
สวัสดีเพื่อนชาวพันทิปจ้า หลังจากห่างหายไปนาน ฉันกลับมาแล้ว
วันนี้จะมารีวิวทริปมัลดีฟส์ แบบชนชั้นกลาง คือการผสมผสานระหว่างความหรูหราไฮโซ และความโลวคอส
เริ่มกันเลยนะจ๊ะ ไม่ต้องพูดเยอะเจ็บคอ ไม่ต้องพิมพ์เยอะเจ็บนิ้ว


เดินทางวันที่ 19-22 ธันวาคม 2018 ผู้เดินทางชะนี 2 นาง
เดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียเจ้าเดิม เอฟวี่วันแคนฟราย จากดอนเมือง บินตรงสู่ เวลานาอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต
รูปในกระทูนี้ส่วนใหญ่ได้จากมือถือธรรมดาๆ บางภาพก็โกโปร รวมๆกันเด้อค่ะ
งบประมาณคร่าวๆ 30,000 บาท (ลืมใส่ค่าซิมการ์ด 15usd) เราใช้เงินดอลล่าทั้งหมด ไม่ได้แลกเงินรูฟิยาค่ะ

เปิดกันด้วยรูปนี้ ก่อนแลนดิ้ง 30 นาทีเตรียมกล้องให้พร้อม แต่จงนั่งด้านซ้ายของเครื่อง อิฉันนั่งด้านขวา
เล็งอยู่นานทำไมไม่เห็นอะไรเลย มีแต่น้ำ จนเครื่องแลนดิ้ง จึงได้เห็นรูปของเพื่อนที่ได้นั่งด้านซ้ายของเครื่อง

เครื่องลงประมาณ เที่ยง GMT+5 31องศา ท้องฟ้าปลอดโปร่ง

ใบตม.กรอกง่ายๆไม่มีอะไรมาก

ขอพูดถึงการเลือกโรงแรมหน่อยจ๊ะ เราตั้งใจว่าต้องนอนกลางน้ำให้ได้ 1 คืน อีก 2 คืนนอนโรงแรมธรรมดา
มี Requirement ดังนี้
1. ต้องไม่ไกลจากสนามบิน เดินทางด้วยสปีดโบ้ทได้ ประหยัดเวลาและค่าเดินทาง
2. ค่าสปีดโบ้ทต้องไม่แพงหฤโหดจนเกินไป
3. ต้องเป็นห้องกลางน้ำ ที่มีอ่างจากุซซี่ที่ระเบียง
เราพยายามเลือกที่ถูกที่สุดที่เราสามารถหาได้ก็จบที่
Paradise Island Resort And Spa
ประเภทห้อง Haven villa with jaccuzi แบบ Bed and breakfast

นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่นอนโรงแรมแพงขนาดนี้ แต่ถ้าคุณให้คุณค่ากับ Experience มากกว่า Money แล้วล่ะก็
ถ้าคุณจ่ายได้ก็จ่ายไปเถอะ มันคุ้มค่าแน่นอน
พอถึงสนามบินมัลดีฟส์ ผ่านตม. รับกระเป๋า เราก็แวะไปซื้อซิมการ์ด ที่ Dhiraagu ในสนามบิน
Package Starter 15 usd ยื่นโทรศัพท์ให้พนักงานเค้าจะจัดการให้เรา
จากนั้นเดินไปเค้าท์เตอร์เช็คอินโรงแรมที่อยู่ในสนามบิน เค้าท์เตอร์หมายเลข 16
พนักงานจะจัดการนำทางเราไปขึ้นเรือของโรงแรม

เรือนั่งได้ทั้งข้างนอกรับลมแรงๆ และแสงแดดที่แผดเผา
หรือจะเข้ามานั่งแอร์เย็นๆด้านในก็ได้ และแน่นอนเราเลือกนั่งห้องแอร์จ๊ะ

ใช้เวลาประมาณ 20-25 นาทีก็มาถึงโรงแรม แค่เห็นน้ำที่ท่าเรือก็ต้องร้องว๊าว
จากนั้นเดินสวยๆเข้าไปเช็คอิน กรอกเอกสาร จะมีพนักงานมาอธิบายอะไรต่างๆอีกมากมาย
และนั่งรอรถกอร์ฟไปส่งที่ห้องพร้อมกระเป๋า
ห้องพักของเราอยู่ในโซนนี้

และนี่คือห้องของเราที่จะพักในคืนนี้

เมื่อเปิดประตูเราก็ข้ามทุกสิ่งทุกอย่าง พุ่งตรงไปที่ระเบียงที่เป็นไฮไลท์ของเรา

ไม่ผิดหวังใช่มั้ยล่ะ สวรรค์แท้ๆ
อ่ะ มาดูในห้องว่ามีอะไรบ้างน๊า
เปิดประตูเข้ามาด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้า มีตู้เซฟ เตารีด โต๊ะรีดผ้า

ด้านขวามีประตูบานใหญ่เปิดเข้าไปเป็นห้องน้ำ มีอ่าง 2 ชุด

เปิดหน้าต่างทางซ้ายมีทางเดินทะลุไปที่ระเบียง

หันขวามีห้องอาบน้ำและห้องน้ำ

ห้องน้ำ

ภายในห้องมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะมี ตู้เย็นเล็กจะอยู่ในตู้ไม้ใต้โต๊ะ

ที่ระเบียงมีเบาะนั่งเล่น มองฟ้า มองน้ำ

บันไดที่เป็น Signature ของโรงแรมหรูๆในมัลดีฟส์ น้ำใสมากๆ

และอ่างจากุซซี่ที่รัก

โอ๊ยฟินเวอร์

เรามาเปิดดูราคามินิบาร์ในห้องดีกว่า เอ๊ะทำไมเหล้าถูกจัง เพราะมันเป็นขวดเล็กจิ๋วๆนี่เอง

สำหรับคนที่ไม่ได้จองแบบ All inclusive มาแบบเรา ก็มาส่องดูราคารูมเซอวิสได้

ตอนประมาณ 6 โมงเย็นมีการโชว์ให้อาหารปลาฉลามที่ร้านอาหารตรงสุดทางของโซน Water Villa ด้วย
เดินไปดูกันดีกว่า

น้ำที่นี่ใสมาก บางทีก็เห็นปลากระเบนว่ายไปมา

ดูเค้าให้อาหารปลาฉลามกัน

มากันเยอะแยะเลย

เราตัดสินใจทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหารนี้เลย ชื่อว่า Furumathi Seafood Restaurant

พอดีวันนั้นที่ร้านมีบุฟเฟ่อาหารทะเลสดๆ คนละ 100usd ยังไม่รวมVat และ Service Charge
เราว่าราคามันแพงเกินไปสำหรับชนชั้นกลางอย่างเรา เลยลองเปิดเมนูดูจิงๆราคา 20-30 usd ก็ยังพอมี
แต่เราเหลือบไปเห็นว่ามีอาหารเป็น Course ราคาคนละ 60 usd (ยังไม่รวม Vat และ Service Charge)
เอาฟะ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว จัดให้เต็ม ซักครั้งในชีวิต
อาหารประกอบด้วย ขนมปังก้อนกลมกับเนย , สลัดกุ้ง ,ซุปอะไรซักอย่าง, จานหลักเป็นข้าวกับกุ้ง ,ขนมหวาน ,เครื่องดื่ม
อาหารจะเสิร์ฟทีละจาน พนักงานจะรอจนเราทานเสร็จทีละอย่าง แล้วยกไปเก็บ ก่อนเก็บก็จะถามว่าอาหารอร่อยมั้ย ตามมารยาทเลยจ้า
และแน่นอน การจัดวางช้อนส้อมมีดเรียงรายมากมายแบบนี้ เราควรจะต้องขุดความรู้เรื่องการรับประทานอาหารแบบผู้ดีอังกฤษมาใช้

และด้วยความโชคดดี เมนูขนมหวานพนักงานบอกว่าให้เราไปตักทานจากที่เดียวกับบุฟเฟ่ได้เลย เฮ้ยแกร คือดีย์

แต่เอาจริงๆนะ อิ่มตั้งแต่ 2 จานแรกแล้ว แต่ก็ยังยัดเข้าไปกลัวไม่คุ้ม 555
ทานอาหารเสร็จก็ไปแช่จากุซซี่ไป ดูดาวไป จิบไวน์ไป

เช้าวันใหม่ที่สดใส ตื่นแต่เช้ามาถ่ายรูป แล้วออกไปทานอาหารเช้ากันที่ Lagoon Restaurant
อยู่ในโซน Water Villa เฉพาะแขกที่พักโซนนี้เท่านั้นถึงจะมาทานอาหารเช้าที่นี่ได้

ไลน์อาหารเช้าดีงามอยู่ ไม่มีหมูนะคะเพราะเป็นมุสลิม เน้นเนื้อ และปลา
มีขนม ผลไม้มากมาย

ทางโรงแรมให้เช็คเอ้าท์ได้ตอนเที่ยง เราแค่เก็บกระเป๋าแล้วเอาไว้ในห้อง ไม่ต้องยกไปนะจ๊ะ
แค่เอากุญแจไปให้พนักงานที่ฟร้อน แล้วนัดแนะว่าจะขึ้นเรือไปสนามบินที่โมง เราได้รอบบ่ายโมง
[CR] Maldives 4D3N แบบชนชั้นกลาง จาก Hiso to Low cost (Paradise Island Resort and Spa 1 คืน)
วันนี้จะมารีวิวทริปมัลดีฟส์ แบบชนชั้นกลาง คือการผสมผสานระหว่างความหรูหราไฮโซ และความโลวคอส
เริ่มกันเลยนะจ๊ะ ไม่ต้องพูดเยอะเจ็บคอ ไม่ต้องพิมพ์เยอะเจ็บนิ้ว
เดินทางวันที่ 19-22 ธันวาคม 2018 ผู้เดินทางชะนี 2 นาง
เดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียเจ้าเดิม เอฟวี่วันแคนฟราย จากดอนเมือง บินตรงสู่ เวลานาอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต
รูปในกระทูนี้ส่วนใหญ่ได้จากมือถือธรรมดาๆ บางภาพก็โกโปร รวมๆกันเด้อค่ะ
งบประมาณคร่าวๆ 30,000 บาท (ลืมใส่ค่าซิมการ์ด 15usd) เราใช้เงินดอลล่าทั้งหมด ไม่ได้แลกเงินรูฟิยาค่ะ
เปิดกันด้วยรูปนี้ ก่อนแลนดิ้ง 30 นาทีเตรียมกล้องให้พร้อม แต่จงนั่งด้านซ้ายของเครื่อง อิฉันนั่งด้านขวา
เล็งอยู่นานทำไมไม่เห็นอะไรเลย มีแต่น้ำ จนเครื่องแลนดิ้ง จึงได้เห็นรูปของเพื่อนที่ได้นั่งด้านซ้ายของเครื่อง
เครื่องลงประมาณ เที่ยง GMT+5 31องศา ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
ใบตม.กรอกง่ายๆไม่มีอะไรมาก
ขอพูดถึงการเลือกโรงแรมหน่อยจ๊ะ เราตั้งใจว่าต้องนอนกลางน้ำให้ได้ 1 คืน อีก 2 คืนนอนโรงแรมธรรมดา
มี Requirement ดังนี้
1. ต้องไม่ไกลจากสนามบิน เดินทางด้วยสปีดโบ้ทได้ ประหยัดเวลาและค่าเดินทาง
2. ค่าสปีดโบ้ทต้องไม่แพงหฤโหดจนเกินไป
3. ต้องเป็นห้องกลางน้ำ ที่มีอ่างจากุซซี่ที่ระเบียง
เราพยายามเลือกที่ถูกที่สุดที่เราสามารถหาได้ก็จบที่
Paradise Island Resort And Spa
ประเภทห้อง Haven villa with jaccuzi แบบ Bed and breakfast
นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่นอนโรงแรมแพงขนาดนี้ แต่ถ้าคุณให้คุณค่ากับ Experience มากกว่า Money แล้วล่ะก็
ถ้าคุณจ่ายได้ก็จ่ายไปเถอะ มันคุ้มค่าแน่นอน
พอถึงสนามบินมัลดีฟส์ ผ่านตม. รับกระเป๋า เราก็แวะไปซื้อซิมการ์ด ที่ Dhiraagu ในสนามบิน
Package Starter 15 usd ยื่นโทรศัพท์ให้พนักงานเค้าจะจัดการให้เรา
จากนั้นเดินไปเค้าท์เตอร์เช็คอินโรงแรมที่อยู่ในสนามบิน เค้าท์เตอร์หมายเลข 16
พนักงานจะจัดการนำทางเราไปขึ้นเรือของโรงแรม
เรือนั่งได้ทั้งข้างนอกรับลมแรงๆ และแสงแดดที่แผดเผา
หรือจะเข้ามานั่งแอร์เย็นๆด้านในก็ได้ และแน่นอนเราเลือกนั่งห้องแอร์จ๊ะ
ใช้เวลาประมาณ 20-25 นาทีก็มาถึงโรงแรม แค่เห็นน้ำที่ท่าเรือก็ต้องร้องว๊าว
จากนั้นเดินสวยๆเข้าไปเช็คอิน กรอกเอกสาร จะมีพนักงานมาอธิบายอะไรต่างๆอีกมากมาย
และนั่งรอรถกอร์ฟไปส่งที่ห้องพร้อมกระเป๋า
ห้องพักของเราอยู่ในโซนนี้
และนี่คือห้องของเราที่จะพักในคืนนี้
เมื่อเปิดประตูเราก็ข้ามทุกสิ่งทุกอย่าง พุ่งตรงไปที่ระเบียงที่เป็นไฮไลท์ของเรา
ไม่ผิดหวังใช่มั้ยล่ะ สวรรค์แท้ๆ
อ่ะ มาดูในห้องว่ามีอะไรบ้างน๊า
เปิดประตูเข้ามาด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้า มีตู้เซฟ เตารีด โต๊ะรีดผ้า
ด้านขวามีประตูบานใหญ่เปิดเข้าไปเป็นห้องน้ำ มีอ่าง 2 ชุด
เปิดหน้าต่างทางซ้ายมีทางเดินทะลุไปที่ระเบียง
หันขวามีห้องอาบน้ำและห้องน้ำ
ห้องน้ำ
ภายในห้องมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะมี ตู้เย็นเล็กจะอยู่ในตู้ไม้ใต้โต๊ะ
ที่ระเบียงมีเบาะนั่งเล่น มองฟ้า มองน้ำ
บันไดที่เป็น Signature ของโรงแรมหรูๆในมัลดีฟส์ น้ำใสมากๆ
และอ่างจากุซซี่ที่รัก
โอ๊ยฟินเวอร์
เรามาเปิดดูราคามินิบาร์ในห้องดีกว่า เอ๊ะทำไมเหล้าถูกจัง เพราะมันเป็นขวดเล็กจิ๋วๆนี่เอง
สำหรับคนที่ไม่ได้จองแบบ All inclusive มาแบบเรา ก็มาส่องดูราคารูมเซอวิสได้
ตอนประมาณ 6 โมงเย็นมีการโชว์ให้อาหารปลาฉลามที่ร้านอาหารตรงสุดทางของโซน Water Villa ด้วย
เดินไปดูกันดีกว่า
น้ำที่นี่ใสมาก บางทีก็เห็นปลากระเบนว่ายไปมา
ดูเค้าให้อาหารปลาฉลามกัน
มากันเยอะแยะเลย
เราตัดสินใจทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหารนี้เลย ชื่อว่า Furumathi Seafood Restaurant
พอดีวันนั้นที่ร้านมีบุฟเฟ่อาหารทะเลสดๆ คนละ 100usd ยังไม่รวมVat และ Service Charge
เราว่าราคามันแพงเกินไปสำหรับชนชั้นกลางอย่างเรา เลยลองเปิดเมนูดูจิงๆราคา 20-30 usd ก็ยังพอมี
แต่เราเหลือบไปเห็นว่ามีอาหารเป็น Course ราคาคนละ 60 usd (ยังไม่รวม Vat และ Service Charge)
เอาฟะ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว จัดให้เต็ม ซักครั้งในชีวิต
อาหารประกอบด้วย ขนมปังก้อนกลมกับเนย , สลัดกุ้ง ,ซุปอะไรซักอย่าง, จานหลักเป็นข้าวกับกุ้ง ,ขนมหวาน ,เครื่องดื่ม
อาหารจะเสิร์ฟทีละจาน พนักงานจะรอจนเราทานเสร็จทีละอย่าง แล้วยกไปเก็บ ก่อนเก็บก็จะถามว่าอาหารอร่อยมั้ย ตามมารยาทเลยจ้า
และแน่นอน การจัดวางช้อนส้อมมีดเรียงรายมากมายแบบนี้ เราควรจะต้องขุดความรู้เรื่องการรับประทานอาหารแบบผู้ดีอังกฤษมาใช้
และด้วยความโชคดดี เมนูขนมหวานพนักงานบอกว่าให้เราไปตักทานจากที่เดียวกับบุฟเฟ่ได้เลย เฮ้ยแกร คือดีย์
แต่เอาจริงๆนะ อิ่มตั้งแต่ 2 จานแรกแล้ว แต่ก็ยังยัดเข้าไปกลัวไม่คุ้ม 555
ทานอาหารเสร็จก็ไปแช่จากุซซี่ไป ดูดาวไป จิบไวน์ไป
เช้าวันใหม่ที่สดใส ตื่นแต่เช้ามาถ่ายรูป แล้วออกไปทานอาหารเช้ากันที่ Lagoon Restaurant
อยู่ในโซน Water Villa เฉพาะแขกที่พักโซนนี้เท่านั้นถึงจะมาทานอาหารเช้าที่นี่ได้
ไลน์อาหารเช้าดีงามอยู่ ไม่มีหมูนะคะเพราะเป็นมุสลิม เน้นเนื้อ และปลา
มีขนม ผลไม้มากมาย
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆโรงแรมกัน
ทางโรงแรมให้เช็คเอ้าท์ได้ตอนเที่ยง เราแค่เก็บกระเป๋าแล้วเอาไว้ในห้อง ไม่ต้องยกไปนะจ๊ะ
แค่เอากุญแจไปให้พนักงานที่ฟร้อน แล้วนัดแนะว่าจะขึ้นเรือไปสนามบินที่โมง เราได้รอบบ่ายโมง
พนักงานจะจัดการเอากระเป๋าของเราไปรอที่ท่าเรือ ระหว่างนั้นก็เดินเล่นถ่ายรูปไป
ช่วงไฮซีซั่นนี้น้ำทะลสวยมากๆ แดดดีถ่ายรูปสวย แต่ก็แลกกับอากาศที่ร้อนจริงจัง
ถ่ายรูปมาได้นิดหน่อย ขอไปนั่งรอในร่มดีกว่า
เรือมารับแล้ว ลาก่อนสวรรค์น้อยๆของเรา
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้