รีวิว Aesop ทั้งหมดที่ใช้เองจริงๆตั้งแต่ปี 2015 สำหรับผิวแพ้ง่าย ง่ายเหลือเกิน อ่อนแอเก่งจ้าาา

* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ
สวัสดีค่าาาา ♡

จขกท.ชื่อพลอยนะคะ 555555555 ตื่นเต้น คือบอกก่อนว่าเรารู้และเข้าใจคนแพ้ง่ายยยยย อย่างมาก คือกว่าจะหาอะไรสักอย่างที่ใช้แล้วดีกับเรา ไม่แพ้ สิวไม่เห่อ มันยากมากจริงๆค่ะ วันนี้เราก็เลยอยากแชร์ประสบการณ์การใช้ผลิตภัณท์ Aesop ทั้งหมดที่เราใช้มาตั้งแต่ปี 2015 ยันปัจจุบัน คือเราใช้มายาวยาว 3 ปี ลองมาหลายตัว จนวันนี้เหลือแต่ตัวช้างเผือกที่เกิดมาเพื่อเราแล้วฮะะะะ

กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก สะใจโว้ยยยยยย

ขอโทษค่ะ ดีใจจ้ะ เจ็บมาเยอะ 5555555555

ปล เราเป็นคนผิวผสมนะคะ คือมันแต่ก็แห้งในบางจุด โดยเฉพาะแถวๆจมูก ขอบปาก ใต้ตา จะแห้งเป็นพิเศษค่ะ



อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนผิวแพ้ง่ายมาก ง่ายแบบง่ายเหลือเกินลูก บางครั้งปาดโทนเนอร์ไปแดงตามสำลีเลยค่ะ ก็เลยไม่ได้ใช้อะไรเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะช่วงปี 2015 เรามีสิวขึ้นในบริเวณกราม และพอหายก็เกิดรอยแดง แล้วไม่หายไปสักที สกินแคร์ที่ใช้ก็ไม่กล้าเปลี่ยนอะไร เพราะแพ้ง่าย ตัวไหนที่เค้าว่าดี เราแพ้เกือบทุกตัว ปกติเราใช้ครีมตลับฟ้าเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ของรพ.โรคผิวหนังมาตั้งแต่อายุ 12 เพราะว่าเราไม่กล้าเปลี่ยนไปใช้อะไร เราล้างหน้าด้วย Cetaphil ล้างหน้ามาตั้งแต่ 12 ตั้งแต่มีสิวเม็ดแรกจ้ะพี่จ๋า และกันแดดของ Biore หลอดเงินๆ ที่เป็น Aqua Rich Mousse Base ซึ่งดีนะคะ แนะนำเลยเหมือนกัน

จนกระทั่งเราต้องย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นค่ะ เพราะว่าแต่งงาน โอ้โห ตอนหน้าหนาวสกินแคร์ตัวหนึ่งตัวเดียวที่เราใช้อยู่มันไม่พอจริงๆค่ะ หน้าเราแห้งมาก โดยเฉพาะแถวปากและจมูก ลามไปถึงใต้จมูกเด้ออออ เราเลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องหาตัวช่วย ซึ่งครีมใน Drug Store ส่วนใหญ่ที่ซื้อมาใช้เราแพ้ค่ะ เพราะมีแอลกอฮอลล์

บาปบุญ เปิดพี่โมเมดูปรากฎว่าเจอพี่โมเมรีวิวสกินแคร์ของ Aesop แล้วบอกว่ามีความเป็นธรรมชงธรรมชาติ เราเลยคิดว่าเอาวะ ไม่น่าแพ้แล้วหละ เลยลองไปลองหาดูค่ะ แล้วความโชคดีของเรา คือพนักงานที่ญี่ปุ่นน่ารักมากกกกกก จริงๆค่ะ เราบอกเค้าตรงๆเลยว่าเราแพ้ง่ายมากๆ เค้าก็เลยบอกเราว่าวันนี้ยังไม่ต้องซื้อ แต่จะให้ตัวอยากไปใช้ก่อน ค่อยๆลองจนกว่าจะมั่นใจว่าเข้ากับเราและไม่แพ้จริงๆ

ตอนแรกสุดเลยเราไปถามหา Parsley Seed ไลน์ก่อนนะคะ แต่ทีนี้พนักงานบอกเราว่าไม่แนะนำ เพราะ Parsley เป็นไลน์ของการลดริ้วรอย ถ้ายังไม่ถึง 35 ยังไม่แนะนำ เรางงเลย แต่เค้าบอกว่าคือถ้าเราใช้เร็วเกินกว่าความจำเป็น วันนึงที่เราควรใช้จริงๆ ตัวนี้อาจเอาไม่อยู่ เค้าอยากให้ค่อยๆใช้ตามช่วงวัยจริงๆดีกว่า

แต่เราก็ขอตัวอย่างมานะคะ 5555555555 ก็พี่โมเมบอกว่าดี ทางเราอยากไปด้วยจ้าาาา แต่ในที่สุดเราแพ้ค่ะ สิวขึ้น เลยใช้ไม่ได้ ก็ลองตัวนู้นตัวนี้ เซรั่มนั่นนี่ ลองครั้งละตัวนะคะ เค้าจะให้มาทีละ 6 ซอง ชนิดละ 3 ซอง พนักงานบอกว่าลองไปเลย จะได้ชัวร์ ตัวไหนแพ้เราก็ตัดทิ้ง แล้วก็ไปบอกพนักงาน แล้วเค้าก็จะให้ตัวใหม่มาลองใหม่ เกือบเดือนค่ะกว่าเราจะได้ซื้อเซรั่มขวดแรกจาก Aesop  คือต้องบอกก่อนว่าพนักงานน่าจะเข้าใจในความแพ้ง่ายของเราจริงๆ และไม่อยากให้เราแพ้ แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพนักงานจะใจดีขนาดนี้ แต่ยอมรับเลยว่าได้ใจเราจริงๆ และเราไม่ไปไหนอีกเลยยันวันนี้หละจ้าาาา

จนกระทั่งพนักงานบอกเราว่า คิดว่าเราน่าจะแพ้ผลิตภัณฑ์แบบ Oil Base เพราะตัวที่เป็นกลุ่มพวกนี้ที่เราเอาไปลองใช้เราจะแพ้ เราก็เห้ยยยยยยย จริงหรอ คือพอมาสังเกตุดูเราเลยลองปรับพวกล้างเครื่องสำอางค์อะไรยังงี้ดู แล้วกลายเป็นว่าไม่แพ้จริงๆค่ะ

ตอนนั้นเราเลยได้อุดหนุนซื้อเค้ามาแล้วจริงๆซะที ไม่ต้องลองใช้แล้วววววว ถแยมาแล้วววววว 5555555

ทีนี้มาดูกันดีกว่าว่า Aesop ที่เราใช้มาทั้งหมดแต่ละตัวมีอะไรบ้าง และตัวไหนจะเป็นช้างเผือกบ้าง

มาาาาาา ตามข้ามาาาาาาาา

เราจะแบ่งตามขั้นตอนการใช้นะคะ เพื่อที่จะได้อ่านตามง่ายๆ ไม่งงเนอะ แต่ไม่ได้เรียงตามลำดับตัวที่ซื้อก่อนหลังนะคะ

1. Fabulous Face Cleanser



#ช้างเผือก

ตัวนี้ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้ใช้ตั้งแต่ 2015 นะคะ แต่เราเพิ่งใช้มาได้ขวดนี้เป็นขวดที่ 4 เพราะว่าอย่างที่บอกตอนแรกเราใช้ Cetaphil มาตลอดเลย แต่เรารู้สึกว่า เราแต่งหน้าเยอะ และมันเริ่มไม่พออ่ะค่ะ

ตัวนี้เป็นคลีนซิ่งสำหรับคนผิวแพ้ง่ายเลยค่ะ และคุณพระ Fabulous สมชื่อจริงๆแม่เอ๊ยยยยยยย ตัวนี้ใช้เสร็จแล้วสดชื่นมากๆค่ะ รู้สึกสะอาด แต่ผิวไม่ตึงเอี๊ยดๆเลย สบายผิวมากๆ สามารถล้างเมคอัพอ่อนๆได้ เช่นพวกครีมกันแดด เบสต่างๆ พนักงานบอกว่าตัวนี้ล้างได้เลยค่ะ อันนี้เด็ดจริง #ช้างเผือก ค่ะ

2. B&T Balancing Toner



#ช้างเผือก

อันนี้คือตัวแรกที่ใช้ค่ะ คือเราแพ้ Toner ทั้งหลายมาตลอดชีวิต 5555555555 คือถึงใครจะบอกว่ามันอ่อนโยนยังไง เราก็แพ้จ้ะที่รัก พอเจอตัวนี้ไม่แพ้!!!!!!! เราเลยซื้อเลยจ้าาาา ใช้มาจนไม่ได้นับแล้วค่ะ แต่มั่นใจว่าเกิน 10 ขวดแน่นอน เคยลองหมดแล้วไม่ซื้อใช้เห็นว่าผิวต่างกันค่อนข้างชัดค่ะ สำหรับเรานะ คือช่วงใช้โทนเนอร์ ผิวจะสว่างๆกว่าค่ะ ส่วนตัวชอบใช้แบบตบๆลงบนผิวมากกว่าเอาสำลีเช็ดนะคะ เพราะผิวจะดูอิ่มน้ำและชุ่มชื่นกว่าค่ะ แบบเด้งดึ๋งๆเลย

3. Lightweight Facial Hydrating Serum



คือตัวนี้ใช้มาตั้งแต่เค้าชื่อว่า Oil Free Hydrating Serum กันเลยจ้ะพี่จ๋า ตัวนี้คือตัวแรกที่เราใช้เลยค่ะ ช่วงแรกที่ใช้จำได้ว่ากลิ่นมันฉุนจังสำหรับเรา และแอบแสบนิดๆ แต่พอเราใช้ไปจนเกือบหมด Sample ซองสุดท้ายมันก็ไม่แสบแล้วค่ะ และที่สำคัญคือไม่แพ้เลยยยยยยย ไม่แดง รอยแดงของสิวไม่เข้มขึ้น ไม่มีอาการแพ้ใดใด กลิ่นที่รู้สึกฉุนในตอนแรกก็ชินขึ้นและรู้สึกว่าเอ้อ หอมดี 55555555555 ตัวนี้ยิ่งช่วงหน้าหนาวจะชัดมากค่ะว่าช่วยเรื่องความแห้งของผิวได้ดีมาก ที่สำคัญคือไม่เหนอะหนะ เพราะซึมเร็วค่ะ

4. Camellia Nut Facial Hydrating Cream



#ช้างเผือก

ตัวนี้เราซื้อหลังเซรั่มตัวบนค่ะ เพราะด้วยความที่เซรั่มตัวบนมันซึมเร็วมาก ใจเรามันคิดไปว่ามันจะพอไหมอ่ะ 55555555555 เราเลยไปเอาตัวนี้มาทาต่อจากเซรั่มแทนครีมรพ.ที่เราใช้มาแต่เด็กค่ะ (เพราะตอนนั้นหมด) ตัวนี้เราถือว่าเป็นนัมเบอร์วันสำหรับเราเลยค่ะ มันดีมากๆๆๆๆๆๆ ใช้แล้วผิวจะรู้สึกเย็นๆ ยิ่งช่วงไหนที่แพ้อะไรหรือหน้าแห้งๆมานี่คือรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลม 55555555555 ตัวนี้ใช้มาจนไม่นับแล้วค่ะ คือเซรั่มหมดเมื่อไหร่ ตังค์ไม่มีก็ไม่ซื้อไปก่อนได้ แต่ตัวนี้หมดไม่ได้ค่ะสำหรับเรา

แต่เพื่อนเราบางคนใช้แล้วบอกว่ามันเหนอะหนะเกินไป นะ แต่ถ้าเราอยู่ไทย ในตอนเช้าเราจะใช้เฉพาะจุดนะคะ เพราะถ้าใช้ทั้งหน้าก็เหนอะไปจริงๆค่ะ ใช้แค่ตรงข้างปีกจมูก ขอบปาก ใต้ตา แต่ตอนกลางคืนก็คือโบ๊ะบ๊ะโบ๊ะบ๊ะไปเลยยยยย #ช้างเผือก จ้ะ

5. Protective Facial Lotion SPF 30



ครีมกันแดดค่ะ ตัวนี้ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเพราะรู้สึกว่ามันค่อนข้างแพงไปสำหรับการเป็นครีมกันแดด 55555555555 เพราะว่าเราว่า Biore ที่เราใช้อยู่มันดีอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นไปซื้อโทนเนอร์แล้วใช้แต้มแลกฟรีมาค่ะ ก็เลยเอา แต่คุณพระ มันดีค่ะ ดีเลยยยยย เราใช้แทนครีม Camillia Nut ตอนเช้าไปเลยค่ะ เพราะมันชุ่มชื้นมาก และหน้าไม่วอก แล้ววันไหนอยากแต่งหน้าเบาๆ ก็คือเราไม่ลงรองพื้นหรือคุชชั่นไปเลย แต้มคอนซีลเลอร์ กดแป้งนิดนึงแล้วไปเลยค่ะ

แต่เหมือนกันตัวนี้เพื่อนเราบางคนไม่ชอบนะ เพราะมันอาจจะมันเกินสำหรับบางคน ไปลองดูกันก่อนค่อยซื้อนะคะ แต่ตัวนี้ที่ญี่ปุ่นจะมีขายเฉพาะหน้าร้อนค่ะ ฤดูอื่นจะมีแค่ตัว SPF 15 ที่เป็นกระปุก แต่ไทยไปถามมาพี่เค้าบอกว่ามีตลอดค่ะ แต่ชอบหมดเพราะขายดี

ตัวนี้อยากให้ช้างเผือก แต่ติดที่แพงนิดนึงค่ะ แต่เราคิดว่าจะซื้อต่อนะ เพราะมันวาวๆดี ส่วนตัวชอบค่ะ

6. Sage & Zinc Facial Hydrating Cream



อันนี้คือกันแดดอีกตัวที่เราบอกค่ะ ขออนุญาติเอาภาพมาจากอินเตอร์เน็ตนะคะ เพราะว่าของจริงทิ้งไว้ญี่ปุ่นไม่ได้เอามาด้วยจ้ะ ถ้าใช้ที่ไทยเราว่า 15 ไม่น่าพอแน่นวลลล แต่ถ้าให้ความป็นเดย์ครีม ถือว่าผ่านค่ะ แต่ก็สู้ Camillia Nut ไม่ได้อยู่ดี ซอรี่นะคะซิส บรัยยยยยยยย

7. B Triple C Facial Balancing Gel



อูยยยยยยยย ตัวนี้เพิ่งซื้อมาค่ะ ยอมรับเลย คือไปลองมาาาาาาา แล้วแม่ยังว้าวอ่ะคุณผู้ชมมมม คือพอทาแล้วมันใสขึ้นเลย แบบเลยยยยยย วันที่ไปลองน่ะนะคะ แล้วเค้าว่าเหมาะกับสภาพอากาศร้อนหรือมีมลภาวะ เราเลยแบบงุ้ยยยยยยยยยยยยยยย แต่วันนั้นไม่ได้ซื้อจ้ะ เพราะแพงจ้ะ แต่วันก่อนฮะ ไปกับฝาชี นางออกตัวว่าวันนี้เลี้ยง ก็เลยสอยมาแบบไม่รู้ตัวเลยจ้ะพี่จ๋าาาา 555555555555 นี่เพิ่งกลับไทยและใช้เป็นวันแรกค่ะเลยอาจจะบอกผลแบบในระยะยาวไม่ได้

แต่พอมาใช้บนหน้าเราจริงๆ เอาจริงๆไม่ว้าวค่ะ มันเหนอะแปลกๆ เกลี่ยยากแปลกๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเกลี่ยถูกไหมเดี๋ยวขอไปถามเคาว์นเตอร์อีกที แต่พอทาไปแปปนึงมันไม่เหนอะนะ จับแล้วไม่เหนอะค่ะ จะตึงๆนิดนึง แต่ส่องกระจกแล้วเรื่องความกระจ่างใสนี่เซอร์ไพรซ์อยู่ ทำเล่นไปใสเด้อออออออ ไม่ใช่ขาวนะคะ ใสเด้อใสจ้าาาาาาาา สว่างขึ้นยังงี้จ้าาาาาา

8. Chamomile Concentrate Anti-BlemishMasque



อันนี้เราซื้อมาใช้ตอนช่วงที่เรามีสิวขึ้นมาค่ะ มันว้าวมากกกกกกกกกกกก อันนี้เราแต้มเป็นจุดบนสิว แล้วนอนไปเลยนะคะ ตื่นมาสิวแห้งค่ะ เริ่ดดดดดดด แต่พอเอามามาส์คหน้าแบบทั้งหน้าแล้วใสขึ้นนะ แต่มันแอบแปลก คือพอผ่านมาได้ครึ่งกระปุก เวลาเราเป็นสิวเอามาแต้มมันไม่ได้แห้งลงเร็วแบบแรกๆแล้วค่ะ ไม่รู้สิวมันรู้ทันหรืออะไร ถ้าเป็นแบบช่วงแรกจนหมดกระปุกเราจะให้ช้างเผือกค่ะ แต่พออีกครึ่งกระปุกสิวรู้ทัน เราเลยให้ช้างเผือกเธอไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะจ๊ะ

9. Blue Chamomile Facial Hydrating Masque



#ช้างเผือก จ้ะ

มาส์คอันนี้ช่วยชีวิตเราได้มากเวลาที่ผิวเราไปแพ้อะไรมา แต่ไม่ใช่แพ้แบบสิวขึ้นนะคะ อันนี้ไม่ช่วย แต่ถ้าเป็นแพ้แบบมีผด หรือคันๆมา อันนี้ดีมากค่ะ เย็นๆสบายผิวมากกกกก เราลองมาสามแบบ คือครึ่งชม. ล้างออก / เช็ดออก / นอนไปเลยไม่ล้างออก แบบล้างออกเริ่ดสุดค่ะ ผิวจะเด้งๆหลังล้างเสร็จ แต่อีกสองแบบจะรู้สึกเหนอะไป ตื่นมาอาจมีสิวได้ค่ะ ไม่แนะนำ ล้างออกนะคะซิส ล้างเค้าออกค่ะ

หมดล้าววววววววววววววววววว



- สรุป -

เราชอบ Aesop มากๆอย่างนึงเพราะกลิ่นด้วยนะคะ คือเราเป็นคนชอบนวด แล้วเรารู้สึกว่ากลิ่นของ Aesop ทำให้เราผ่อนคลายมากกกกกจริงๆ ยอมรับเลยว่านอกจากพี่โมเมแล้วกลิ่นเป็นปัจจัยแรกๆที่เราเดินเข้าไปเลย 555555555

แต่คือยังไงซะเราก็อยากให้ทุกคนไปลองด้วยตัวเองนะคะ ไม่ว่าจะกับแบรนด์ไหนก็ตาม อย่าเชื่อเราหมดนะ ไม่สิ เชื่อเราเถอะว่าเราใช้มาแล้วมันเป็นแบบนี้จริงๆ 555555555555 แต่เรากับเธอผิวไม่เหมือนกันไง มันเลยไม่น่าจะเหมือนกันทุกอย่างเนอะ คือเราเองเคยซื้อตามเค้าว่าดีมาเยอะมากกกก และแพ้ยับมาเยอะมากกกกก เพราะงั้นเราเลยรู้สึกว่าสกินแคร์ต้องลองเองค่ะ อย่าเชื่อใคร ผิวเราต่างกันจริงๆ แต่เมื่อไหร่ที่เราเจออะไรที่มันใช่สำหรับเราจริงๆ เมื่อนั้นมันยิ่งกว่าถูกล็อตตารี่ค่ะคุณผู้ชมมมมมมม 555555555

หวังว่านี่พอจะช่วยในการตัดสินใจให้กับทุกคนได้บ้างนะคะ ขอให้สนุกกับการทดลอง แล้วก็ขอให้เจอของที่ใช่ของทุดคนไวไวน้าาา ♡
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่