แฟนผมบอกอยากได้แฟนที่นั่งบีทีเอสกลับบ้านด้วยกันหลังเวลาเลิกงาน

ผมกับแฟนทะเลาะกันด้วยเรื่องของการใช้ชีวิต ว่าเราใช้ชีวิตต่างกัน ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ผมถามว่าทำไม เค้าตอบว่าอยากมีแฟนที่นั่งบีทีเอสกลับบ้านด้วยกันหลังเลิกงาน นั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมกัน

เริ่มต้นด้วยการทะเลาะกันของเราสองคนเนื่องจากการใช้ชีวิตของเราค่อนข้างต่างกัน ผมทำงานอยู่ชานเมือง แฟนผมทำงานออฟสฟิสอยู่ในเมือง ซึ่งบ้านของเราอยู่กึ่งกลางระหว่างที่ทำงานเค้าและที่ทำงานผม(อยู่คนละบ้านนะครับ แต่บ้านใกล้กัน) เราสองคนคบกันมา5ปีกว่าๆ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งพอจบก็ทำงานตามที่ตัวเองเรียนมา พอมาถึงวันนึงเราได้ทะเลาะกันเพราะเค้าได้ให้เหตุผลว่าผมไม่สามารถปกป้องเค้าได้ แล้วก็ให้เหตุผลว่าผมติดเพื่อน ผมขอเล่าชีวิตผมก่อนเลยละกันผมทำงานบริษัทเอกชนชานเมืองมีบ้านพักบริษัทให้อยู่ ชีวิตหลังเลิกงานของผมก็เข้าห้องพักที่อยู่ในบริษัท พอถึงเวลากินข้าวก็ออกมากินด้วยกัน บางวันมีสังสรรค์บ้าง ด้วยความที่ผมก็มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าระดับหนึ่ง การปกครองก็จะมีการเข้าสังคมมาเกี่ยวข้อง ตรงนี้ผมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรบ่อย แต่การสังสรรค์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ากินกันเอาเป็นเอาตาย แค่ 3-4 ทุ่มก็แยกย้ายเข้าห้องนอนแล้ว ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาเกือบครึ่งปี วันนึงผมกับแฟนทะเลาะกันด้วยเรื่องของการใช้ชีวิต ว่าเราใช้ชีวิตต่างกัน ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ผมถามว่าทำไม เค้าตอบว่าอยากมีแฟนที่นั่งบีทีเอสกลับบ้านด้วยกันหลังเลิกงาน นั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมกัน  ผมแอบจุกแบบบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้ผมได้ชวนเค้าออกมาทำงานชานเมืองซึ่งจะใกล้บ้านเราทั้งสองคน แต่เค้าไม่ยอมยังยืนยันจะทำงานในเมือง ใจผมตอนนี้คิดว่าเค้าไม่ได้อยากให้ผมไปทำงานในเมือง แต่เค้าอยากหาแฟนใหม่ที่ทำงานในเมืองมากกว่าครับ

ผมอยากรู้ว่าผมควรเปลี่ยนงาน มาทำในเมืองมั้ยครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 50
ถ้าคุณมองแค่ประโยคบีทีเอส มันก็แบบนี้ล่ะค่ะ

ส่วนถ้าพันทิปมองแค่ประโยคนี้ เขาก็ยุให้คุณเลิก แบบนี้ล่ะค่ะ บ้างก็ว่าเขามีใหม่ หมดรัก เลยอ้าง

แต่ถ้ามองเนื้อหาของประโยค แฟนคุณเขาไม่ได้พูดถึงบีทีเอสค่ะ เขาทนมามากพอแล้วกับการใช้ชีวิตคนเดียว ที่ไม่มีใครดูแล ไปคนเดียว กลับคนเดียว แฟนไม่เคยมีเวลาดูแล อ้างติดงาน หวังให้เขาเข้าใจไลฟ์สไตล์ตัวเอง แต่ไม่เคยปรับตัวให้ลงตัวกัน คิดแต่ว่าเหตุผลตัวเองสำคัญและให้เขาเป็นฝ่ายรอเสมอ

วันนึงมันก็ต้องคิดล่ะค่ะ ว่าถ้ามีแฟนแล้วต้องใช้ชีวิตคนเดียว จะมีไปเพื่ออะไร คนเราไม่ได้มีคู่เพื่อการรอไม่ใช่เหรอ

ตามนี้ค่ะ ถ้ายังไม่สายก็ลองเอาไปคิดนะคะ ปรับตัวซะถ้ายังทัน แต่ถ้าสายเกินไป วันหน้าเริ่มกับใครใหม่ ก็อย่าลืมเนอะ
ความคิดเห็นที่ 17
ผมว่าควรแบ่งเวลาให้แฟนบ้าง

คือไม่ต้องไปทุกวันแต่ไปบ้างบางวัน ซื้ออะไรหาอะรไให้ทานให้ดูว่าใส่ใจ

ผมว่า ผญ รู้สึกถึงความละเลย  อันนี้ลองดูตัวเองก่อนว่าเราละเลยอะไรไหม ทำให้ดูไม่ใส่ใจเปล่า

ผมก็เปรแฟนผมทำงานในเมือง ผมทำงานบางนา แต่ผมก็ยอมเหนื่อยบางวัน คือวันพุธมั่ง ศุกร์มั่ง แวะไปหา หรือซื้อข้าวไปฝาก ซื้อหนมไปให้ คือมันลดแรงกดดันไปเยอะเลยครับ พอเวลาเราต้องไปไหนกะเพื่อนรึเหนื่อยอยากพักเขาจะไม่รู้สึกว่าโดนละเลย

ตอนนี้ก็แฮปปี้ คือหาจุดที่ทำให้เขารู้สึกว่าเออเราให้ความสำคัญใส่ใจเขา
ความคิดเห็นที่ 4
พูดตรงๆไม่อ้อมค้อมคือแฟนคุณเจอผู้ชายคนใหม่ที่เขาถูกใจแล้วล่ะเลยหาเรื่องจะเลิกกับคุณ
ความคิดเห็นที่ 84
จริงๆแล้วแต่ละคน แต่ละคู่ นั้นไม่เหมือนกัน
แต่ผมขอแบ่งปันเรื่องราวของผมก็แล้วกันนะ ถือว่าเล่าสู่กันฟัง
ผมกับคุณภรรยารักกันมาร่วม16ปี
ทั้งเมื่อก่อนและปัจจุบันสถานที่ทำงานผมกับเธออยู่คนละที่
เมื่อก่อนผมทำงานแถบขายแดนกรุงเทพฝั่งติดปทุมธานี ส่วนคุณภรรยาผมทำงานอยู่ฝั่งธน
ซึ่งระยะเวลา7-8ปี ที่ผมทำงานที่นั่น ผมจะเลือกเช่าที่พักใกล้ๆที่ทำงานชนิดแค่เดินเท้าไม่ถึง5นาทีก็ได้  แต่ผมกลับเลือกพักที่ฝั่งธน เพื่อที่จะได้มีเวลาให้เธอ แล้วยอมเดินทางเอา ซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยรถสาธารณะประมาณ2ชั่วโมงครึ่ง-3ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น(ถ้านับเวลาไป-กลับก็ประมาณ 5-6ชั่วโมง) ซึ่งผมใช้ชีวิตแบบนี้มาร่วม7-8ปี (ก่อนย้ายที่ทำงานใหม่ ด้วยเหตุผลที่ผมกับเธอย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ซึ่งเป็นบ้านของเราเอง)
ตลอดเวลา7-8ปี ผมไม่เคยออกปากขอให้เธอเปลี่ยนที่ทำงาน หรือแม้แต่ขอให้เธอมาพักใกล้ที่ทำงานผม หรือหาที่พักในแบบที่เราสะดวกเดินทางกันทั้งคู่ ผมเน้นตรงเธอสะดวกพอ
และความจริงผมเคยมีความจำเป็นต้องเช่าหอพักที่ใกล้ที่ทำงานซึ่งเดินไปได้ภายใน5นาที เป็นเวลา3เดือน แต่ผมแทบจะไม่ได้นอนพักที่นั่นเลย ยังคงใช้การเดินทางไปกลับ5-6ชั่วโมงเหมือนเดิม อาศัยนอนค้างคืนแค่บางวันที่งานเลิกเย็นมากๆหรือค่ำๆ หรืออาศัยใช้พักผ่อนกินข้าวอาบน้ำนอนเล่นบ้างในช่วงพักกลางวันในวันทำงาน
ต่อมาผมย้ายมาทำงานใกล้บ้าน ซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่เกินครึ่งชั่วโมง(รถสาธารณะ) ขณะที่คุณภรรยาผมเดินทางไกลขึ้น (เพราะย้ายมาอยู่บ้าน ไม่ใช่เช่าหอพัก) ซึ่งจริงๆเลิกงานแล้วผมจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่บ่อยครั้งที่ผมเลือกเดินทางไปรอคุณภรรยาที่จุดใหญ่ๆเพื่อจะได้กลับบ้านพร้อมกัน(รวมทั้งอาจทานข้าวมื้อเย็นนอกบ้าน หรือเดินเล่นช้อปปิ้ง) บางทีถ้าเลิกงานเร็วก็นั่งรถย้อนไปที่ทำงานคุณภรรยา (ซึ่งใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ)
ถามว่าคุณภรรยาผมเป็นผู้หญิงอ่อนแอมั้ย ถึงกลับบ้านคนเดียวไม่ได้ ผมตอบได้เลยว่าไม่ครับ
คุณภรรยาผมเป็นผู้หญิงที่สามารถขับรถไปกลับต่างจังหวัดคนเดียวในตอนกลางคืนได้ กรณีถ้าผมไม่ว่างจริงๆที่จะไปด้วย
แต่ผมเลือกจะใช้เวลากับเธอครับ กลับบ้านพร้อมกัน นั่งรถข้างๆกัน แวะทานข้าว แวะเที่ยวเดินเล่นด้วยกันก่อนเข้าบ้าน
ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าผมจะทำแบบนั้นทุกครั้งนะ ที่ตรงดิ่งกลับบ้าน แวะจ่ายตลาดซื้อของกลับบ้านก่อนก็มีหรือทำธุระส่วนตัวก็มี บางทีคุณภรรยาก็เป็นฝ่ายบอกให้กลับบ้านก่อนก็มี เพราะเธอไม่อยากผมเหนื่อย เสียเวลา ต้องนั่งรถย้อนไปมาก็มี (แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ Happy ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านพร้อมกัน)
ในส่วนสังคม ผมเป็นคนไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวนะ แต่ผมเองก็เป็นคนอารมณ์ดีสนุกสนาน มีน้ำใจกับคนอื่น และรับผิดชอบงานของตัวเองได้ดีพอสมควรอยู่แล้ว
อีกอย่างเพื่อนฝูง ทั้งสมัยเรียนหรือที่ทำงาน ก็มีครอบครัวแล้วกันเกือบทั้งนั้น ส่วนใหญ่เขาก็จะโฟกัสไปที่ครอบครัวเป็นหลัก นานๆทีจะนัดกินสังสรรค์ซักที
ส่วนลูกน้อง เขาจะรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ใช่คนดื่มเหล้า เวลามีกินเลี้ยงสังสรรค์กัน ผมก็จะร่วมงานพอเป็นพิธี ซัก1-3ชั่วโมง เราก็ช่วยออกค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่มพวกเขาไป ซักพันสองพัน พวกเขาก็โอเคแล้ว ปกติถ้าไปไหนมาไหนกับผม หรือทานมื้อกลางวันด้วยกัน ผมจะเป็นเลี้ยงอยู่แล้ว
ผมมองว่าคุณต้องจัดสรรเวลาของคุณกับแฟนให้ลงตัว
ระหว่างคนที่ไม่มีเวลาจริงๆ กับคนที่พอมีเวลาจะให้ได้ แต่กลับไม่ให้ มันต่างกันนะครับ
และความพอดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่าง3-4ทุ่มในความรู้สึกของคุณอาจจะเร็ว แต่อีกฝ่ายจะมองว่าช้าไป ก็เป็นเรื่องปกติ
คุณอาจจะมองว่าเจอกันแค่เสาร์-อาทิตย์ก็พอ แต่อีกฝ่ายเขาอาจมองว่าน้อยไป ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิ์ของเขา
อย่างผม ถ้าเป็นคุณ วันศุกร์ผมจะรีบกลับให้เร็วที่สุด อาจจะนั่งรถ3-4ชั่วโมง แต่ถ้าได้ใช้เวลาร่วมกันซัก1หรือครึ่งชั่วโมง ผมว่าก็โอเคแล้ว
นอนค้างคืน3วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ พอเช้าวันจันทร์ก็ตื่นแต่เช้ามืดไปทำงาน(ถ้าพอเดินทางได้ทันเวลาเข้างานนะ)
หรือแม้แต่วันธรรมดา จันทร์ถึงพฤหัส จะเลือกกลับไปนอนบ้านบ้างก็ยังได้ ถ้าคิดจะทำจริงๆ
อีกอย่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ต่างกัน คิดง่ายๆอย่างเจ้าของกระทู้หรือผม อายุ40-50หรือมากกว่านั้น จะให้มีแฟนใหม่ อายุ17-18ก็ยังได้เลย (ผมเองทุกวันนี้ทั้งอ้วนขึ้น ดำขึ้น ผมบางขึ้น ก็ยังมีเด็กนักเรียนหญิงมัธยมมามอง มาแซวเลย)
แต่ผู้หญิงพออายุมากขึ้น จะไปหวังสร้างครอบครัวใหม่กับใครก็ลำบากกว่าผู้ชาย ไหนจะเรื่องมีลูกตอนผู้หญิงอายุมากอีก(กรณีถ้าผู้หญิงบางคนอยากมีลูก) ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงบางคนจะคิดถึงเรื่องอนาคตชีวิตครอบครัว เรื่องความมั่นคงมากกว่าผู้ชายอย่างเราๆ
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ปัจจุบันต่างหากที่เรายังทำได้ ให้ความสุขกันและกันได้
ดังนั้นถ้าปัจจุบันเรายังไม่โอเค ก็ไม่แปลกที่บางคนจะรู้สึกว่าแล้วต่อไปในอนาคตข้างหน้าถ้ายังอยู่ด้วยกันแล้วจะรอดมั้ย
อย่าง ณ ปัจจุบันคุณติดเรื่องงาน แล้วอนาคตของคุณกับเธอจะเป็นยังไง ยังเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า คุณก็ต้องพูดคุยกับเธอ วางแผนอนาคตชีวิตไว้
เจ้าของกระทู้ต้องหาโอกาสพูดคุยกับแฟน ถ้ายังไม่อยากเสียเธอไป อย่าเอาความคิดของตัวเองคนเดียวว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันก็พอโอเคแล้ว เรื่องบางเรื่องถ้าเธอไม่ยอม คุณก็ต้องหาวิธีที่จะพอลงตัวโอเคได้ทั้งสองฝ่าย บางอย่างอาจจะขัดใจเราบ้าง เราอาจต้องเสียสละบ้าง แต่ถ้าไม่อยากเสียเธอไปหรืออยากมีชีวิตคู่ที่มีความสุข คุณก็ต้องยอม ไม่งั้นคุณก็ต้องมีแฟนใหม่ที่อยู่ใกล้ๆหรือเขาสามารถยอมรับชีวิตคู่แบบนี้ได้จริงๆ
ความคิดเห็นที่ 36
เราว่าเขาคงรู้สึกว่าทำไมมีแฟนแล้วเหมือนอยู่คนเดียวมั้งคะ เราเคยเป็นอยู่ช่วงนึงคือในหัวคิดว่า ถ้าการที่มีแฟนแล้วไม่ได้ดีไปกว่าการอยู่คนเดียว ต้องทำอะไรเองคนเดียวเหมือนเดิม พึ่งตัวเอง งั้นอยู่คนเดียวดีกว่ามั้งจะได้ไม่ต้องคาดหวังอะไรจากความสัมพันธ์ด้วย เอาจริงๆเราแค่อยากใช้เวลากับแฟนในช่วงเวลาที่เรากำลังเหนื่อยแค่นั้นเองล่ะ เลิกงานกลับบ้านถ้าได้เจอกัน ได้กลับด้วยกัน มันทำให้หายเหนื่อยไปได้เยอะเลย เขาอาจจะอยากให้คุณไปรับหรือเปล่า ทั้งนี้ทั้งนั้นบางคู่ถึงแม้การใช้ชีวิตมันต่างกันแต่ถ้าเรายอมรับตรงนั้นได้มันก็อยู่ได้ยาว ในกรณีคู่ของคุณเขาคงไม่น่าจะใช่แบบนี้ เป็นจิ๊กซอว์ที่ไม่พอดีกันค่ะ อะไรที่พยายามปรับได้ลองปรับดูนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่