... วันนี้ ( 31 มค. 62 ) จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฯพิจารณากำหนดมาตรการควบคุมค่ารักษาพยาบาลของ
รพ.เอกชน พอมีเวลาว่างค้นบทความเก่าๆเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลแพงของรพ.เอกชน มาแชร์กันครับ
เพราะเห็นว่า คนที่อยู่นอกวงการอาจจะได้ข้อมูลจากมุมมองของแพทย์อาวุโสท่านหนึ่งครับ...
... บทความเก่าตั้งแต่ พค. 2015 เรื่อง " นพ.วิชัย โชควิวัฒน : รพ.เอกชนค่ารักษาแพง ปัญหาและทางออก "
เขียนโดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน....
นพ.วิชัย ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ ค่ายา และค่ารักษาพยาบาลใน รพ.เอกชนมีราคาแพง โดยระบุว่า มีต้นเหตุ
ทั้งที่สมควรและไม่สมควร ซึ่ง นพ.วิชัยระบุว่า การที่ รพ.เอกชนจะมีกำไรนั้น เป็นเรื่องไม่ผิด และเป็นส่วนที่สมควร
และยอมรับได้ ถ้าไม่เป็นการค้ากำไรจนเกินควร ขณะเดียวกัน จากเหตุที่ไม่สมควร คือ ระบบบริการที่ฉ้อฉล
และระบบการควบคุมตรวจสอบล้มเหลว ตรงนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้ค่ารักษามีราคาแพงเกินจริงด้วย...
สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่แพงนั้นเกิดจากเหตุที่ไม่สมควรเป็นเหตุใหญ่ เช่นเกิดจากการสั่งตรวจรักษา ผ่าตัด
และใช้ยาที่เกินจำเป็นและไม่สมควร
*** การคิดกำไรค่ายาแต่ละรายการแพงมาก กลายเป็นเหตุเล็กๆ เท่านั้น ***...
ขออนุญาตยกมาบางส่วน ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ตาม link นะครับ...
ที่มา :
https://www.hfocus.org/content/2015/05/10053
https://www.hfocus.org/content/2015/05/10064
https://www.hfocus.org/content/2015/05/10075
https://www.hfocus.org/content/2015/06/10085
_________________________________________________________________________________________________
สาเหตุที่ไม่สมควรและเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนแพง หรือ แพงมหาโหด
เกิดจากระบบบริการที่ฉ้อฉล และระบบการควบคุมตรวจสอบล้มเหลว
เหตุดังกล่าว คือ การให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา และรับไว้ในโรงพยาบาลที่เกินสมควร ไม่จำเป็น ในลักษณะจงใจ
เพิ่มรายได้และผลกำไร กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในโรงพยาบาลเอกชน มากกว่าในโรงพยาบาลของรัฐ แยกเป็นกรณีต่างๆ
ได้ดังนี้
- กรณีแรก เป็นกรณีการจ่ายยาที่เกินจำเป็น...
โรงพยาบาลที่มุ่งทำรายได้ และเพิ่มผลกำไรเป็นสรณะ แพทย์จะสั่งยาให้คนไข้ถุงโต เพื่อให้โรงพยาบาลมีรายได้
มากขึ้น คนไข้ส่วนมากก็จะ “พอใจ” ที่ได้ยามามาก จนอาจยอมรับได้ที่ต้องจ่ายในราคาแพง และคนไข้โดยมากมัก
มีมายาคติว่า ถ้า “ยาแพงแสดงว่าเป็นยาดี”
มายาคติดังกล่าว ทำให้โรงพยาบาลที่มุ่งรายได้และผลกำไร จะจ่ายยา “ราคาแพง” ให้แก่คนไข้ เพราะเมื่อคิดกำไร
เป็นเปอร์เซ็นต์ จะได้กำไรเป็น “เม็ดเงิน” เป็นกอบเป็นกำ ตัวอย่างเช่น ยาบรรเทาหวัด ลดน้ำมูกดั้งเดิม คือ
คลอร์เฟนิรามีน (Chorpheniramine) ต้นทุนเม็ดละ 10 สตางค์ ถ้าคิดกำไร 30% จะได้เพียง 3 สตางค์ ถ้าจ่าย 20 เม็ด
ก็จะได้กำไรเพียง 60 สตางค์ แต่ถ้าจ่ายยาแก้หวัด ชนิด “ไม่ง่วง” ราคาเม็ดละ 50 บาท คิดกำไร 30% จ่าย 20 เม็ด
ก็จะกำไรถึง 300 บาท
- กรณีที่สอง คือการรับไว้ในโรงพยาบาล (Admission) โดยไม่สมควรและไม่จำเป็น...
กรณีคนไข้ที่ไม่จำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพราะสามารถรักษาหายโดยปลอดภัยได้ด้วยการรักษาแบบ
คนไข้นอก อาจจะถูกแพทย์สั่งให้รับไว้ในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถเพิ่มการตรวจรักษา เพื่อเพิ่มรายได้และกำไร
แก่โรงพยาบาลอีกมาก วิธีการก็อาจทำโดยการ “แจ้ง” แก่คนไข้ว่าต้องนอนโรงพยาบาล หากกลับบ้านอาจมีอันตราย
ร้ายแรงถึงตายได้ กรณีดังกล่าว คนไข้และญาติคนไข้เกือบจะร้อยทั้งร้อยก็ย่อมกลัวตาย และยอมเป็นคนไข้ใน
โรงพยาบาล
- กรณีที่สาม ที่พบได้ไม่น้อย คือ การผ่าตัดที่ไม่จำเป็น เช่น กรณีคนไข้ปวดท้องแล้วถูกวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ
ซึ่งต้องรักษาโดยการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการวินิจฉัยผิดโดยสุจริต แต่มีส่วนหนึ่งที่จงใจวินิจฉัยผิด
ปัจจุบันค่าผ่าตัดไส้ติ่งในโรงพยาบาลเอกชนราคาหลักแสน ยังไม่คิดค่าโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นอีกจิปาถะ
โดยไม่พูดถึงความเสี่ยงจากการผ่าตัด การให้ยาระงับความรู้สึก และค่าใช้จ่ายที่เสียไปโดยไม่สมควร...
- กรณีที่สี่ นอกจากการผ่าตัดที่ไม่จำเป็นและไม่สมควรแล้ว ยังมีการสั่งตรวจและรักษาที่ไม่จำเป็นอื่นๆ อีกมากมาย
คนไข้สูงอายุจำนวนมาก ที่หมดสติหรืออาจเสียชีวิตแล้ว ญาตินำส่งโรงพยาบาล หากเข้าโรงพยาบาลเอกชน
จะมีการนำเข้าห้องไอซียู (ICU หรือ Intensive Care Unit) ใส่เครื่องช่วยพยุงชีพมากมาย ด้วยความหวังที่จะกู้ชีพ
ให้ฟื้นคืนมา คนไข้เหล่านี้ส่วนหนึ่งสมควรช่วยเหลือเยียวยาเพื่อให้รอดหรือหาย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่สมองตายแล้ว
ไม่ควร “ยืดความตาย” แต่โรงพยาบาลเอกชนมีแรงจูงใจสูงที่จะสั่งการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืดการตาย เพราะจะเพิ่ม
รายได้และผลกำไรให้ได้มากมาย
คนไข้บางรายที่ “สิ้นหวัง” แล้ว จะต้องตายอย่างแน่นอน นอกจากการพยายามให้ความหวังและสั่งการตรวจรักษาไป
เรื่อยๆ แล้ว ในวาระสุดท้าย โรงพยาบาลเอกชนมักมี “ประเพณีปฏิบัติ” ที่จะเชิญแพทย์ที่ปรึกษาหลายๆ แขนงมา
ตรวจเพื่อ “ช่วยคนไข้” โดยอ้างเหตุผลว่าเผื่อจะมีความหวังบ้าง ซึ่งในอีกแง่หนึ่งคือ การมาช่วยกัน “รีด” เอาจาก
คนไข้และญาติอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะ “ปล่อย” ให้หลุดมือไป...
...โดยสรุปแล้ว ค่ารักษาพยาบาลที่แพงหรือแพงมหาโหดในโรงพยาบาลเอกชน เกิดจากทั้งเหตุที่สมควรและ
ไม่สมควร
- เหตุที่ไม่สมควรที่เป็นเหตุใหญ่ เกิดจากการสั่งตรวจรักษา ผ่าตัด และใช้ยาที่เกินจำเป็นและไม่สมควร
การคิดกำไรค่ายาแต่ละรายการแพงมาก กลายเป็นเหตุเล็กๆ เท่านั้น ค่ายาที่แพงส่วนใหญ่เกิดจากการสั่งใช้ยา
มากขนานเกินความจำเป็น และสั่งยาที่มีราคาแพงเพื่อทำกำไรให้มาก ถ้าสั่งใช้ยาเท่าที่จำเป็นและสมควร
โดยไม่มุ่งสั่งใช้ยา ราคาแพง จะลดราคาลงได้มาก แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นได้เองในโรงพยาบาลเอกชน...
ปัญหาโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาแพงเป็นปัญหาเชิงระบบ ต้องแก้เชิงระบบ จะคิดแก้อย่างง่ายๆหรืออย่าง
“มักง่าย” ไม่ได้
ประเทศไทยทั้งโชคดี และโชคร้าย
โชคร้ายคือ เราปล่อยให้โรงพยาบาลเอกชนเข้าตลาดหุ้น ขณะที่ระบบควบคุมไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่ทำงาน
ระบบควบคุม ได้แก่ 1) แพทยสภา ซึ่งคุมบุคลากรวิชาชีพที่เป็น “ต้นเหตุปัญหา” ที่สำคัญคือแพทย์ นอกจาก
“ไม่ทำงาน” แล้วยังมีผลประโยชน์ทับซ้อน 2) กลไกในกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะหน่วยที่ดูแลสถานพยาบาล
นอกจากไร้ประสิทธิภาพแล้วยังฉ้อฉล (Corrupt) 3) องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค และกลไกควบคุมราคาในกระทรวง
พาณิชย์ไม่มี หรือ ขาดความรู้ ขาดพลัง และขาดประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันกลไกภาคประชาชนก็อ่อนแอด้วย
โชคดี คือ ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพ (Health Security) คือ สปสช.และระบบประกันสุขภาพ
(Health insurance) คือ ประกันสังคม ที่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เพราะใช้ระบบ “เหมาจ่ายรายหัว” (Capitation)
ซึ่งไม่จูงใจให้โรงพยาบาลต่างๆ “ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย”
สำหรับปัญหาโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาแพง จะต้องแก้เชิงระบบใน 3 เรื่อง ได้แก่
1) การพัฒนาหรือปฏิรูประบบบริการโรงพยาบาลรัฐ ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะปัจจุบัน
โรงพยาบาลของรัฐยังเป็นผู้ให้บริการส่วนใหญ่ของระบบ สปสช. คือกว่าร้อยละ 90 และเกือบร้อยละ 50 ของ
ระบบประกันสังคม
2) จะต้องควบคุมการบริการและการคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโรงพยาบาลเอกชนให้ได้ผล
และ 3) จะต้องสร้างความเข้มแข็งภาคประชาชนให้รู้จักใช้สิทธิ์อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้เป็นพลเมือง
ที่เข้มแข็งในการมีส่วนร่วมในการปฏิรูประบบบริการและคุ้มครองสิทธิของตนเอง
ต่อไปเป็นประเด็นเรื่องการควบคุมการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล โดยเฉพาะของเอกชน
กรณีตัวอย่างจากญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะญี่ปุ่นใช้ระบบการเบิกจ่ายแบบ “จ่ายตามการให้บริการ”
(Fee-For-Service) ทั้งประเทศ
ญี่ปุ่นมีกลไกตรวจสอบรวม 3 ระบบ ได้แก่
1) การกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาล ซึ่งประกอบด้วยระบบย่อย 2 ระบบ ได้แก่
1.1) การคิดค่าใช้จ่ายตามการวินิจฉัยโรคร่วม (Diagnosis-Related Group หรือ DRG)
1.2) การกำหนดรายการยา บริการทางเภสัชกรรม ทันตกรรม ค่าผ่าตัด ค่าการให้ยาระงับความรู้สึก
ค่าตรวจวินิจฉัย ฯลฯ ที่ให้เบิกจายได้
2) ระบบการตรวจสอบรายการเบิกจ่าย
และ 3) ระบบการตรวจสอบมาตรฐานบริการ
ระบบบริการของเอกชนบ้านเราเป็นระบบ “จ่ายตามการให้บริการ” เหมือนกัน ซึ่งมักมีลักษณะเป็นการเรียกเก็บ
“ตามใจชอบ”ด้วย...
กลไกการตรวจสอบนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และอำนาจรัฐ ไม่สามารถปล่อยให้ประชาชนปกป้อง
ตนเองตามยถากรรมได้ แต่รัฐบาลไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ยังทำหน้าที่นี้น้อยมาก ในส่วนขององค์กรวิชาชีพ โดยเฉพาะ แพทยสภา
นอกจากแทบไม่ได้ทำหน้าที่เชิงรุกเลย ยังมีบทบาทและท่าที่ไม่เอื้อต่อการควบคุมตรวจสอบด้วย
สุดท้ายก็คือ การสร้างความเข้มแข็งภาคประชาชน....
* ป.ล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
รพ.เอกชนค่ารักษาแพง ปัญหาและทางออก " - เขียนโดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน....
รพ.เอกชน พอมีเวลาว่างค้นบทความเก่าๆเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลแพงของรพ.เอกชน มาแชร์กันครับ
เพราะเห็นว่า คนที่อยู่นอกวงการอาจจะได้ข้อมูลจากมุมมองของแพทย์อาวุโสท่านหนึ่งครับ...
... บทความเก่าตั้งแต่ พค. 2015 เรื่อง " นพ.วิชัย โชควิวัฒน : รพ.เอกชนค่ารักษาแพง ปัญหาและทางออก "
เขียนโดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน....
นพ.วิชัย ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ ค่ายา และค่ารักษาพยาบาลใน รพ.เอกชนมีราคาแพง โดยระบุว่า มีต้นเหตุ
ทั้งที่สมควรและไม่สมควร ซึ่ง นพ.วิชัยระบุว่า การที่ รพ.เอกชนจะมีกำไรนั้น เป็นเรื่องไม่ผิด และเป็นส่วนที่สมควร
และยอมรับได้ ถ้าไม่เป็นการค้ากำไรจนเกินควร ขณะเดียวกัน จากเหตุที่ไม่สมควร คือ ระบบบริการที่ฉ้อฉล
และระบบการควบคุมตรวจสอบล้มเหลว ตรงนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้ค่ารักษามีราคาแพงเกินจริงด้วย...
สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่แพงนั้นเกิดจากเหตุที่ไม่สมควรเป็นเหตุใหญ่ เช่นเกิดจากการสั่งตรวจรักษา ผ่าตัด
และใช้ยาที่เกินจำเป็นและไม่สมควร
*** การคิดกำไรค่ายาแต่ละรายการแพงมาก กลายเป็นเหตุเล็กๆ เท่านั้น ***...
ขออนุญาตยกมาบางส่วน ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ตาม link นะครับ...
ที่มา : https://www.hfocus.org/content/2015/05/10053
https://www.hfocus.org/content/2015/05/10064
https://www.hfocus.org/content/2015/05/10075
https://www.hfocus.org/content/2015/06/10085
_________________________________________________________________________________________________
สาเหตุที่ไม่สมควรและเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนแพง หรือ แพงมหาโหด
เกิดจากระบบบริการที่ฉ้อฉล และระบบการควบคุมตรวจสอบล้มเหลว
เหตุดังกล่าว คือ การให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา และรับไว้ในโรงพยาบาลที่เกินสมควร ไม่จำเป็น ในลักษณะจงใจ
เพิ่มรายได้และผลกำไร กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในโรงพยาบาลเอกชน มากกว่าในโรงพยาบาลของรัฐ แยกเป็นกรณีต่างๆ
ได้ดังนี้
- กรณีแรก เป็นกรณีการจ่ายยาที่เกินจำเป็น...
โรงพยาบาลที่มุ่งทำรายได้ และเพิ่มผลกำไรเป็นสรณะ แพทย์จะสั่งยาให้คนไข้ถุงโต เพื่อให้โรงพยาบาลมีรายได้
มากขึ้น คนไข้ส่วนมากก็จะ “พอใจ” ที่ได้ยามามาก จนอาจยอมรับได้ที่ต้องจ่ายในราคาแพง และคนไข้โดยมากมัก
มีมายาคติว่า ถ้า “ยาแพงแสดงว่าเป็นยาดี”
มายาคติดังกล่าว ทำให้โรงพยาบาลที่มุ่งรายได้และผลกำไร จะจ่ายยา “ราคาแพง” ให้แก่คนไข้ เพราะเมื่อคิดกำไร
เป็นเปอร์เซ็นต์ จะได้กำไรเป็น “เม็ดเงิน” เป็นกอบเป็นกำ ตัวอย่างเช่น ยาบรรเทาหวัด ลดน้ำมูกดั้งเดิม คือ
คลอร์เฟนิรามีน (Chorpheniramine) ต้นทุนเม็ดละ 10 สตางค์ ถ้าคิดกำไร 30% จะได้เพียง 3 สตางค์ ถ้าจ่าย 20 เม็ด
ก็จะได้กำไรเพียง 60 สตางค์ แต่ถ้าจ่ายยาแก้หวัด ชนิด “ไม่ง่วง” ราคาเม็ดละ 50 บาท คิดกำไร 30% จ่าย 20 เม็ด
ก็จะกำไรถึง 300 บาท
- กรณีที่สอง คือการรับไว้ในโรงพยาบาล (Admission) โดยไม่สมควรและไม่จำเป็น...
กรณีคนไข้ที่ไม่จำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพราะสามารถรักษาหายโดยปลอดภัยได้ด้วยการรักษาแบบ
คนไข้นอก อาจจะถูกแพทย์สั่งให้รับไว้ในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถเพิ่มการตรวจรักษา เพื่อเพิ่มรายได้และกำไร
แก่โรงพยาบาลอีกมาก วิธีการก็อาจทำโดยการ “แจ้ง” แก่คนไข้ว่าต้องนอนโรงพยาบาล หากกลับบ้านอาจมีอันตราย
ร้ายแรงถึงตายได้ กรณีดังกล่าว คนไข้และญาติคนไข้เกือบจะร้อยทั้งร้อยก็ย่อมกลัวตาย และยอมเป็นคนไข้ใน
โรงพยาบาล
- กรณีที่สาม ที่พบได้ไม่น้อย คือ การผ่าตัดที่ไม่จำเป็น เช่น กรณีคนไข้ปวดท้องแล้วถูกวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ
ซึ่งต้องรักษาโดยการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการวินิจฉัยผิดโดยสุจริต แต่มีส่วนหนึ่งที่จงใจวินิจฉัยผิด
ปัจจุบันค่าผ่าตัดไส้ติ่งในโรงพยาบาลเอกชนราคาหลักแสน ยังไม่คิดค่าโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นอีกจิปาถะ
โดยไม่พูดถึงความเสี่ยงจากการผ่าตัด การให้ยาระงับความรู้สึก และค่าใช้จ่ายที่เสียไปโดยไม่สมควร...
- กรณีที่สี่ นอกจากการผ่าตัดที่ไม่จำเป็นและไม่สมควรแล้ว ยังมีการสั่งตรวจและรักษาที่ไม่จำเป็นอื่นๆ อีกมากมาย
คนไข้สูงอายุจำนวนมาก ที่หมดสติหรืออาจเสียชีวิตแล้ว ญาตินำส่งโรงพยาบาล หากเข้าโรงพยาบาลเอกชน
จะมีการนำเข้าห้องไอซียู (ICU หรือ Intensive Care Unit) ใส่เครื่องช่วยพยุงชีพมากมาย ด้วยความหวังที่จะกู้ชีพ
ให้ฟื้นคืนมา คนไข้เหล่านี้ส่วนหนึ่งสมควรช่วยเหลือเยียวยาเพื่อให้รอดหรือหาย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่สมองตายแล้ว
ไม่ควร “ยืดความตาย” แต่โรงพยาบาลเอกชนมีแรงจูงใจสูงที่จะสั่งการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืดการตาย เพราะจะเพิ่ม
รายได้และผลกำไรให้ได้มากมาย
คนไข้บางรายที่ “สิ้นหวัง” แล้ว จะต้องตายอย่างแน่นอน นอกจากการพยายามให้ความหวังและสั่งการตรวจรักษาไป
เรื่อยๆ แล้ว ในวาระสุดท้าย โรงพยาบาลเอกชนมักมี “ประเพณีปฏิบัติ” ที่จะเชิญแพทย์ที่ปรึกษาหลายๆ แขนงมา
ตรวจเพื่อ “ช่วยคนไข้” โดยอ้างเหตุผลว่าเผื่อจะมีความหวังบ้าง ซึ่งในอีกแง่หนึ่งคือ การมาช่วยกัน “รีด” เอาจาก
คนไข้และญาติอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะ “ปล่อย” ให้หลุดมือไป...
...โดยสรุปแล้ว ค่ารักษาพยาบาลที่แพงหรือแพงมหาโหดในโรงพยาบาลเอกชน เกิดจากทั้งเหตุที่สมควรและ
ไม่สมควร
- เหตุที่ไม่สมควรที่เป็นเหตุใหญ่ เกิดจากการสั่งตรวจรักษา ผ่าตัด และใช้ยาที่เกินจำเป็นและไม่สมควร
การคิดกำไรค่ายาแต่ละรายการแพงมาก กลายเป็นเหตุเล็กๆ เท่านั้น ค่ายาที่แพงส่วนใหญ่เกิดจากการสั่งใช้ยา
มากขนานเกินความจำเป็น และสั่งยาที่มีราคาแพงเพื่อทำกำไรให้มาก ถ้าสั่งใช้ยาเท่าที่จำเป็นและสมควร
โดยไม่มุ่งสั่งใช้ยา ราคาแพง จะลดราคาลงได้มาก แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นได้เองในโรงพยาบาลเอกชน...
ปัญหาโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาแพงเป็นปัญหาเชิงระบบ ต้องแก้เชิงระบบ จะคิดแก้อย่างง่ายๆหรืออย่าง
“มักง่าย” ไม่ได้
ประเทศไทยทั้งโชคดี และโชคร้าย
โชคร้ายคือ เราปล่อยให้โรงพยาบาลเอกชนเข้าตลาดหุ้น ขณะที่ระบบควบคุมไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่ทำงาน
ระบบควบคุม ได้แก่ 1) แพทยสภา ซึ่งคุมบุคลากรวิชาชีพที่เป็น “ต้นเหตุปัญหา” ที่สำคัญคือแพทย์ นอกจาก
“ไม่ทำงาน” แล้วยังมีผลประโยชน์ทับซ้อน 2) กลไกในกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะหน่วยที่ดูแลสถานพยาบาล
นอกจากไร้ประสิทธิภาพแล้วยังฉ้อฉล (Corrupt) 3) องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค และกลไกควบคุมราคาในกระทรวง
พาณิชย์ไม่มี หรือ ขาดความรู้ ขาดพลัง และขาดประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันกลไกภาคประชาชนก็อ่อนแอด้วย
โชคดี คือ ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพ (Health Security) คือ สปสช.และระบบประกันสุขภาพ
(Health insurance) คือ ประกันสังคม ที่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เพราะใช้ระบบ “เหมาจ่ายรายหัว” (Capitation)
ซึ่งไม่จูงใจให้โรงพยาบาลต่างๆ “ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย”
สำหรับปัญหาโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาแพง จะต้องแก้เชิงระบบใน 3 เรื่อง ได้แก่
1) การพัฒนาหรือปฏิรูประบบบริการโรงพยาบาลรัฐ ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะปัจจุบัน
โรงพยาบาลของรัฐยังเป็นผู้ให้บริการส่วนใหญ่ของระบบ สปสช. คือกว่าร้อยละ 90 และเกือบร้อยละ 50 ของ
ระบบประกันสังคม
2) จะต้องควบคุมการบริการและการคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโรงพยาบาลเอกชนให้ได้ผล
และ 3) จะต้องสร้างความเข้มแข็งภาคประชาชนให้รู้จักใช้สิทธิ์อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้เป็นพลเมือง
ที่เข้มแข็งในการมีส่วนร่วมในการปฏิรูประบบบริการและคุ้มครองสิทธิของตนเอง
ต่อไปเป็นประเด็นเรื่องการควบคุมการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล โดยเฉพาะของเอกชน
กรณีตัวอย่างจากญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะญี่ปุ่นใช้ระบบการเบิกจ่ายแบบ “จ่ายตามการให้บริการ”
(Fee-For-Service) ทั้งประเทศ
ญี่ปุ่นมีกลไกตรวจสอบรวม 3 ระบบ ได้แก่
1) การกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาล ซึ่งประกอบด้วยระบบย่อย 2 ระบบ ได้แก่
1.1) การคิดค่าใช้จ่ายตามการวินิจฉัยโรคร่วม (Diagnosis-Related Group หรือ DRG)
1.2) การกำหนดรายการยา บริการทางเภสัชกรรม ทันตกรรม ค่าผ่าตัด ค่าการให้ยาระงับความรู้สึก
ค่าตรวจวินิจฉัย ฯลฯ ที่ให้เบิกจายได้
2) ระบบการตรวจสอบรายการเบิกจ่าย
และ 3) ระบบการตรวจสอบมาตรฐานบริการ
ระบบบริการของเอกชนบ้านเราเป็นระบบ “จ่ายตามการให้บริการ” เหมือนกัน ซึ่งมักมีลักษณะเป็นการเรียกเก็บ
“ตามใจชอบ”ด้วย...
กลไกการตรวจสอบนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และอำนาจรัฐ ไม่สามารถปล่อยให้ประชาชนปกป้อง
ตนเองตามยถากรรมได้ แต่รัฐบาลไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ยังทำหน้าที่นี้น้อยมาก ในส่วนขององค์กรวิชาชีพ โดยเฉพาะ แพทยสภา
นอกจากแทบไม่ได้ทำหน้าที่เชิงรุกเลย ยังมีบทบาทและท่าที่ไม่เอื้อต่อการควบคุมตรวจสอบด้วย
สุดท้ายก็คือ การสร้างความเข้มแข็งภาคประชาชน....
* ป.ล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน