
กระทู้นี้มีจุดประสงค์เพื่อแชร์เส้นทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเชียงใหม่และแชร์รูปภาพความประทับใจของทริป
ให้กับหลายๆคนที่อยากเที่ยวเชียงใหม่แบบสวย ครบ จบ คุ้ม ในราคา 1000 บาทต่อวัน
เพียงแค่พกเพื่อนร่วมทริปที่รู้ใจ สะพายกล้องตัวเก่ง และแบกชุดเข้าตรีมยัดลงกระเป๋าใบโต
พร้อมกับใจแบบเต็ม 100 แน่นอนว่าคุณก็เที่ยวแบบพวกเราได้สบาย
ทริปนี้ต้องบอกก่อนว่าเราไปด้วยกัน 8 คน กับการเดินทาง 3 คืน 4 วัน พกเงินในกระเป๋ามา 4000 เพื่อจ่ายค่าที่พัก
ค่ารถนำเที่ยว ค่ากิน และอื่นๆ ( ซึ่งไม่ได้รวมค่าเดินทาง ค่าตั๋วเครื่องบินต่างๆ ) พร้อมด้วยกล้อง 2 ตัว
ตัวแรกคือ Gopro Hero7 พร้อมขาตั้งกลองไว้ถ่ายภาพมุมกว้างๆ และ Olympus pen7 กับเลนส์ 50mm F1.8
เพื่อให้ได้ภาพ Portait หลังละลายเบาๆ ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันที่วันแรกเลยแล้วกัน

Day 1 : ฝาช่อ / ร้านไส้อั่วป้าตุ๋ย / น้ำตกแม่ยะ / ที่พัก The canvas inthanon

ธีมชุด : Light Blue Jeans
- นัดรถตู้ที่เราเหมามาในราคา 1800 ต่อวัน (ไม่รวมน้ำมัน) หาร 8 คน สบายมาก ตกคนละ 225 ต่อวันเท่านั้น
แถมคนขับน่ารักมาก บริการดี คุยง่าย สบายๆชิวๆ ใส่ใจลูกทริปตลอดการเดินทาง
- ฝาช่อ : มาเริ่มทริปแรกที่ผาช่อเลยดีกว่า สำหรับการเดินทางก็เรียกได้ว่าเรียกเหงื่อในระดับนึงเลยทีเดียว
เพราะเมือรถไปจอดที่ผาช่อ ก็จะต้องมีการเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 30-40 นาที โดยประมาณ ถ้าแวะถ่ายรูป
ระหว่างทางก็นานหน่อย 555 แต่เมื่อพอไปถึงก็จะพบว่ามีมุมถ่ายรูปเก๋ๆแบบนี้เลย เป็นภูเขาที่เกิดจากการทับถมของดินตะกอน
มาเป็นร้อยๆปี แต่งตัวเข้าธีมกันขนาดนี้ เราก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพ Group Shot แรกของทริปแน่นอน


- เที่ยงพอดี ประเดิมด้วยร้านอาหารเหนือ ที่เหนือความคาดหมาย ทั้งราคาและรสชาติกันสักหน่อย เพราะโชว์เฟอร์แนะนำมาว่าข้าวซอย
และใส้อั่วร้านนี้อร่อย เจ้าถิ่นแนะนำมาขนาดนี้ จะไม่ลองได้ไงเนอะ ชื่อร้านว่า "ไส้อั่วป้าตุ๋ย"

- แวะสักการะพระธาติศรีจอมทอง เพราะเป็นทางผ่านพอดี
เเละเพื่อเป็นศิริมงคงต่อทริปของพวกเราทุกคน อยากบอกว่าพระธาตุงามขนาด ทองอร่าม แถมวัดสงบเงียบดีด้วย


- หลังจากแวะซื้อเครื่องดื่มเพื่อชูกำลังกายกำลังใจ ก็มุ่งตรงสู่น้ำตกแม่ยะกันเลยจ้า บอกได้คำเดียวว่าน้ำตกแม่ยะ
คือน้ำตกที่ประทับที่สุด สวยมาก และใกล้ชิดจริงๆ การเดินทางเข้าไปที่น้ำตกก็ไม่เหนื่อย และไม่ไกลเท่าไหร่
เหมาะสำหรับมนุษย์ลิงใจกล้า เพราะถ้าอยากถ่ายรูปหน้าน้ำตก ท่ามกลางละอองน้ำ ก็ต้องมีการข้ามโขนหิน ปีนป่ายกันนิดนิง
แต่ไม่ยากเกินความพยายามแน่นอน ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ จับๆกันไป ได้แน่นอน พอถึงที่หมายก็จะหายกลัวไปเอง เพราะมันสวยมากจริงๆ
น้ำตกไล่เรียงมาเป็นชั้นๆสูงเลย พวกเราแวะเล่นน้ำถ่ายรูปกันเกือบๆ 2 ชม.เลยสำหรับน้ำตกแม่ยะ 555555
- เดินทางต่อไปยังที่พัก The canvas inthanon เป็นที่พักแบบเต้นถาวร ที่บอกได้คำเดียวว่าฟิน หนาว และอิ่มแบบจุใจมาก
มาเริ่มกันที่บรรยากาศก่อนนะ เป็นที่พักที่ล้อมรอบด้วยภูเขา อากาศหนาวประมาณ 16 องศาในช่วงกลางคืน เรียกได้ว่าสั่นสะท้าน
เพราะพวกเราไม่ได้เตรียมใจมาหนาวขนาดนี้ แต่ที่เตรียมมาแน่นอนคือหมูกระทะจ้า ขาดไม่ได้เลยสำหรับหมูกระทะหอมๆร้อนๆ
ในบรรยากาศหนาวๆแบบนี้ ซึ่งทางที่พักมีขายชุดละ 500 บาท แต่เราก็ซื้อเนื้อมาเติมเองกันด้วยอีก 600 บาท เพื่อประหยัดไปอีกทาง
อิ่มจุใจพุงกางกันไปเลยทีเดียว พอหมดเบียร์ไป 1 ลังก็รีบนอนกันเลย เพราะพรุ่งนี้มีแพลนไปกิ่วแม่ปานเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5


Day 2 : กิ่วแม่ปาน / ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี / ขุนนาง
ดอกนางพญาเสือโคร่ง / ขุนแปะ

ธีมชุด : Solder Ranger / Sakura Blossom
- มาประเดิมกันที่จุดชมวิวก่อนขึ้นกิ่วแม่ปาน เพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้นในอุณหภูมิ 6 องศา แบบที่พวกเราไม่ได้เตรียมตัว
เตรียมใจมาหนาวขนาดนี้ ต้องบอกก่อนว่าบรรยากาศที่นี่คึกคักมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะจุดนี้มีอาหารเช้าร้อนๆ
ขายกันเพียบเลย เมื่อถึงเวลาก็พากันไปจับจองพื้นที่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่วันที่พวกเราไปเมฆเยอะ เลยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นแบบจางๆเท่านั้น
แต่ก็ไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด เพราะแค่บรรยากาศ พวกเราก็อิ่มเอมมากแล้ว

เมื่อถึงเวลาขึ้นกิ่ว ก็จะต้องเตรียมต่อแถวรับบัตรคิว เพื่อรอคิวให้ไกด์นำเที่ยวพาเราไปยังจุดต่างๆบนกิ่วแม่ปาน
รอไม่นาน 30 นาทีก็ได้ขึ้น เราได้ไกด์เป็นชาวกระเหรี่ยงอายุ 60 ปีที่แข็งแรงมากๆ
สำหรับระยะเวลาการเดินทาง วนรอบกิ่วจะอยู่ที่ประมาณ 3 ชม. แล้วแต่ว่าหยุดนานหรือไม่
แต่สำหรับพวกเราหยุดทุกที่ที่วิวดีและถ่ายรูปได้ ก็จะปาไปประมาณเกือบ 4 ชม. เลย แต่บอกได้เลยว่าไม่มีเบื่อ
เพราะบรรยากาศข้างบน สุดคำบรรยาย เป็นทิวเขาที่สวยงาม สูงเป็นสง่า และวิวระดับ 5 ดาวเลย คงความเป็นธรรมชาติ
และความอุดมสมบูรณ์สูงจริงๆ ไม่เสียใจเลยที่เดินทางกันมายาวนานขนาดนี้








- กลับมาอาบน้ำที่ที่พัก และเปลี่ยนชุดประมาณ 10.30 น. พร้อมทานอาหารเช้าที่เป็นข้าวต้ม(ฟรี) และออกเดินทางกันต่อ
เพื่อไปรองเท้านารี และขุนนาง
- ไปต่อกันที่รองเท้านารี ก็จะเป็นมุมเล็กๆเก๋ๆ ท่ามกลางหุบเขาน้อยๆให้เราได้ถ่ายรูป Group Shot เบาๆนิดนึง


- ออกเดินทางไปขุนนาง เพื่อถ่ายรูปกับดอกนางพญาเสือโคร่ง สีชมพู ที่คนไทยเรียกว่าเป็นซากุระเมืองไทยนั่นเอง
ซึ่งเราแพลนกันพอดีกับหน้าที่มันออกดอกพอดี ทุกคนตื่นเต้นมาก เพราะเวลาถ่ายรูปมันเหมือนอยู่เกาหลี ญีปุ่นอะไรทำนองนั้นเลย
ภาพที่ถ่ายมาก็จะละมุนประมาณนี้ค่ะท่านผู้ชม


- สลับรถตู้ กับรถ 4x4 ให้มารับที่ปั๊มน้ำมัน บ้านขุนแปะตอนบ่าย 3 โมง เพราะรถตู้จะไม่สามารถขึ้นไปได้ จึงจำเป็นต้องเหมารถ 4x4
ซึ่งเป็นรถพาเข้าที่พักและนำเที่ยวต่อจนถึงวันพรุ่งนี้เที่ยง ในราคา 1500 บาท เส้นทางตอนที่ไปก็จะทุลักทุเลนิดนึงเนื่องจาก
กำลังอยู่ในช่วงทำถนน ฝุ่นก็จะจางๆ คนนั่งหลังก็จะหัวแดงกันหน่อยๆ 5555 แต่ไม่มีใครบ่นสักคำ มากันด้วยใจจริงๆ
ระยะเวลาก็ประมาณ 50 นาที ก็ถึงที่พักแล้วจ้า เมื่อมาถึงที่พักที่มีชื่อว่า “บ้านหมีส้ม”

ขุนแปะเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ และเรียบง่ายมาก มีกระเหรี่ยงหลายเผ่าอาศัยอยู่ เป็นชุมชนศีล 5 ไม่มีแอลกอฮอล์ขายด้วย
ที่พักเป็นบ้านพักที่นอนกันได้ 8-10 คนค่ะ นอนแบบชิวๆ เหมือนมานอนบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด ที่พักของเราก็จะอยู่ในราคา
500บาท/คน
ก่อนกินอาหารเย็น ก็จะเดินรับบรรยากาศในหมู่บ้านกันสักหน่อย เดินไปเรื่อยๆ จนพบมุมทุ่งนากว้างๆขั้นบรรได ( แต่เก็บเกี่ยวไปแล้ว )
คนที่นี่บอกว่า ถ้ามาประมาณตุลาคม นาจะเขียวขจีทั้งแปลงเลย แต่เราก็ไม่ซีเรียสเหมือนเดิม แวะเก็บ Group Shot เบาๆกลางทุ่งนากันต่อ 55555

ที่สำคัญคือที่พักมีอาหารเย็น + เช้าให้ด้วย คุ้มมาก เมนูอาหารก็จะเป็นอาหารที่ คลี๊นคลีน เน้นผลผลิตได้เก็บได้เอง สด สะอาด
ปลอดภัย ไร้สารพิษ ฟินมากจริงๆ

Day 3 : จุดกางเต้นท์ลานชมดาวขี้ค้างคาว / ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย โครงการหลวงขุนแปะ

ธีมชุด : Wedding Ceremony
- รถ 4x4 มารับไปจุดกางเต้นท์ลานชมดาวขี้ค้างคาว เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า บอกได้คำเดียวว่า วิวภูเขาทอดยาว 360 องศา
โอบล้อมด้วยป่าและความเหน็บหนาวแบบคุ้มค่าที่สุด แถมยังส่วนตัวมากๆ เพราะนักท่องเที่ยวไม่ได้เเน่นหนามาก
ที่ขุนแปะเป็นที่เที่ยวใหม่ที่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าได้ไม่นาน จึงโชคดีที่ไม่ต้องแย่งใครเที่ยวเลย
กลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ถึงเวลาที่พระบิณฑบาตรพอดี ทางที่พักก็ได้เตรียมอาหารสำหรับใส่บาตรให้เราด้วย
นับว่าเป็นทริปที่เรื่องบุญเราก็ไม่ขาด เป็นอีก 1 เสน่ห์ที่เราประทับใจจริงๆ




- กลับที่พัก เพื่อมากินอาหารเช้า ที่เป็นอาหารคลีนกันอีกสักมื้อก่อนไป

- มาต่อกันที่ ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย โครงการหลวงขุนแปะ บอกได้เลยว่าเป็นอีก 1 ที่ที่พวกเราตั้งใจให้ Group Shot
ในธีมWedding Ceremony หรือตรีมงานแต่ง ออกมาดีที่สุด เพราะว่าทุ่งดอกไฮเดรนเยียที่นี่ มันสวยและบานสะพรั่ง
ซะเหลือเกิน เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ เตรียมชุดกันมาเต็มขนาดนี้ ก็จัดกันไปเป็น ชม.เลยทีเดียว ทั้ง Group Shot
และ Portait แบบจุใจ ขากลับแวะซื้อดอกไฮเดรนเยียด้วยนะ ดอกละ 35บาทเท่านั้นจ้า ตัดจากต้นให้เลย



- ลงจากขุนแปะเพื่อเข้าเมือง 13.30 รถตู้คันเดิมรอรับเราอยู่ที่เดิม ใช้เวลาจากขุนแปะ 50 นาที ก่อนจะเข้าตัวเมืองเชียงใหม่
เราก็ขอแวะกินไอติมกับร้านชิคๆเก๋ๆใสๆย่านนิมมานอย่าง " Frose' Yogurt Cafe " สามอย่างอยู่ที่ราคา 500 กว่าบาทเองจ้า

ถึงที่พัก โรงแรมกรีนพาเลซ ในย่านนิมนามเราตั้งใจเลือกที่พักตรงนี้เพราะอยู่แถวนิมมานใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ราคาไม่แพง ห้องละ 500 บาท นอนได้ 2 คน สะอาดดี มีขึ้นเขา ลงห้วย น้ำตก ทุ่งนา ภูเขา
แล้วก็ต้องเข้าเมืองมาแฮงค์เอ๊าท์กันหน่อย จะได้เรียกว่า สวย ครบ จบ คุ้ม จริงๆ เราตั้งเป้าหมายกันว่าจะไป Warm up เชียงใหม่
แหล่งแฮงค์เอ๊าท์ยอดฮิตที่คนมาเชียงใหม่ต้องมาโดน เราเลือกที่นี่เพราะใกล้ที่พักเราด้วย เดินไป-กลับ ได้สบาย
แถมดนตรีสดทุกวงเพราะทุกเพลง 5555
สรุปว่าคืนนั้นหมดค่าเสียหายไปคนละ 500 กว่าบาท ก็ยังไม่เกินงบอยู่ดี

------ ขอวาบวันสุดท้ายต่อในคอมเม้นต์นะทุกคน----
Group Shot ที่เชียงใหม่แบบ สวย ครบ จบ คุ้ม ด้วยงบวันละ 1000
ให้กับหลายๆคนที่อยากเที่ยวเชียงใหม่แบบสวย ครบ จบ คุ้ม ในราคา 1000 บาทต่อวัน
เพียงแค่พกเพื่อนร่วมทริปที่รู้ใจ สะพายกล้องตัวเก่ง และแบกชุดเข้าตรีมยัดลงกระเป๋าใบโต
พร้อมกับใจแบบเต็ม 100 แน่นอนว่าคุณก็เที่ยวแบบพวกเราได้สบาย
ทริปนี้ต้องบอกก่อนว่าเราไปด้วยกัน 8 คน กับการเดินทาง 3 คืน 4 วัน พกเงินในกระเป๋ามา 4000 เพื่อจ่ายค่าที่พัก
ค่ารถนำเที่ยว ค่ากิน และอื่นๆ ( ซึ่งไม่ได้รวมค่าเดินทาง ค่าตั๋วเครื่องบินต่างๆ ) พร้อมด้วยกล้อง 2 ตัว
ตัวแรกคือ Gopro Hero7 พร้อมขาตั้งกลองไว้ถ่ายภาพมุมกว้างๆ และ Olympus pen7 กับเลนส์ 50mm F1.8
เพื่อให้ได้ภาพ Portait หลังละลายเบาๆ ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันที่วันแรกเลยแล้วกัน
- นัดรถตู้ที่เราเหมามาในราคา 1800 ต่อวัน (ไม่รวมน้ำมัน) หาร 8 คน สบายมาก ตกคนละ 225 ต่อวันเท่านั้น
แถมคนขับน่ารักมาก บริการดี คุยง่าย สบายๆชิวๆ ใส่ใจลูกทริปตลอดการเดินทาง
- ฝาช่อ : มาเริ่มทริปแรกที่ผาช่อเลยดีกว่า สำหรับการเดินทางก็เรียกได้ว่าเรียกเหงื่อในระดับนึงเลยทีเดียว
เพราะเมือรถไปจอดที่ผาช่อ ก็จะต้องมีการเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 30-40 นาที โดยประมาณ ถ้าแวะถ่ายรูป
ระหว่างทางก็นานหน่อย 555 แต่เมื่อพอไปถึงก็จะพบว่ามีมุมถ่ายรูปเก๋ๆแบบนี้เลย เป็นภูเขาที่เกิดจากการทับถมของดินตะกอน
มาเป็นร้อยๆปี แต่งตัวเข้าธีมกันขนาดนี้ เราก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพ Group Shot แรกของทริปแน่นอน
- เที่ยงพอดี ประเดิมด้วยร้านอาหารเหนือ ที่เหนือความคาดหมาย ทั้งราคาและรสชาติกันสักหน่อย เพราะโชว์เฟอร์แนะนำมาว่าข้าวซอย
และใส้อั่วร้านนี้อร่อย เจ้าถิ่นแนะนำมาขนาดนี้ จะไม่ลองได้ไงเนอะ ชื่อร้านว่า "ไส้อั่วป้าตุ๋ย"
- แวะสักการะพระธาติศรีจอมทอง เพราะเป็นทางผ่านพอดี
เเละเพื่อเป็นศิริมงคงต่อทริปของพวกเราทุกคน อยากบอกว่าพระธาตุงามขนาด ทองอร่าม แถมวัดสงบเงียบดีด้วย
- หลังจากแวะซื้อเครื่องดื่มเพื่อชูกำลังกายกำลังใจ ก็มุ่งตรงสู่น้ำตกแม่ยะกันเลยจ้า บอกได้คำเดียวว่าน้ำตกแม่ยะ
คือน้ำตกที่ประทับที่สุด สวยมาก และใกล้ชิดจริงๆ การเดินทางเข้าไปที่น้ำตกก็ไม่เหนื่อย และไม่ไกลเท่าไหร่
เหมาะสำหรับมนุษย์ลิงใจกล้า เพราะถ้าอยากถ่ายรูปหน้าน้ำตก ท่ามกลางละอองน้ำ ก็ต้องมีการข้ามโขนหิน ปีนป่ายกันนิดนิง
แต่ไม่ยากเกินความพยายามแน่นอน ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ จับๆกันไป ได้แน่นอน พอถึงที่หมายก็จะหายกลัวไปเอง เพราะมันสวยมากจริงๆ
น้ำตกไล่เรียงมาเป็นชั้นๆสูงเลย พวกเราแวะเล่นน้ำถ่ายรูปกันเกือบๆ 2 ชม.เลยสำหรับน้ำตกแม่ยะ 555555
- เดินทางต่อไปยังที่พัก The canvas inthanon เป็นที่พักแบบเต้นถาวร ที่บอกได้คำเดียวว่าฟิน หนาว และอิ่มแบบจุใจมาก
มาเริ่มกันที่บรรยากาศก่อนนะ เป็นที่พักที่ล้อมรอบด้วยภูเขา อากาศหนาวประมาณ 16 องศาในช่วงกลางคืน เรียกได้ว่าสั่นสะท้าน
เพราะพวกเราไม่ได้เตรียมใจมาหนาวขนาดนี้ แต่ที่เตรียมมาแน่นอนคือหมูกระทะจ้า ขาดไม่ได้เลยสำหรับหมูกระทะหอมๆร้อนๆ
ในบรรยากาศหนาวๆแบบนี้ ซึ่งทางที่พักมีขายชุดละ 500 บาท แต่เราก็ซื้อเนื้อมาเติมเองกันด้วยอีก 600 บาท เพื่อประหยัดไปอีกทาง
อิ่มจุใจพุงกางกันไปเลยทีเดียว พอหมดเบียร์ไป 1 ลังก็รีบนอนกันเลย เพราะพรุ่งนี้มีแพลนไปกิ่วแม่ปานเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5
ดอกนางพญาเสือโคร่ง / ขุนแปะ
- มาประเดิมกันที่จุดชมวิวก่อนขึ้นกิ่วแม่ปาน เพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้นในอุณหภูมิ 6 องศา แบบที่พวกเราไม่ได้เตรียมตัว
เตรียมใจมาหนาวขนาดนี้ ต้องบอกก่อนว่าบรรยากาศที่นี่คึกคักมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะจุดนี้มีอาหารเช้าร้อนๆ
ขายกันเพียบเลย เมื่อถึงเวลาก็พากันไปจับจองพื้นที่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่วันที่พวกเราไปเมฆเยอะ เลยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นแบบจางๆเท่านั้น
แต่ก็ไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด เพราะแค่บรรยากาศ พวกเราก็อิ่มเอมมากแล้ว
เมื่อถึงเวลาขึ้นกิ่ว ก็จะต้องเตรียมต่อแถวรับบัตรคิว เพื่อรอคิวให้ไกด์นำเที่ยวพาเราไปยังจุดต่างๆบนกิ่วแม่ปาน
รอไม่นาน 30 นาทีก็ได้ขึ้น เราได้ไกด์เป็นชาวกระเหรี่ยงอายุ 60 ปีที่แข็งแรงมากๆ
สำหรับระยะเวลาการเดินทาง วนรอบกิ่วจะอยู่ที่ประมาณ 3 ชม. แล้วแต่ว่าหยุดนานหรือไม่
แต่สำหรับพวกเราหยุดทุกที่ที่วิวดีและถ่ายรูปได้ ก็จะปาไปประมาณเกือบ 4 ชม. เลย แต่บอกได้เลยว่าไม่มีเบื่อ
เพราะบรรยากาศข้างบน สุดคำบรรยาย เป็นทิวเขาที่สวยงาม สูงเป็นสง่า และวิวระดับ 5 ดาวเลย คงความเป็นธรรมชาติ
และความอุดมสมบูรณ์สูงจริงๆ ไม่เสียใจเลยที่เดินทางกันมายาวนานขนาดนี้
- กลับมาอาบน้ำที่ที่พัก และเปลี่ยนชุดประมาณ 10.30 น. พร้อมทานอาหารเช้าที่เป็นข้าวต้ม(ฟรี) และออกเดินทางกันต่อ
เพื่อไปรองเท้านารี และขุนนาง
- ไปต่อกันที่รองเท้านารี ก็จะเป็นมุมเล็กๆเก๋ๆ ท่ามกลางหุบเขาน้อยๆให้เราได้ถ่ายรูป Group Shot เบาๆนิดนึง
- ออกเดินทางไปขุนนาง เพื่อถ่ายรูปกับดอกนางพญาเสือโคร่ง สีชมพู ที่คนไทยเรียกว่าเป็นซากุระเมืองไทยนั่นเอง
ซึ่งเราแพลนกันพอดีกับหน้าที่มันออกดอกพอดี ทุกคนตื่นเต้นมาก เพราะเวลาถ่ายรูปมันเหมือนอยู่เกาหลี ญีปุ่นอะไรทำนองนั้นเลย
ภาพที่ถ่ายมาก็จะละมุนประมาณนี้ค่ะท่านผู้ชม
- สลับรถตู้ กับรถ 4x4 ให้มารับที่ปั๊มน้ำมัน บ้านขุนแปะตอนบ่าย 3 โมง เพราะรถตู้จะไม่สามารถขึ้นไปได้ จึงจำเป็นต้องเหมารถ 4x4
ซึ่งเป็นรถพาเข้าที่พักและนำเที่ยวต่อจนถึงวันพรุ่งนี้เที่ยง ในราคา 1500 บาท เส้นทางตอนที่ไปก็จะทุลักทุเลนิดนึงเนื่องจาก
กำลังอยู่ในช่วงทำถนน ฝุ่นก็จะจางๆ คนนั่งหลังก็จะหัวแดงกันหน่อยๆ 5555 แต่ไม่มีใครบ่นสักคำ มากันด้วยใจจริงๆ
ระยะเวลาก็ประมาณ 50 นาที ก็ถึงที่พักแล้วจ้า เมื่อมาถึงที่พักที่มีชื่อว่า “บ้านหมีส้ม”
ขุนแปะเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ และเรียบง่ายมาก มีกระเหรี่ยงหลายเผ่าอาศัยอยู่ เป็นชุมชนศีล 5 ไม่มีแอลกอฮอล์ขายด้วย
ที่พักเป็นบ้านพักที่นอนกันได้ 8-10 คนค่ะ นอนแบบชิวๆ เหมือนมานอนบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด ที่พักของเราก็จะอยู่ในราคา
500บาท/คน
ก่อนกินอาหารเย็น ก็จะเดินรับบรรยากาศในหมู่บ้านกันสักหน่อย เดินไปเรื่อยๆ จนพบมุมทุ่งนากว้างๆขั้นบรรได ( แต่เก็บเกี่ยวไปแล้ว )
คนที่นี่บอกว่า ถ้ามาประมาณตุลาคม นาจะเขียวขจีทั้งแปลงเลย แต่เราก็ไม่ซีเรียสเหมือนเดิม แวะเก็บ Group Shot เบาๆกลางทุ่งนากันต่อ 55555
ที่สำคัญคือที่พักมีอาหารเย็น + เช้าให้ด้วย คุ้มมาก เมนูอาหารก็จะเป็นอาหารที่ คลี๊นคลีน เน้นผลผลิตได้เก็บได้เอง สด สะอาด
ปลอดภัย ไร้สารพิษ ฟินมากจริงๆ
- รถ 4x4 มารับไปจุดกางเต้นท์ลานชมดาวขี้ค้างคาว เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า บอกได้คำเดียวว่า วิวภูเขาทอดยาว 360 องศา
โอบล้อมด้วยป่าและความเหน็บหนาวแบบคุ้มค่าที่สุด แถมยังส่วนตัวมากๆ เพราะนักท่องเที่ยวไม่ได้เเน่นหนามาก
ที่ขุนแปะเป็นที่เที่ยวใหม่ที่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าได้ไม่นาน จึงโชคดีที่ไม่ต้องแย่งใครเที่ยวเลย
กลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ถึงเวลาที่พระบิณฑบาตรพอดี ทางที่พักก็ได้เตรียมอาหารสำหรับใส่บาตรให้เราด้วย
นับว่าเป็นทริปที่เรื่องบุญเราก็ไม่ขาด เป็นอีก 1 เสน่ห์ที่เราประทับใจจริงๆ
- กลับที่พัก เพื่อมากินอาหารเช้า ที่เป็นอาหารคลีนกันอีกสักมื้อก่อนไป
- มาต่อกันที่ ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย โครงการหลวงขุนแปะ บอกได้เลยว่าเป็นอีก 1 ที่ที่พวกเราตั้งใจให้ Group Shot
ในธีมWedding Ceremony หรือตรีมงานแต่ง ออกมาดีที่สุด เพราะว่าทุ่งดอกไฮเดรนเยียที่นี่ มันสวยและบานสะพรั่ง
ซะเหลือเกิน เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ เตรียมชุดกันมาเต็มขนาดนี้ ก็จัดกันไปเป็น ชม.เลยทีเดียว ทั้ง Group Shot
และ Portait แบบจุใจ ขากลับแวะซื้อดอกไฮเดรนเยียด้วยนะ ดอกละ 35บาทเท่านั้นจ้า ตัดจากต้นให้เลย
- ลงจากขุนแปะเพื่อเข้าเมือง 13.30 รถตู้คันเดิมรอรับเราอยู่ที่เดิม ใช้เวลาจากขุนแปะ 50 นาที ก่อนจะเข้าตัวเมืองเชียงใหม่
เราก็ขอแวะกินไอติมกับร้านชิคๆเก๋ๆใสๆย่านนิมมานอย่าง " Frose' Yogurt Cafe " สามอย่างอยู่ที่ราคา 500 กว่าบาทเองจ้า
ราคาไม่แพง ห้องละ 500 บาท นอนได้ 2 คน สะอาดดี มีขึ้นเขา ลงห้วย น้ำตก ทุ่งนา ภูเขา
แล้วก็ต้องเข้าเมืองมาแฮงค์เอ๊าท์กันหน่อย จะได้เรียกว่า สวย ครบ จบ คุ้ม จริงๆ เราตั้งเป้าหมายกันว่าจะไป Warm up เชียงใหม่
แหล่งแฮงค์เอ๊าท์ยอดฮิตที่คนมาเชียงใหม่ต้องมาโดน เราเลือกที่นี่เพราะใกล้ที่พักเราด้วย เดินไป-กลับ ได้สบาย
แถมดนตรีสดทุกวงเพราะทุกเพลง 5555
สรุปว่าคืนนั้นหมดค่าเสียหายไปคนละ 500 กว่าบาท ก็ยังไม่เกินงบอยู่ดี