดเวลา หัวทิ่มถังอ๊วก
หมอให้ยาลดอ๊วกทุกอย่าง แต่เอาไม่อยู่ สภาพจิตใจเริ่มไม่ค่อยดี เริ่มหงุดหงิดเพราะไม่ได้นอน คนรอบข้าง ทั้งครอบครัว ทั้งแฟน ที่คอยอบู่ข้าง ๆ ก็ต้องเหนื่อย คอยให้กำลังใจ คอยบอกให้อดทน ผ่านไปให้ได้ สำหรับเราตอนนั้นนี่แย่มาก ทำอะไรไม่ได้ เล่นโทรศัพท์ก็มึนหัว เป็นไอ้ตัวอ๊วกอย่างเดียวเลยแหละ
คืดในใจกุต้องเจอแบบนี้อีก 3 รอบเลยหรอวะ ตอนกลางคืน นอนคนเดียว ( ช่วงแรกไม่ได้ห้องพิเศษ ญาติไม่สามารถอยู่เกิน 2 ทุ่ม ) นอนไม่หลับ เวลาผ่านไปช้ามาก ๆ อ๊วกต่อเนื่อง จนถึงประมาณ ตี 5 พยาบาลก็จะเอากาละมังใส่น้ำมาให้เช็ดตัว พร้อมชุดเปลี่ยน ทุกกิจกรรมอยู่บนเตียงหมด ช่วงเช้า ๆ จะมีนั่งสมาธิ ออกกำลังกายเล็กน้อย กิจกรรมล้างมือ โดยมีพยาบาลเป็นคนนำ ก็ถ้าไม่ติดว่าต้องอ๊วก ก็อยากจะทำตามนะ -.- บางวันก็จะมีกิจกรรมเล่นเกมบิงโกบ้าง ของรางวัลเป็นพวกแป้ง กระดาษชิดชู่ ต่าง ๆ ก็ดีนะ สร้างรอยยิ้มดี ทุกอย่างดำเนินต่อไปจนถึงวันกลับบ้าน โดยสภาพเหมือนซอมบี้
กลับบ้านครั้งแรก ::
สภาพร่างกายและจิตใจไม่โอเค แต่ความรู้สึกดีกว่าที่ รพ เยอะะะะ กลับมาเราก็ใช่ว่าจะหายอ๊วกนะ อ๊วกต่ออีกประมาณ 3-4 วัน และก็ยังกินอะไรไม่ได้เหมือนเดิม กินน้ำเปล่ายังอ๊วกเลย ถ้าหิวน้ำต้องอมน้ำแข็งไว้ และค่อย ๆ ให้มันละลายเข้าปาก หนังชีวิตสัส ๆ หิวทุกอย่าง แต่กินอะไรไม่ได้เลย น้ำหนักหายไป 10 กิโล ภายในอาทิตย์เดียว ผมเริ่มร่วง ประมาณวันที่ 2 หลังจากกลับมาบ้าน ตอนแรกก็ยังทำใจโกนไม่ได้นะ ก็ปล่อยมันร่วงเป็นหย่อม ๆ ไป แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ไปร้านเพื่อโกนออก ช่างตัดผมตอนเห็นสภาพผมเรา ตกใจมาก ถามเบา ๆ ไปแพ้อะไรมา อ่อ แพ้ยาคีโมครับ 55 โดยที่ระหว่างเรากลับมาบ้าน เราจำเป็นต้องไปฉีดยาเพิ่มเกล็ดเลือดที่ รพ ประมาณ 3-5 วันติดต่อกันทุกวัน เราจำเป็นต้องฉีดเพราะ ระหว่างที่เรารับเคมีบำบัด เม็ดเลือดขาวเราจะต่ำมาก ภูมิต้านทานเราจะน้อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ หลังจากนั้นเราก็พักรักษาตัวนอนอยู่บ้าน สภาพเหมือนซอมบี้ และที่สำคัญคือตกใจง่าย อันนี้ตลกมาก เราคุยไม่ค่อยรุ่เรื่องเนื่องจากไม่ได้นอนหลายวันติด ได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยก็จะตกใจ ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม หูเราดีมากเลยอะ ได้ยินอะไรก็ตกใจ ผ่านไปประมาณ 3-4 วันเราถึงจะค่อย ๆ กลับมาปกติ กินได้นอนได้ ช่วงที่กลับมากินได้นี่คือเหมือนขึ้นสวรรค์เลย เราจำเป็นต้องกินไปเยอะ ๆ ด้วยนะ เพื่อตุนไว้ใช้ในรอบต่อไป
หลังจากนั้นก็วนลูปวงจรนี้ไปอีก 3 รอบ คีโม พัก คีโม พัก คีโม พัก มีอาการท้อ เหนื่อย ไม่อยากทำต่อแล้ว ตอนนั้นสภาพโครตแย่ ทั้งน่างกายและจิตใจ ไม่อยากอยู่ต่อแล้วก็มี ร้องไห้ตอนอยู่บนรถตอนจะไปทำคีโมก็มี เรียกได้ว่ากว่าจะผ่านช่วงนั้นได้ยากมาก ร่างกายเรายิ่งโทรม อ๊วกมากขึ้น เจ็บคอ อดนอน กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก ๆ และที่สำคัญคือเราต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ตั้งเป้าหมายไว้ ถ้าเราหายเราจะไปนี่นะ ไปนั่นนะ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราอยากทำนะ คุยกับตัวเองไปเรื่อย ๆ วินาทีนั้นปัญหาอื่นในชีวิตถือเป็นเรื่องเล็กมาก แค่จะมีชีวิตวันต่อวันโดยไม่ท้อนี่สำคัญกว่าเยอะ พรุ่งนี้เราจะได้อยู่ต่อมั้ย ทำไมยิ่งรักษายิ่งแย่ เหนื่อย บลาๆ ทั้งครอบครัว ทั้งแฟน เพื่อนฝูง คนรอบข้างส่งกำลังใจมา เหมือนเป็นพาวเวอร์แบงค์ให้เราผ่านช่วงนั้นมาได้
ฟ้าหลังฝน ::
หลังจากพายุผ่านไปแล้ว ทุกวันนี้เรารักตัวเองมาก ออกกำลังกาย จากคนไม่เคยออกกำลังกายเลย เราหันมาเริ่มวิ่ง ช่วงแรกยากมาก ร่างกายเราชาไปหมด ขาเราชา เส้นประสาทถูกทำลาย ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ค่อย ๆ เริ่มจากการเดินช้า ๆ อยู่หลายวัน กว่าจะเริ่มวิ่งได้ ทุกวันนี้เราลง มินิมาราธอนได้แล้ว ดีใจมาก ตอนที่รักษาตัว นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ตั้งใจ ถ้าหายนะ กุจะวิ่งมาราธอน
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เราเขียนในโทรศัพท์ ผิดบ้างถูกบ้าง
ขอบคุณครอบครัว ขอบคุณแฟน ขอบคุณคนรอบข้าง เพื่อน ๆ ทุกคน สำหรับทุกอย่าง ๆ
ขอบคุณคุณหมอและพยาบาลทุกคน
และที่สำคัญ ขอบคุณร่างกาย ขอบคุณที่ยังหายใจไปด้วยกัน : )
ขอบคุณครับ
ผู้ป่วยมะเร็ง ตึกรังสี ก ชั้น 4 โรงพยาบาลราชวิถี