ไอ้บัง..
ราสส์ กิโลหก
“พี่ๆๆ”
ไอ้เหยิน คนงานรังวัด เอ่ยปากขึ้นพูด ที่หน้าโต๊ะทำงาน.ของผม
“มีอะไร”
ผมยังก้มหน้า จัดเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในวันนี้ เพราะเป็นวันนัดรังวัดตามหมายกำหนดการ กับเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง ตำแหน่งที่ดิน อยู่ต่างอำเภอ ห่างไกลจนสุดเขตจังหวัด เป็นพื้นที่ห่างไกลจากความเจริญ ชาวบ้านแถบนี้จะทำไร่ข้าวโพด หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วมันดูแห้งแล้ง ไม่มีความร่มเย็นให้สัมผัส..เวลาทำงาน แดดจะส่องจนตัวแทบสุกเพราะพวกเราต้องทำงานกันกลางแดด ไม่เหมือนเป็นที่ทำนา ที่ยังคงมีโคกดิน มีต้นไม้ใหญ่ได้อาศัยร่มเงาได้บ้าง.
“ เช้านี้ ไอ้ เบี้ยว มันเมาค้าง พี่ เรียกยังไงก็ไม่ตื่น”ไอ้เหยิน แจ้งข่าว
“ เอาน้ำราด เอาตีน เขี่ยมันก็ไม่ตื่น ” ไอ้เหวงคนงานอีกคนเสริม
ในการรังวัดที่ดิน ต้องใช้คนงานรังวัด 3 คน ซึ่งส่วนมากพวกช่างจะมีลูกน้องเป็นขาประจำอยู่แล้ว หากขาดไป การทำงานจะไม่สะดวก ที่สำคัญ ไอ้ 2 คนที่อยู่มันต้องทำงานหนักขึ้น พวกมันฉลาดพอที่จะไม่ยอมให้คนงานขาดแน่ๆๆ...
“แต่ลูกพี่ ไม่ต้องห่วง ผมหามาแทนให้แล้ว” ไอ้เหยินรีบบอก
“ ใคร วะ” ผมพูด
“ไอ้ บัง เด็กก่อสร้างข้างบ้านเมียผม”
“อ้าว แล้ว กับเมียไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันหรือไง” สงสัยว่าทำไมต้องบอกว่าข้างบ้านเมีย..
“โธ่ ลูกพี่ ” ไอ้เหยินเกาหัวแก้เขิน..
“มันทำงานได้หรือเปล่า ก่อสร้างกับรังวัดมันไม่เหมือนกัน เอ็งก็รู้”
“รับรองพี่ เดี๋ยวผมสอนมันเอง เรื่องความอดทน ไม่ต้องห่วง มันขาลุย ลุยแหลก ทั้งดิน ทั้งน้ำ” มันโม้..
สรุปว่า ตกลงเอาไอ้บังไปด้วย .มันไม่ได้ขึ้นมาบนที่ทำงานแต่ยืนรออยู่ที่ท้ายรถกระบะคู่ชีพของผม ที่จอดแอบอยู่ที่ข้างสำนักงาน.
พอเห็นหน้า ผมตกใจนิดหน่อย อ้ายบังรูปร่างผอมเกร็ง เหมือนคนขาดสารอาหาร ตัวดำเป็นแขกขายถั่ว
“เฮ้ย ผอมๆแบบนี้ จะไหว หรือเปล่า ”
ไอ้ บังไม่พูดอะไร ยิ้ม จนเห็นไรฟัน พร้อมยกมือขึ้นไหว้....
เราใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของที่ดินรออยู่ที่ นั่น เราจะนัดเจอกันที่วัด จากนั้นเจ้าของที่ดินจะนำทางไปยังที่ดินของตน ..ซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่กิโล เขาใช้จักรยานเป็นพาหนะ ผมขับตามหลังไป ทางที่เข้าไปเป็นทางเข้าไร่ กว้างพอรถเข้าไปได้ เป็นดินล้วนๆ ทำให้รถใช้ความเร็วได้ไม่มาก..เศษดินเศษใบไม้แห้งปลิวว่อน ขณะที่ล้อรถบดไปโดน.....
ขอคั่นจังหวะนิด ที่เล่ามาในบทความนี้ เป็น ช่วงปี พ..ศ. 2520 นะครับ..จะได้จินตนาการได้อรรถรสมากขึ้น..
สภาพพื้นดินเป็นที่ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว พื้นที่จะไม่เรียบ เดินลำบากมาก เพราะเนื้อดินก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้าง ถ้าเป็นหน้าฝนไม่มีทางรังวัดได้ ถ้าเจอก็จะงดรังวัด และต้องยื่นทำเรื่องนัดกันใหม่ ตามภาษาที่เรียกกันในหน่วยงานคือ นัดใหม่เป็น “แล้งหน้า” คำนี้เจ้าของที่ดินไม่อยากได้ยิน เพราะสมัยนั้นกว่าจะได้คิวรังวัด ระยะเวลานานมากที่เดียวเกือบครึ่งปี
ที่ไร่กับบ้านพัก มักไม่รวมอยู่ด้วยกัน คือที่บ้านจะแยกไปอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ตอนเช้าไปเข้าไร่ ทำไร่ เย็นก็เดินกลับบ้านกัน ถึงบ้านอาบน้ำอาบท่า นั่งเป่าขลุ่ย นั่งกินข้าวปลา เหล้าขาวเหล้าต้ม ก็เป็นยาชูกำลัง สุมไฟไล่ยุงให้วัวควาย ก่อกองไฟเล็กๆ..มีความสุขตามอัตภาพ..
พวกเราเริ่มทำงานกัน เพราะสายแล้ว แดดก็ร้อน ที่ดินผืนนี้มีเนื้อที่ ประมาณ 20 ไร่ ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ การทำงานสะดวกพอสมควรเพราะเป็นที่ไร่ ไม่มีสิ่งกีดขวางให้ลำบาก ไม่เหมือนที่สวน ถางกันเหนื่อย และยุ่งยากเพราะรกทึบไปด้วยต้นไม้ มีดีคือที่สวนร่มเย็นแดดไม่ร้อน บางครั้งเจองู ได้วิ่งกับป่าราบก็บ่อย..
พวกเราทำงานจนถึงเที่ยง จึงพากันมาที่ริมไร่ มีกระท่อมเล็กๆซึ่งเจ้าของไร่สร้างเอาไว้กันแดดกันฝนยามออกมาทำไร่ มาที่กระท่อมก็เพื่อรออาหารกลางวัน ไม่นานเมียเจ้าของที่ดิน หาบเอาหม้อข้าว และกับข้าวเดินจากที่บ้าน เอามาส่งให้กิน พอวางหาบ ไม่ต้องบอกสิ่งที่ต้องการตอนนี้คือน้ำ เขารีบเอาน้ำที่ใส่กระบอกมาแจกให้กินกัน น้ำฝนที่เย็นฉ่ำ จากโอ่งซีเมนต์ เป็นน้ำฝนค้างปี ดับความกระหายเรียกความชุ่มชื้นแข็งแรงกลับคืนมา
หม้อข้าว หม้อแกง เอามาวางบนแคร่ไม้ไผ่ ความจริงไม่มีแกงมีแต่ อาหารแห้งเพื่อสะดวกแก่การกิน..
ไม่ต้องบอกผมคว้าจาน คดข้าวสวยที่ยังร้อนอยู่ ใส่จานจนพอใจ เปิดหม้อกับข้าวเป็นลาบหมู ตักราดๆมีของเคียงเป็นถั่วฝักยาว และแตงกวา ของสดๆทั้งนั้น นึกแปลกใจว่าเหมือนกันว่าเป็นอาหารทำจากหมู ซึ่งโดยส่วนมากจะหนักไปทางไก่ หรือปลา หรือก็พวกไข่ทอด และน้ำพริกตำเองสดๆๆการทำอาหารหมูแสดงถึงฐานะเจ้าของที่ดิน ว่ามีฐานะพอสมควร..
ตักอาหารเสร็จผมไม่รอใคร เดินลิ่วไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเห็นอยู่ต้นเดียวในแถบนั้น ขึ้นอยู่ห่างออกไปสัก 2-3 เส้น(ประมาณ 100 เมตร) หาที่เหมาะโคนต้น แดดข้างนอกเปรี้ยงๆแต่พอได้ร่มไม้ เหมือนได้แอร์ธรรมชาติ โซ๊ย อาหารกลางวันด้วยความหิว ขอบอกอีกนิด ในการกินข้าวที่ชาวบ้านจัดมาให้ เขาจะไม่มานั่งกินหรือมายุ่งกับเราไม่ใช่เป็นการแบ่งชั้นวรรณะอะไร น่าจะเป็นมารยาทของเขาเอง จนเราอิ่ม เขาถึงจะเริ่มกินกัน
เจ้าของที่ดินหาคนมาช่วยขุดช่วยแบกหลักเขตด้วย 3 คนพวกเขานั่งรวมกันเป็นกลุ่มอยู่อีกมุมหนึ่ง เอายาเส้นมามวนจุดสูบ เป่าควันโขมง คุยกันด้วยภาษาพื้นเมือง....(เป็นภาษายวน เสียงโต๊ยๆๆๆ)
พอกินอิ่ม หนังท้องตึง หนังตาก็หนัก ผมเอนตัว นอนกับพื้น ลมเย็นๆพัดผ่านต้นไม้ แม้ด้านนอกแดดแดงแจ๋ งีบไปได้พักหนึ่ง แต่ไม่นานเพราะงานยังไม่เสร็จ..งีบไปสัก 40 นาทีดูนาฬิกาที่ข้อมือ เกือบ บ่ายโมง ค่อยๆลุกขึ้น บิดตัวไล่ความเมื่อยขบ เสียงกระดูกขบกันดัง กรอบๆๆ
เดินไปที่กระท่อม ก่อนเอาจานไปคืนที่หาบ เขี่ยเศษอาหารที่ตกค้างในจานข้าว เหวี่ยงไปตามพื้นดินเพื่อให้นกหนูเก็บกิน พวกเจ้าของที่ดินเห็นผมเดินมา เขารู้ว่าจะเริ่มทำงานกันต่อ ต่างขยับตัว หยิบมีดหยิบเสียมเตรียมออกทำงานกัน
หันไปมองลูกน้อง ไอ้ สองตัวยังนอน เพลินอยู่ มีแต่ ไอ้บังนั่ง อยู่ข้างๆ..
“อ้าว เจ้านายลุกได้แล้ว กินของเขาแล้ว อย่าเนรคุณ”ผมพูดแหย่พวกมัน..
ช่วงบ่ายอากาศยิ่งร้อนมากกว่าช่วงเช้า รีบทำงานกัน ที่ขาดไม่ได้คือน้ำ ขาดอะไรได้ ขาดน้ำนี่หมดแรงเอาง่ายๆ พวกเจ้าของที่ดิน 1 คนรู้งานเขาหาบเอาน้ำตามมาด้วย..
เดินรังวัดที่ดินอย่างไม่หยุดหย่อน จนเสร็จสิ้น เมื่อใกล้ สี่โมงเย็น..
ผมรีบเดินกลับออกมาก่อน เพื่อให้เจ้าของที่ดิน เซ็นชื่อในเอกสารของทางราชการ..และเตรียมตัวเดินทางกลับ
เซ็นชื่อเสร็จแล้ว กำลังเก็บแฟ้ม เสียงเอะ อะ โวยวาย อยู่กลางทุ่ง ..
“ไอ้บังๆๆๆพี่ ไอ้ บัง....”เสียงไอ้เหยินตะโกน เสียงดังลั่นทุ่ง..
ผมมองไป ตกใจ..
เขากำลังหามไอ้บังกันมา ..พอมาถึง..
“ไอ้บังเป็นอะไร” ผมถาม
“มันเป็นลมพี่”..
“ไหน เอ็งบอกว่า มันแข็งแรง ไง “
“แข็งแรงยังไงละพี่ มันไม่ได้กินข้าว สักเม็ด”
ไต่สวนทวนความ ปรากฏว่า
“ กับข้าวมีแต่หมู มันเลยไม่กินข้าว”
ไอ้เหยินพูดเสียงอ่อยๆ
และผมรู้มาอีกว่าตอนเช้าไอ้บังก็ไม่ได้กินข้าว เพราะรีบร้อนมาแทน ไอ้เบี้ยวที่เมาค้าง จนไม่ตื่น....
ไอ้ บัง..
ราสส์ กิโลหก
“พี่ๆๆ”
ไอ้เหยิน คนงานรังวัด เอ่ยปากขึ้นพูด ที่หน้าโต๊ะทำงาน.ของผม
“มีอะไร”
ผมยังก้มหน้า จัดเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในวันนี้ เพราะเป็นวันนัดรังวัดตามหมายกำหนดการ กับเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง ตำแหน่งที่ดิน อยู่ต่างอำเภอ ห่างไกลจนสุดเขตจังหวัด เป็นพื้นที่ห่างไกลจากความเจริญ ชาวบ้านแถบนี้จะทำไร่ข้าวโพด หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วมันดูแห้งแล้ง ไม่มีความร่มเย็นให้สัมผัส..เวลาทำงาน แดดจะส่องจนตัวแทบสุกเพราะพวกเราต้องทำงานกันกลางแดด ไม่เหมือนเป็นที่ทำนา ที่ยังคงมีโคกดิน มีต้นไม้ใหญ่ได้อาศัยร่มเงาได้บ้าง.
“ เช้านี้ ไอ้ เบี้ยว มันเมาค้าง พี่ เรียกยังไงก็ไม่ตื่น”ไอ้เหยิน แจ้งข่าว
“ เอาน้ำราด เอาตีน เขี่ยมันก็ไม่ตื่น ” ไอ้เหวงคนงานอีกคนเสริม
ในการรังวัดที่ดิน ต้องใช้คนงานรังวัด 3 คน ซึ่งส่วนมากพวกช่างจะมีลูกน้องเป็นขาประจำอยู่แล้ว หากขาดไป การทำงานจะไม่สะดวก ที่สำคัญ ไอ้ 2 คนที่อยู่มันต้องทำงานหนักขึ้น พวกมันฉลาดพอที่จะไม่ยอมให้คนงานขาดแน่ๆๆ...
“แต่ลูกพี่ ไม่ต้องห่วง ผมหามาแทนให้แล้ว” ไอ้เหยินรีบบอก
“ ใคร วะ” ผมพูด
“ไอ้ บัง เด็กก่อสร้างข้างบ้านเมียผม”
“อ้าว แล้ว กับเมียไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันหรือไง” สงสัยว่าทำไมต้องบอกว่าข้างบ้านเมีย..
“โธ่ ลูกพี่ ” ไอ้เหยินเกาหัวแก้เขิน..
“มันทำงานได้หรือเปล่า ก่อสร้างกับรังวัดมันไม่เหมือนกัน เอ็งก็รู้”
“รับรองพี่ เดี๋ยวผมสอนมันเอง เรื่องความอดทน ไม่ต้องห่วง มันขาลุย ลุยแหลก ทั้งดิน ทั้งน้ำ” มันโม้..
สรุปว่า ตกลงเอาไอ้บังไปด้วย .มันไม่ได้ขึ้นมาบนที่ทำงานแต่ยืนรออยู่ที่ท้ายรถกระบะคู่ชีพของผม ที่จอดแอบอยู่ที่ข้างสำนักงาน.
พอเห็นหน้า ผมตกใจนิดหน่อย อ้ายบังรูปร่างผอมเกร็ง เหมือนคนขาดสารอาหาร ตัวดำเป็นแขกขายถั่ว
“เฮ้ย ผอมๆแบบนี้ จะไหว หรือเปล่า ”
ไอ้ บังไม่พูดอะไร ยิ้ม จนเห็นไรฟัน พร้อมยกมือขึ้นไหว้....
เราใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของที่ดินรออยู่ที่ นั่น เราจะนัดเจอกันที่วัด จากนั้นเจ้าของที่ดินจะนำทางไปยังที่ดินของตน ..ซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่กิโล เขาใช้จักรยานเป็นพาหนะ ผมขับตามหลังไป ทางที่เข้าไปเป็นทางเข้าไร่ กว้างพอรถเข้าไปได้ เป็นดินล้วนๆ ทำให้รถใช้ความเร็วได้ไม่มาก..เศษดินเศษใบไม้แห้งปลิวว่อน ขณะที่ล้อรถบดไปโดน.....
ขอคั่นจังหวะนิด ที่เล่ามาในบทความนี้ เป็น ช่วงปี พ..ศ. 2520 นะครับ..จะได้จินตนาการได้อรรถรสมากขึ้น..
สภาพพื้นดินเป็นที่ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว พื้นที่จะไม่เรียบ เดินลำบากมาก เพราะเนื้อดินก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้าง ถ้าเป็นหน้าฝนไม่มีทางรังวัดได้ ถ้าเจอก็จะงดรังวัด และต้องยื่นทำเรื่องนัดกันใหม่ ตามภาษาที่เรียกกันในหน่วยงานคือ นัดใหม่เป็น “แล้งหน้า” คำนี้เจ้าของที่ดินไม่อยากได้ยิน เพราะสมัยนั้นกว่าจะได้คิวรังวัด ระยะเวลานานมากที่เดียวเกือบครึ่งปี
ที่ไร่กับบ้านพัก มักไม่รวมอยู่ด้วยกัน คือที่บ้านจะแยกไปอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ตอนเช้าไปเข้าไร่ ทำไร่ เย็นก็เดินกลับบ้านกัน ถึงบ้านอาบน้ำอาบท่า นั่งเป่าขลุ่ย นั่งกินข้าวปลา เหล้าขาวเหล้าต้ม ก็เป็นยาชูกำลัง สุมไฟไล่ยุงให้วัวควาย ก่อกองไฟเล็กๆ..มีความสุขตามอัตภาพ..
พวกเราเริ่มทำงานกัน เพราะสายแล้ว แดดก็ร้อน ที่ดินผืนนี้มีเนื้อที่ ประมาณ 20 ไร่ ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ การทำงานสะดวกพอสมควรเพราะเป็นที่ไร่ ไม่มีสิ่งกีดขวางให้ลำบาก ไม่เหมือนที่สวน ถางกันเหนื่อย และยุ่งยากเพราะรกทึบไปด้วยต้นไม้ มีดีคือที่สวนร่มเย็นแดดไม่ร้อน บางครั้งเจองู ได้วิ่งกับป่าราบก็บ่อย..
พวกเราทำงานจนถึงเที่ยง จึงพากันมาที่ริมไร่ มีกระท่อมเล็กๆซึ่งเจ้าของไร่สร้างเอาไว้กันแดดกันฝนยามออกมาทำไร่ มาที่กระท่อมก็เพื่อรออาหารกลางวัน ไม่นานเมียเจ้าของที่ดิน หาบเอาหม้อข้าว และกับข้าวเดินจากที่บ้าน เอามาส่งให้กิน พอวางหาบ ไม่ต้องบอกสิ่งที่ต้องการตอนนี้คือน้ำ เขารีบเอาน้ำที่ใส่กระบอกมาแจกให้กินกัน น้ำฝนที่เย็นฉ่ำ จากโอ่งซีเมนต์ เป็นน้ำฝนค้างปี ดับความกระหายเรียกความชุ่มชื้นแข็งแรงกลับคืนมา
หม้อข้าว หม้อแกง เอามาวางบนแคร่ไม้ไผ่ ความจริงไม่มีแกงมีแต่ อาหารแห้งเพื่อสะดวกแก่การกิน..
ไม่ต้องบอกผมคว้าจาน คดข้าวสวยที่ยังร้อนอยู่ ใส่จานจนพอใจ เปิดหม้อกับข้าวเป็นลาบหมู ตักราดๆมีของเคียงเป็นถั่วฝักยาว และแตงกวา ของสดๆทั้งนั้น นึกแปลกใจว่าเหมือนกันว่าเป็นอาหารทำจากหมู ซึ่งโดยส่วนมากจะหนักไปทางไก่ หรือปลา หรือก็พวกไข่ทอด และน้ำพริกตำเองสดๆๆการทำอาหารหมูแสดงถึงฐานะเจ้าของที่ดิน ว่ามีฐานะพอสมควร..
ตักอาหารเสร็จผมไม่รอใคร เดินลิ่วไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเห็นอยู่ต้นเดียวในแถบนั้น ขึ้นอยู่ห่างออกไปสัก 2-3 เส้น(ประมาณ 100 เมตร) หาที่เหมาะโคนต้น แดดข้างนอกเปรี้ยงๆแต่พอได้ร่มไม้ เหมือนได้แอร์ธรรมชาติ โซ๊ย อาหารกลางวันด้วยความหิว ขอบอกอีกนิด ในการกินข้าวที่ชาวบ้านจัดมาให้ เขาจะไม่มานั่งกินหรือมายุ่งกับเราไม่ใช่เป็นการแบ่งชั้นวรรณะอะไร น่าจะเป็นมารยาทของเขาเอง จนเราอิ่ม เขาถึงจะเริ่มกินกัน
เจ้าของที่ดินหาคนมาช่วยขุดช่วยแบกหลักเขตด้วย 3 คนพวกเขานั่งรวมกันเป็นกลุ่มอยู่อีกมุมหนึ่ง เอายาเส้นมามวนจุดสูบ เป่าควันโขมง คุยกันด้วยภาษาพื้นเมือง....(เป็นภาษายวน เสียงโต๊ยๆๆๆ)
พอกินอิ่ม หนังท้องตึง หนังตาก็หนัก ผมเอนตัว นอนกับพื้น ลมเย็นๆพัดผ่านต้นไม้ แม้ด้านนอกแดดแดงแจ๋ งีบไปได้พักหนึ่ง แต่ไม่นานเพราะงานยังไม่เสร็จ..งีบไปสัก 40 นาทีดูนาฬิกาที่ข้อมือ เกือบ บ่ายโมง ค่อยๆลุกขึ้น บิดตัวไล่ความเมื่อยขบ เสียงกระดูกขบกันดัง กรอบๆๆ
เดินไปที่กระท่อม ก่อนเอาจานไปคืนที่หาบ เขี่ยเศษอาหารที่ตกค้างในจานข้าว เหวี่ยงไปตามพื้นดินเพื่อให้นกหนูเก็บกิน พวกเจ้าของที่ดินเห็นผมเดินมา เขารู้ว่าจะเริ่มทำงานกันต่อ ต่างขยับตัว หยิบมีดหยิบเสียมเตรียมออกทำงานกัน
หันไปมองลูกน้อง ไอ้ สองตัวยังนอน เพลินอยู่ มีแต่ ไอ้บังนั่ง อยู่ข้างๆ..
“อ้าว เจ้านายลุกได้แล้ว กินของเขาแล้ว อย่าเนรคุณ”ผมพูดแหย่พวกมัน..
ช่วงบ่ายอากาศยิ่งร้อนมากกว่าช่วงเช้า รีบทำงานกัน ที่ขาดไม่ได้คือน้ำ ขาดอะไรได้ ขาดน้ำนี่หมดแรงเอาง่ายๆ พวกเจ้าของที่ดิน 1 คนรู้งานเขาหาบเอาน้ำตามมาด้วย..
เดินรังวัดที่ดินอย่างไม่หยุดหย่อน จนเสร็จสิ้น เมื่อใกล้ สี่โมงเย็น..
ผมรีบเดินกลับออกมาก่อน เพื่อให้เจ้าของที่ดิน เซ็นชื่อในเอกสารของทางราชการ..และเตรียมตัวเดินทางกลับ
เซ็นชื่อเสร็จแล้ว กำลังเก็บแฟ้ม เสียงเอะ อะ โวยวาย อยู่กลางทุ่ง ..
“ไอ้บังๆๆๆพี่ ไอ้ บัง....”เสียงไอ้เหยินตะโกน เสียงดังลั่นทุ่ง..
ผมมองไป ตกใจ..
เขากำลังหามไอ้บังกันมา ..พอมาถึง..
“ไอ้บังเป็นอะไร” ผมถาม
“มันเป็นลมพี่”..
“ไหน เอ็งบอกว่า มันแข็งแรง ไง “
“แข็งแรงยังไงละพี่ มันไม่ได้กินข้าว สักเม็ด”
ไต่สวนทวนความ ปรากฏว่า
“ กับข้าวมีแต่หมู มันเลยไม่กินข้าว”
ไอ้เหยินพูดเสียงอ่อยๆ
และผมรู้มาอีกว่าตอนเช้าไอ้บังก็ไม่ได้กินข้าว เพราะรีบร้อนมาแทน ไอ้เบี้ยวที่เมาค้าง จนไม่ตื่น....