ยกเลิกวัฒนธรรม "ตอกบัตร" ยกเลิกมลพิษ
ปัญหาเร่งด่วนในวันนี้ที่เราควรคิดแล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง คือ ฝุ่น มันเป็นมลภาวะ ที่อาจทำให้ป่วจและตายได้ในคนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง และเพราะเป็นฝุ่นขนาดเล็กมากมันจึงกระจายตัวเป็นวงกว้างหลายจังหวัดอย่างรวดเร็ว และยากต่อการจัดการ
เคยมีทฤษฎีหนึ่งในหนังสือ "อ่านทะลุความคิดด้วยจิตวิทยาแห่งการโกง" ของDan Ariely ส่าด้วยพฤติกรรมการโกงเงินขอฝสำนักงานแห่งหนึ่ง ที่มีเงินจำนวนหลายอสนดอลล่าห์หายไป แต่เมื่อจับคนร้ายได้แล้วกลับพบว่ามึเงินที่เขาเอาไปเพียงไม่กี่ร้อยดอลล่าห์เท่านั้น แต่ความเป็นจริงในการโกงที่แท้นั้นเกิดจาก การที่คนทุกคนหรือหลายคนร่วมกันโกงคนละนิดละหน่อยจากคนที่คุณไม่คิดว่าเขาจะทำได้ คนที่เรามองว่าใสซื่อมือสะอาด คนที่เรามองว่าเป็นคนดี คนเหล่านี้ต่างหาที่เป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ลักเล็กขโมยน้อยคนละนิดละหน่อย แต่เมื่อโกงกันหลายคนจำนวนมันก็ทวีคูณตามจำนวนบุคคล
โดยจากทฤษฎีดังกล่าวนั้น เมื่อเรามองปัญหาฝุ่นพิษในบ้านเรา ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าปัญหาที่แท้นั้นเกิดจากใคร มันก็ง่ายๆ คือเกิดจากคนที่ใช้รถ จากโรงงาน จากแม่ค้าขายหมูปิ้ง จากคนที่ทุกคนที่มาร่วมกันอยู่ในพื้นที่เพื่อทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว แล้วจะทำยังไงในเมื่อต้องทำงาน ไม่ทพวานตะเอาเงินที่ไหนใน(รัฐ)ใช้ล่ะ
การจะแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งนั้นสิ่งแรกที่เราจำเป็นจะต้องทำคือ การยอมรับว่ามีปัญหานั้น ซึ่งผมขอตำหนิรัฐบาลคสช.ตรงๆ เลยนะ กับพฤติกรรม "กูไม่ผิด กูผิดไม่เป็น" ที่ทำมาตลอดหลายปีแล้วยังยึดอำนาจเข้ามาทำงานตรงนี้ ไม่ว่าจะอ้างว่ารักประเทศแค่ไหนแต่มันก็คนละเรื่องกับความสามารถกับวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา ทำไม่เป็นทำไม่ได้ก็ควรยอมรับว่า ทำไม่ได้ นี่ต่างหากการเป็นผู้ใหญ่ที่ดี อย่าให้ต้องด่าเยอะ ฝุ่น2.5 ติดคอ จนจะไอเป็นเลือดอยู่แล้ว
และที่มันแย่ไปกว่านั้นคือ กว่าคุณจะยอมรับว่ามีปัญหานี้ ต้องให้มีคนตายก่อนหรอ เพราะแค่จะยอมรับเรื่องเดียว มันก็ใช้เวลากว่าสองอาทิตย์แล้วที่ประชาชนต้องป้องกันตัวเอง รัฐทำได้แค่ตอบในเรื่องเดิมว่า ' ไม่พบ ' ปัญหานี้มันรอไม่ได้ เราควรมีมาตรการเร่งด่วนให้คนเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันก่อน นี่คือสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกในการช่วยเหลือประชาชน แต่สิ่งที่ประชาชนได้รับในสองอาทิตย์นี้คืออะไร 'ไม่พบ'ปัญหา
ทีนี้มาที่การแก้ปัญหาเลย ย่นมาเยอะ แต่มันขึ้นจริงๆ เราลองมองการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพจริงๆ เลยนะ ตื่นเช้าเข้าออฟฟิศ ด้วยขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้า รถยนต์ส่วนตัวเพื่อไปตอกบัตร และแสกนหน้าหรือลายนิ้วมือก็คือการตอกบัตรแบบหนึ่งนะ ในกรณีที่ทำงาน 8.30น. เราต้องตื่นไปทำงานกี่โมง 6.30น. นี่คือ สายสุดในชีวิตการเป็นพนักงานออฟฟิศของผม เร็วสุดคือ 5.30น. นั่นคือเราต้องเสียเวลาในการไปทำงานทุกเช้า 1-3ชม. ในการไปทำงาน เพื่อ'ตอกบัตร' และขากลับ ในเวลาเท่ากันหรือมากกว่านี้ ถ้าฝนตกก็หนักกว่าเดิม เพราะคนบาวคนเช้าข้ามเมืองจากตะวันตกไปออก ตกเย็นก็ข้ามกลับมา แล้วเป็นแบบนี้กันทุกคน
ถ้าลองคิดถึงการใช้ชีวิตแบบนี้ คุณก็อยากจะมีรถยนต์ส่วนตัวแน่นอน เพราะไม่อยากไปเบียดบนBTS ที่ราคาตกเดือนละพันกว่าบาทแพงแต่ก็เลทประจำ บวกค่ามอไซด์วินอีก 15-30บาท หรือถ้า

มีเหตุ ฝนตก อุบัติเหตุ วันนั้นคือพังไปเลย เพราะ 'ตอกบัตร'ไม่ทัน ซึ่งในคนที่มีรถยนต์ส่วนตัวใช่ว่าจะไม่มีปัญหานี้ มันมีอยู่แล้ว ใช่ว่ามีรถแล้วจะสบาย ยังไงก็ใช้ถนนร่วมกันจะบายพาสเพิ่มตรงไหนก็ไม่พอหรอก เพราะเราก็ซื้อกันคนละคัน ในกรุงเทพเลยมีรถยนต์เป็นล้านคัน เพื่อให้ทุกคนทำอย่างเดียวได้ทัน คือ 'ตอกบัตร' มันถึงซื้อรถเพิ่มกันทุกปี
ดังนั้นการตอกบัตรเลยเป็นวัฒนธรรมป๊อบแบบไม่ต้องสงสัยในประเทศนี้ที่นำมาซึ่งปัญหารถติด มลพิษ สารพัด เพราะคนหนึ่งคนในหนึ่งวันแม้จะไม่ใช่ผู้สร้างมลพิษโดยตรง แต่คุณก็ต้อง ขึ้นรถ ลงเรือ ต่อมอไซด์วิน กินหมูปิ้ง ไม่อันใดก็อันหนึ่ง เพราะวัฒนธรรม 'ตอกบัตร' นี่เลยกลายเป็นปัญหาที่โคตรใหญ่ที่สุดที่ควบคุมไม่ได้ มลพิษมันก็บานปลาย
ทีนี้ก็มีเรื่องฝุ่นโรงงาน เผาพื้นที่การเกษตร ทำไมไม่แก้ไขล่ะ เอาจริงๆ พวกนี้ถ้าคิดดีๆ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของปัญหาและอาจไม่ใช่ปัญหาจริงของมลพิษ เพราะโรงงานก็มีค่ามาตรฐานที่ต้องผ่านให้ได้ พื้นที่การเกษตรเราก็ไม่ได้เผาทุกวัน แสดงว่าโรงงานและพื้นที่การเกษตร มันควบคุมได้
แต่รถที่เราวิ่งกันในกรุงเทพเราควบคุมกันได้สักแค่ไหนกันเชียวในเมื่อทุกคนก็พยายามเลี่ยงกันทุกคน แล้วรถเป็นล้านคัน จะมีใครไหมล่ะที่บอกว่า 'รถฉันทำให้เกิดมลพิษ ฉันไม่ใช้มันแระ' มันไม่มีหรอก เพราะทุกคนต้องทำงาน ต้อง 'ตอกบัตร' กันทั้งนั้นไม่งั้นจะมีเงินให้(รัฐ)ใช้หรอ แสดงว่าปัญหาการควบคุมตรงนี้ มันควบคุมได้ยากมาก ถึงมากที่สุด เพราะในกรุงเทพมีรถหลายประเภท หลายยี่ห้อ หลายสภาพ หลายอายุปี สารพัดจะนึกออกได้หมด การจะมาตรวจฝุ่นทีละคัน วันหนึ่งจะได้กี่คันกันเชียว ในเมื่อมีเป็นล้านคัน แต่ตรวจได้ทีละคัน
ทีนี้มาดูวิธีการแก้ไข ที่บอกว่า ยกเลิกวัฒนธรรมตอกบัตร มันทำได้หรอ ทำได้แน่นอน เพราะทุกวันนี้เอาจริงๆ เราทำงานผ่านเมลล ผ่านไลน์ ผ่านโทรศัพท์กันมากกว่า ทำงานแบบเห็นหน้ากันเสียอีก เราไป 'ตอกบัตร' ที่ออฟฟิศ ก็แค่ไปทำงานผ่านเมม ผ่านไลน์ ผ่านโทรศัพท์ออฟฟิศ แค่นั้นเอง ซึ่งมีหลายอาชีพแล้วที่ อาทิตย์หนึ่งประชุมทีหนึ่ง วันธรรมดาก็ไม่ได้เข้าออฟฟิศเลย แต่แค่ทำงานผ่านระบบอินเตอร์เนตนี้ ไม่ว่าจะร้านกาแฟ ร้านอาหาร เราทำกันแบบนี้ แล้วถ้าจะคุยกันแบบเห็นหน้า ก็วิดิโอคอลก็ทำได้แล้ว
ลองคิดว่าถ้าโมเดลการทำงานแบบที่ไหนก็ได้ มันคือ การทำงานที่บ้าน นั่นแสดงว่า คนหนึ่งคนจะออกจากระบบที่มีส่วนในมลพิษไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วทำงานได้เหมือนกัน สำคัญ คือ การไม่เสียเวลาชีวิตไปกับ การเดินทางและ ตอกบัตร ซึ่งใน1วันคือ 1-6 ชม. ต่อวัน สำหรับทุกคนที่ต้องเดินทาง ซึ่งนั่นมันก็มากพอจะมีค่าเกินมาตรฐานโรงงานแล้ว
ดังนั้นถ้าภาครัฐจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องแก้ด้วยเหตุของเหตุของเหตุ อีกที นั่นคือ แก้วัฒนธรรมตอกบัตร ให้เป็น วัฒนธรรมทำงานที่ไหนก็ได้ เพื่อลดการเดินทาง โดยอาจจะจัดประชุมภาคเอกชนที่จะให้พนักงานในบางตำแหน่งนั้นสามารถทำงานที่บ้านได้ และมีวันเข้าออฟฟิศอย่างชัดเจน ซึ่งมันทำได้ เพราะบางอาชีพก็ทำแล้วเช่น โปรแกรมเมอร์ และอาจจะทำได้มากขึ้นถ้ารัฐมีส่วนลดแลกแจกแถมในการยื่นภาษีเงินได้ สำหรับคนและบริษัทที่ไม่ก่อมลพิษ แล้วเอาเงินตรงนั้นไปพัฒนาระบบในการทำงานเพื่อให้คนออกจากบ้านน้อยลง หรือถ้าไปก็ไปใกล้ๆ ไม่ต้องข้ามเมืองเข้าออกให้เหนื่อย เผลอๆ เงินเดือนน้อยๆ บางตำแหน่งจะเป็นที่ต้องการเพราะ ทำที่บ้านได้ เอกชนก็ได้ประโยชน์ด้วย
ซึ่งถ้าลองคิดดีๆ การรณรงค์ให้ทำงานที่บ้านนั้น มีผลดีมากกว่าผลเสีย คนทำงานได้ทำงานตามเวลาจริง ไม่เสียเวลาชีวิตในการเดินทางอีกต่อไป ซึ่งมันมากถึง1-6 ชม. ต่อวัน เหนื่อยเดินทางสายตัวแทยขาด คนทำงานก็ไม่ต้องมาพะวงวันคู่วันคี่ ไม่ต้องคิดว่าในรถที่นั่งจะมีกี่คนมาด้วย ซึ่งมันจะตรวจได้แค่ไหนเชียว เพิามภาระให้ตร.จราจรอีก แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ผล ถ้าเลือกได้ วันนี้ใครจะอยากออกจากบ้าน และแม้ว่าถ้าไม่อยากอยู่บ้าน เราก็ไปร้านกาแฟใกล้บ้านเปลี่ยนบรรยากาศก็ได้
นี่คือ การแก้ปัญหาที่รัฐควรเริ่มทำตอนนี้ให้มันได้ผลในระยะยาว ถ้าทำได้ ปัญหารถติดจะลดลง มลพิษจะลดลง ปัญหาสุขภาพจะลดลง มีแต่ได้กับได้ win/win ทั้งรัฐทั้งเอกชน ทั้งคนและโลก
จำไว้ประเทศนี้ปัญหามันเยอะอยู่แล้ว อย่าทำตัวเป็นคนที่แก้ปัญหาด้วยการก่ออีกปัญหาหนึ่ง เพราะคนสั่งมันไม่ใช่คนที่ทำ ทำจริงไม่ได้ก็ด่า ก็ด่าคนอื่น นี่แหละที่เขาเรียก ไม่มีวิสัยทัศน์
ยกเลิกวัฒนธรรม "ตอกบัตร" ยกเลิกมลพิษ
ปัญหาเร่งด่วนในวันนี้ที่เราควรคิดแล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง คือ ฝุ่น มันเป็นมลภาวะ ที่อาจทำให้ป่วจและตายได้ในคนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง และเพราะเป็นฝุ่นขนาดเล็กมากมันจึงกระจายตัวเป็นวงกว้างหลายจังหวัดอย่างรวดเร็ว และยากต่อการจัดการ
เคยมีทฤษฎีหนึ่งในหนังสือ "อ่านทะลุความคิดด้วยจิตวิทยาแห่งการโกง" ของDan Ariely ส่าด้วยพฤติกรรมการโกงเงินขอฝสำนักงานแห่งหนึ่ง ที่มีเงินจำนวนหลายอสนดอลล่าห์หายไป แต่เมื่อจับคนร้ายได้แล้วกลับพบว่ามึเงินที่เขาเอาไปเพียงไม่กี่ร้อยดอลล่าห์เท่านั้น แต่ความเป็นจริงในการโกงที่แท้นั้นเกิดจาก การที่คนทุกคนหรือหลายคนร่วมกันโกงคนละนิดละหน่อยจากคนที่คุณไม่คิดว่าเขาจะทำได้ คนที่เรามองว่าใสซื่อมือสะอาด คนที่เรามองว่าเป็นคนดี คนเหล่านี้ต่างหาที่เป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ลักเล็กขโมยน้อยคนละนิดละหน่อย แต่เมื่อโกงกันหลายคนจำนวนมันก็ทวีคูณตามจำนวนบุคคล
โดยจากทฤษฎีดังกล่าวนั้น เมื่อเรามองปัญหาฝุ่นพิษในบ้านเรา ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าปัญหาที่แท้นั้นเกิดจากใคร มันก็ง่ายๆ คือเกิดจากคนที่ใช้รถ จากโรงงาน จากแม่ค้าขายหมูปิ้ง จากคนที่ทุกคนที่มาร่วมกันอยู่ในพื้นที่เพื่อทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว แล้วจะทำยังไงในเมื่อต้องทำงาน ไม่ทพวานตะเอาเงินที่ไหนใน(รัฐ)ใช้ล่ะ
การจะแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งนั้นสิ่งแรกที่เราจำเป็นจะต้องทำคือ การยอมรับว่ามีปัญหานั้น ซึ่งผมขอตำหนิรัฐบาลคสช.ตรงๆ เลยนะ กับพฤติกรรม "กูไม่ผิด กูผิดไม่เป็น" ที่ทำมาตลอดหลายปีแล้วยังยึดอำนาจเข้ามาทำงานตรงนี้ ไม่ว่าจะอ้างว่ารักประเทศแค่ไหนแต่มันก็คนละเรื่องกับความสามารถกับวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา ทำไม่เป็นทำไม่ได้ก็ควรยอมรับว่า ทำไม่ได้ นี่ต่างหากการเป็นผู้ใหญ่ที่ดี อย่าให้ต้องด่าเยอะ ฝุ่น2.5 ติดคอ จนจะไอเป็นเลือดอยู่แล้ว
และที่มันแย่ไปกว่านั้นคือ กว่าคุณจะยอมรับว่ามีปัญหานี้ ต้องให้มีคนตายก่อนหรอ เพราะแค่จะยอมรับเรื่องเดียว มันก็ใช้เวลากว่าสองอาทิตย์แล้วที่ประชาชนต้องป้องกันตัวเอง รัฐทำได้แค่ตอบในเรื่องเดิมว่า ' ไม่พบ ' ปัญหานี้มันรอไม่ได้ เราควรมีมาตรการเร่งด่วนให้คนเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันก่อน นี่คือสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกในการช่วยเหลือประชาชน แต่สิ่งที่ประชาชนได้รับในสองอาทิตย์นี้คืออะไร 'ไม่พบ'ปัญหา
ทีนี้มาที่การแก้ปัญหาเลย ย่นมาเยอะ แต่มันขึ้นจริงๆ เราลองมองการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพจริงๆ เลยนะ ตื่นเช้าเข้าออฟฟิศ ด้วยขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้า รถยนต์ส่วนตัวเพื่อไปตอกบัตร และแสกนหน้าหรือลายนิ้วมือก็คือการตอกบัตรแบบหนึ่งนะ ในกรณีที่ทำงาน 8.30น. เราต้องตื่นไปทำงานกี่โมง 6.30น. นี่คือ สายสุดในชีวิตการเป็นพนักงานออฟฟิศของผม เร็วสุดคือ 5.30น. นั่นคือเราต้องเสียเวลาในการไปทำงานทุกเช้า 1-3ชม. ในการไปทำงาน เพื่อ'ตอกบัตร' และขากลับ ในเวลาเท่ากันหรือมากกว่านี้ ถ้าฝนตกก็หนักกว่าเดิม เพราะคนบาวคนเช้าข้ามเมืองจากตะวันตกไปออก ตกเย็นก็ข้ามกลับมา แล้วเป็นแบบนี้กันทุกคน
ถ้าลองคิดถึงการใช้ชีวิตแบบนี้ คุณก็อยากจะมีรถยนต์ส่วนตัวแน่นอน เพราะไม่อยากไปเบียดบนBTS ที่ราคาตกเดือนละพันกว่าบาทแพงแต่ก็เลทประจำ บวกค่ามอไซด์วินอีก 15-30บาท หรือถ้า
ดังนั้นการตอกบัตรเลยเป็นวัฒนธรรมป๊อบแบบไม่ต้องสงสัยในประเทศนี้ที่นำมาซึ่งปัญหารถติด มลพิษ สารพัด เพราะคนหนึ่งคนในหนึ่งวันแม้จะไม่ใช่ผู้สร้างมลพิษโดยตรง แต่คุณก็ต้อง ขึ้นรถ ลงเรือ ต่อมอไซด์วิน กินหมูปิ้ง ไม่อันใดก็อันหนึ่ง เพราะวัฒนธรรม 'ตอกบัตร' นี่เลยกลายเป็นปัญหาที่โคตรใหญ่ที่สุดที่ควบคุมไม่ได้ มลพิษมันก็บานปลาย
ทีนี้ก็มีเรื่องฝุ่นโรงงาน เผาพื้นที่การเกษตร ทำไมไม่แก้ไขล่ะ เอาจริงๆ พวกนี้ถ้าคิดดีๆ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของปัญหาและอาจไม่ใช่ปัญหาจริงของมลพิษ เพราะโรงงานก็มีค่ามาตรฐานที่ต้องผ่านให้ได้ พื้นที่การเกษตรเราก็ไม่ได้เผาทุกวัน แสดงว่าโรงงานและพื้นที่การเกษตร มันควบคุมได้
แต่รถที่เราวิ่งกันในกรุงเทพเราควบคุมกันได้สักแค่ไหนกันเชียวในเมื่อทุกคนก็พยายามเลี่ยงกันทุกคน แล้วรถเป็นล้านคัน จะมีใครไหมล่ะที่บอกว่า 'รถฉันทำให้เกิดมลพิษ ฉันไม่ใช้มันแระ' มันไม่มีหรอก เพราะทุกคนต้องทำงาน ต้อง 'ตอกบัตร' กันทั้งนั้นไม่งั้นจะมีเงินให้(รัฐ)ใช้หรอ แสดงว่าปัญหาการควบคุมตรงนี้ มันควบคุมได้ยากมาก ถึงมากที่สุด เพราะในกรุงเทพมีรถหลายประเภท หลายยี่ห้อ หลายสภาพ หลายอายุปี สารพัดจะนึกออกได้หมด การจะมาตรวจฝุ่นทีละคัน วันหนึ่งจะได้กี่คันกันเชียว ในเมื่อมีเป็นล้านคัน แต่ตรวจได้ทีละคัน
ทีนี้มาดูวิธีการแก้ไข ที่บอกว่า ยกเลิกวัฒนธรรมตอกบัตร มันทำได้หรอ ทำได้แน่นอน เพราะทุกวันนี้เอาจริงๆ เราทำงานผ่านเมลล ผ่านไลน์ ผ่านโทรศัพท์กันมากกว่า ทำงานแบบเห็นหน้ากันเสียอีก เราไป 'ตอกบัตร' ที่ออฟฟิศ ก็แค่ไปทำงานผ่านเมม ผ่านไลน์ ผ่านโทรศัพท์ออฟฟิศ แค่นั้นเอง ซึ่งมีหลายอาชีพแล้วที่ อาทิตย์หนึ่งประชุมทีหนึ่ง วันธรรมดาก็ไม่ได้เข้าออฟฟิศเลย แต่แค่ทำงานผ่านระบบอินเตอร์เนตนี้ ไม่ว่าจะร้านกาแฟ ร้านอาหาร เราทำกันแบบนี้ แล้วถ้าจะคุยกันแบบเห็นหน้า ก็วิดิโอคอลก็ทำได้แล้ว
ลองคิดว่าถ้าโมเดลการทำงานแบบที่ไหนก็ได้ มันคือ การทำงานที่บ้าน นั่นแสดงว่า คนหนึ่งคนจะออกจากระบบที่มีส่วนในมลพิษไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วทำงานได้เหมือนกัน สำคัญ คือ การไม่เสียเวลาชีวิตไปกับ การเดินทางและ ตอกบัตร ซึ่งใน1วันคือ 1-6 ชม. ต่อวัน สำหรับทุกคนที่ต้องเดินทาง ซึ่งนั่นมันก็มากพอจะมีค่าเกินมาตรฐานโรงงานแล้ว
ดังนั้นถ้าภาครัฐจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องแก้ด้วยเหตุของเหตุของเหตุ อีกที นั่นคือ แก้วัฒนธรรมตอกบัตร ให้เป็น วัฒนธรรมทำงานที่ไหนก็ได้ เพื่อลดการเดินทาง โดยอาจจะจัดประชุมภาคเอกชนที่จะให้พนักงานในบางตำแหน่งนั้นสามารถทำงานที่บ้านได้ และมีวันเข้าออฟฟิศอย่างชัดเจน ซึ่งมันทำได้ เพราะบางอาชีพก็ทำแล้วเช่น โปรแกรมเมอร์ และอาจจะทำได้มากขึ้นถ้ารัฐมีส่วนลดแลกแจกแถมในการยื่นภาษีเงินได้ สำหรับคนและบริษัทที่ไม่ก่อมลพิษ แล้วเอาเงินตรงนั้นไปพัฒนาระบบในการทำงานเพื่อให้คนออกจากบ้านน้อยลง หรือถ้าไปก็ไปใกล้ๆ ไม่ต้องข้ามเมืองเข้าออกให้เหนื่อย เผลอๆ เงินเดือนน้อยๆ บางตำแหน่งจะเป็นที่ต้องการเพราะ ทำที่บ้านได้ เอกชนก็ได้ประโยชน์ด้วย
ซึ่งถ้าลองคิดดีๆ การรณรงค์ให้ทำงานที่บ้านนั้น มีผลดีมากกว่าผลเสีย คนทำงานได้ทำงานตามเวลาจริง ไม่เสียเวลาชีวิตในการเดินทางอีกต่อไป ซึ่งมันมากถึง1-6 ชม. ต่อวัน เหนื่อยเดินทางสายตัวแทยขาด คนทำงานก็ไม่ต้องมาพะวงวันคู่วันคี่ ไม่ต้องคิดว่าในรถที่นั่งจะมีกี่คนมาด้วย ซึ่งมันจะตรวจได้แค่ไหนเชียว เพิามภาระให้ตร.จราจรอีก แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ผล ถ้าเลือกได้ วันนี้ใครจะอยากออกจากบ้าน และแม้ว่าถ้าไม่อยากอยู่บ้าน เราก็ไปร้านกาแฟใกล้บ้านเปลี่ยนบรรยากาศก็ได้
นี่คือ การแก้ปัญหาที่รัฐควรเริ่มทำตอนนี้ให้มันได้ผลในระยะยาว ถ้าทำได้ ปัญหารถติดจะลดลง มลพิษจะลดลง ปัญหาสุขภาพจะลดลง มีแต่ได้กับได้ win/win ทั้งรัฐทั้งเอกชน ทั้งคนและโลก
จำไว้ประเทศนี้ปัญหามันเยอะอยู่แล้ว อย่าทำตัวเป็นคนที่แก้ปัญหาด้วยการก่ออีกปัญหาหนึ่ง เพราะคนสั่งมันไม่ใช่คนที่ทำ ทำจริงไม่ได้ก็ด่า ก็ด่าคนอื่น นี่แหละที่เขาเรียก ไม่มีวิสัยทัศน์