เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรามีโอกาสไปเดินห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าแล้ว
หลังจากเดินสักพักก็ตัดสินใจไปทานข้าวที่ร้านอาหาร โดยเราให้แฟนเดินไปนั่งจองโต๊ะรอ ส่วนเราเดินไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์
ระหว่างที่สั่งอาหาร ก็ได้ยินเสียงแฟนพูดอะไรจริงจังมากและนานพอควร จึงหันไปดู
พบว่าแฟนกำลังคุยกับน้องคนหนึ่ง เป็นเด็กผู้ชาย อายุประมาณ 10 ขวบนิดๆ ใส่ชุดพละของโรงเรียนหนึ่ง
เราหันมาดูเมนูอาหารต่อ แต่ก็ได้ยินเสียงแฟนอยู่ตลอด จนสั่งอาหาร จ่ายเงิน และรอรับอาหารมาที่โต๊ะเสร็จ โดยรวมประมาณ 10 นาที
พอมาถึงที่โต๊ะ ก็ยังเห็นแฟนคุยกับน้องคนนี้อยู่แบบจริงจัง
เราเริ่มสนใจว่าคุยอะไร จึงถามแฟน ได้ความประมาณว่า
"น้องเป็นเด็กที่เดินเข้ามาขายของในห้าง ขายปากกาเดอะด็อกเป็นชุด ชุดละ 2 แท่ง ราคา 39 บาท"
เราก็ถามแฟนว่า
"พี่ช่วยน้องซื้อรึปล่าวล่ะ" หันไปดูน้อง น้องก็ทำหน้าเศร้าๆ ส่งยิ้มให้เราแบบมีความหวัง
"พี่จะช่วยน้องเขาอยู่แล้ว แต่กำลังสอนน้องเขาด้วย ว่าทำยังไงถึงจะขายได้ดีขึ้น" เราก็ถึงบางอ้อว่าทำไมคุยนานเชียว
"แล้วไปสอนอะไรน้องเขาล่ะ" เราก็ถามไป ดูหน้าน้องไปด้วย น้องดูเรียบร้อย แต่แต่งตัวไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่
"พี่ถามน้องเขาว่าวันนึงๆนี่ขายดีมั้ย น้องก็บอกไม่ค่อยดี เดินไปหาใครก็มีแต่คนปฏิเสธ พี่ก็เลยชวนคุยว่าทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสขายได้มากขึ้น"
เราก็เลยหันไปชวนน้องคุยบ้าง ว่าขายยังไง วันนึงขายได้เท่าไหร่
น้องก็พูดว่าขายไม่ดี ไม่ค่อยมีคนสนใจ บางทีเดินเข้าไปยังไม่ได้พูดอะไร คนก็ปฏิเสธเดินหนีแล้ว แฟนเราเลยพูดต่อว่า
"พี่ถึงบอกน้องนี่ไงว่าต้องเปลี่ยนวิธี ที่คนเขาไม่สนใจซื้อ คือ
1.น้องขายราคาแพง ปกติปากกาพวกนี้ต้นทุนไม่เท่าไหร่ ขายแท่งละ 10 บาทก็แพง แต่นี่ตกแท่งละ 20 เลย
2.ปากกาอาจจะเป็นสินค้าที่คนไม่ค่อยสนใจ เพราะบางทีคนเดินห้างก็จะมีพวกคนสูงอายุ บางทีเขาก็ไม่ได้ใช้ ส่วนคนที่ได้ใช้จริงๆ
เขาก็ไปซื้อที่อื่นที่ราคาถูกกว่า"
เราก็พยักหน้าเห็นด้วยนะ หันไปดูหน้าน้อง น้องทำหน้าละห้อย และทำท่าร้อนรนอยากจะเดินไปขายคนอื่นต่อ
"แล้วพี่จะช่วยน้องซื้อมั้ยล่ะ คุยกันนานแล้ว น้องเขาจะได้ไปขายต่อ"
สรุปแฟนเราช่วยซื้อ 1 ชุด ให้ไป 40 บาท และบอกกับน้องอีกครั้งว่า
"พี่ไม่ได้ดุหรือว่าน้องนะครับ พี่ชื่นชมน้องที่ขยันช่วยแม่ขายของ น้องทำดีแล้ว แต่ต้องลองหาวิธีที่ดีกว่านี้อีกนิดนะ"
น้องก็พยักหน้า ยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วก็เดินไปขายที่ร้านอื่นต่อ
แต่เรายังสงสัยว่าอยู่ๆไปคุยกับน้องทำไม จึงถามแฟนต่อ เขาก็บอกว่า
"คือพี่บอกน้องเขาไปว่าไม่ได้ใช้ปากกา ไม่ซื้อได้มั้ย แต่พี่อยากช่วยก็เลยจะให้เงินน้อง 20 บาท แต่น้องเขาไม่รับ เขาบอกที่ห้างห้ามรับเงิน ไม่งั้นจะไม่ให้เข้ามาขายอีก น้องก็อ้อนให้พี่ช่วยซื้อ พี่ก็เลยจะช่วยซื้อแหละ แต่ก็อยากให้น้องเขาคิดวิธีใหม่ๆได้ด้วย"
ในระหว่างที่ทานข้าวไป คุยกันไป ก็เห็นน้องเดินสลับวิ่งไปมา เข้าไปขายของให้ลูกค้าคนอื่นๆในห้าง
ซึ่งที่เรานั่งสังเกตอยู่เป็น 10 คนเลยนะ แต่ก็ปฏิเสธหมด บางคนไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ
พอเห็นภาพนี้ทำให้เราคิดถึงตัวเองตอนเป็นเด็กมากๆค่ะ เพราะในวัยเด็กเราก็เคยเดินขายของคล้ายๆน้อง
"พี่ดูน้องสิ น่าสงสารอยู่นะ พยายามเดินขาย แต่ไม่ได้เลยอ่ะ เมื่อก่อนเด็กๆ หนูก็ช่วยแม่ขายของนะ"
"นี่น้องเขาก็บอกว่าแม่ให้มาขายเหมือนกัน แต่แม่เขาให้ขายแพงไปไง เลยขายไม่ค่อยได้"
--------
เราลองมานั่งคิดถึงวัยเด็กของเราค่ะ ตอนนั้นเราอยู่ ป.1 อายุประมาณ 6-7 ขวบ
เรากับพี่สาวสองคนหลังจากเลิกเรียนแล้ว ก็กลับมาที่ร้านช่วยแม่ขายของ
แม่ก็จะจัดรถเข็นใส่ดอกไม้ให้เต็มรถเข็นเล็กๆ และมีกระจาดใบใหญ่ใส่พวงมาลัย
เรากับพี่สาวก็จะช่วยกันเดินขายของไปตามหมู่บ้านและโรงพยาบาลบําราศนราดูร
ซึ่งเราก็ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันค่ะ เพราะไม่มีเวลากลับบ้านไปเปลี่ยนชุด
เดินเรียกลูกค้าในโรงพยาบาล เดินตะโกนขายตามซอยในหมู่บ้าน
ซึ่งเราขายดีมากค่ะ ขายหมดเกือบทุกวัน
มานั่งคิดๆดู จุดขายคืออะไร
1.เราเป็นเด็ก ใส่ชุดนักเรียน ดูขยัน เรียบร้อย อาจจะซื้อใจและเรียกร้องความเมตตาจากลูกค้าได้
2.สินค้าที่เราขายเป็นดอกไม้ ไหว้พระ ซึ่งเหมาะกับสถานที่ที่ไปขาย เช่น โรงพยาบาล มีคนใช้ไหว้เยอะมากๆ
3.ราคาสินค้าเราไม่ได้ชาร์จเพิ่ม ขายราคาปกติ บางทีก็ลดและแถมด้วย
4.เรากับพี่สาวพูดจาสุภาพ ยกมือไหว้สวัสดี ขอบคุณ กับลูกค้าตลอด
5.เราขายประจำเกือบทุกวัน ลูกค้าจึงมีความมั่นใจในสินค้า และรอที่จะซื้อกับเรา ไม่ต้องออกไปข้างนอกเอง
โดยในบางครั้งมีคุณหมอ พี่พยาบาล ช่วยอุดหนุน ให้เงินแถม ให้ขนม ให้เสื้อผ้าหรือของใช้อื่นๆด้วย
------
ซึ่งในปัจจุบันนี้ มีครอบครัวที่ทำการค้าขายแบบนี้เยอะมากนะคะ
อย่างเช่นถ้าเราไปนั่งทานหมูกระทะ หรือบุฟเฟ่ต์ที่ไหน ในเวลาประมาณ 2 ชม. จะต้องมีเด็กเดินมาขายอย่างน้อย 5-10 คน
โดยของที่ขายก็จะมี นมเปรี้ยว เกาลัด ขนมไทย ขนมปัง ตุ๊กตา โคมไฟ พวงกุญแจ ฯลฯ
บางเจ้าก็ชาร์จราคาขึ้น บางเจ้าก็ขายราคาปกติ แต่ส่วนมากจะโดนปฏิเสธกันเยอะ
มาคิดๆแล้ว การขายของทุกวันนี้ อาจจะต้องหาวิธีหรือช่องทางใหม่ๆ ที่จะเรียกลูกค้าได้
เพราะขายของแนวๆนี้ คนจะเริ่มรู้ทัน ไม่รับฟัง รีบปฏิเสธกันเลย
------
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เราคิดนะคะว่าแฟนเราไปยุ่งกับน้องเขาทำไม บางทีน้องเขาอาจจะคิดในใจว่า "ลำไย" ก็ได้ 555+
แต่เอาจริงๆ เราก็ว่าถ้าน้องเขาคิดตาม เขาอาจจะได้อะไรจากตรงนี้ ไปลองคุยกับแม่น้องดู และปรับวิธีการขายดู ซึ่งจะเป็นประโยชน์ก็ได้
ที่นำมาเล่าในครั้งนี้ก็แค่อยากแชร์ความรู้สึก รวมทั้งอยากฟังวิธีคิดจากเพื่อนๆด้วยค่ะ
เผื่อคนขายของผ่านมาอ่าน อาจจะได้ไอเดียดีๆ ไปปรับใช้
ขอบคุณที่ฟังเราเล่าจนจบนะคะ ^ ^
จากมุมมองของเด็กเดินขายของในอดีต ถึงเด็กเดินขายของในปัจจุบัน
หลังจากเดินสักพักก็ตัดสินใจไปทานข้าวที่ร้านอาหาร โดยเราให้แฟนเดินไปนั่งจองโต๊ะรอ ส่วนเราเดินไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์
ระหว่างที่สั่งอาหาร ก็ได้ยินเสียงแฟนพูดอะไรจริงจังมากและนานพอควร จึงหันไปดู
พบว่าแฟนกำลังคุยกับน้องคนหนึ่ง เป็นเด็กผู้ชาย อายุประมาณ 10 ขวบนิดๆ ใส่ชุดพละของโรงเรียนหนึ่ง
เราหันมาดูเมนูอาหารต่อ แต่ก็ได้ยินเสียงแฟนอยู่ตลอด จนสั่งอาหาร จ่ายเงิน และรอรับอาหารมาที่โต๊ะเสร็จ โดยรวมประมาณ 10 นาที
พอมาถึงที่โต๊ะ ก็ยังเห็นแฟนคุยกับน้องคนนี้อยู่แบบจริงจัง
เราเริ่มสนใจว่าคุยอะไร จึงถามแฟน ได้ความประมาณว่า
"น้องเป็นเด็กที่เดินเข้ามาขายของในห้าง ขายปากกาเดอะด็อกเป็นชุด ชุดละ 2 แท่ง ราคา 39 บาท"
เราก็ถามแฟนว่า
"พี่ช่วยน้องซื้อรึปล่าวล่ะ" หันไปดูน้อง น้องก็ทำหน้าเศร้าๆ ส่งยิ้มให้เราแบบมีความหวัง
"พี่จะช่วยน้องเขาอยู่แล้ว แต่กำลังสอนน้องเขาด้วย ว่าทำยังไงถึงจะขายได้ดีขึ้น" เราก็ถึงบางอ้อว่าทำไมคุยนานเชียว
"แล้วไปสอนอะไรน้องเขาล่ะ" เราก็ถามไป ดูหน้าน้องไปด้วย น้องดูเรียบร้อย แต่แต่งตัวไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่
"พี่ถามน้องเขาว่าวันนึงๆนี่ขายดีมั้ย น้องก็บอกไม่ค่อยดี เดินไปหาใครก็มีแต่คนปฏิเสธ พี่ก็เลยชวนคุยว่าทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสขายได้มากขึ้น"
เราก็เลยหันไปชวนน้องคุยบ้าง ว่าขายยังไง วันนึงขายได้เท่าไหร่
น้องก็พูดว่าขายไม่ดี ไม่ค่อยมีคนสนใจ บางทีเดินเข้าไปยังไม่ได้พูดอะไร คนก็ปฏิเสธเดินหนีแล้ว แฟนเราเลยพูดต่อว่า
"พี่ถึงบอกน้องนี่ไงว่าต้องเปลี่ยนวิธี ที่คนเขาไม่สนใจซื้อ คือ
1.น้องขายราคาแพง ปกติปากกาพวกนี้ต้นทุนไม่เท่าไหร่ ขายแท่งละ 10 บาทก็แพง แต่นี่ตกแท่งละ 20 เลย
2.ปากกาอาจจะเป็นสินค้าที่คนไม่ค่อยสนใจ เพราะบางทีคนเดินห้างก็จะมีพวกคนสูงอายุ บางทีเขาก็ไม่ได้ใช้ ส่วนคนที่ได้ใช้จริงๆ
เขาก็ไปซื้อที่อื่นที่ราคาถูกกว่า"
เราก็พยักหน้าเห็นด้วยนะ หันไปดูหน้าน้อง น้องทำหน้าละห้อย และทำท่าร้อนรนอยากจะเดินไปขายคนอื่นต่อ
"แล้วพี่จะช่วยน้องซื้อมั้ยล่ะ คุยกันนานแล้ว น้องเขาจะได้ไปขายต่อ"
สรุปแฟนเราช่วยซื้อ 1 ชุด ให้ไป 40 บาท และบอกกับน้องอีกครั้งว่า
"พี่ไม่ได้ดุหรือว่าน้องนะครับ พี่ชื่นชมน้องที่ขยันช่วยแม่ขายของ น้องทำดีแล้ว แต่ต้องลองหาวิธีที่ดีกว่านี้อีกนิดนะ"
น้องก็พยักหน้า ยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วก็เดินไปขายที่ร้านอื่นต่อ
แต่เรายังสงสัยว่าอยู่ๆไปคุยกับน้องทำไม จึงถามแฟนต่อ เขาก็บอกว่า
"คือพี่บอกน้องเขาไปว่าไม่ได้ใช้ปากกา ไม่ซื้อได้มั้ย แต่พี่อยากช่วยก็เลยจะให้เงินน้อง 20 บาท แต่น้องเขาไม่รับ เขาบอกที่ห้างห้ามรับเงิน ไม่งั้นจะไม่ให้เข้ามาขายอีก น้องก็อ้อนให้พี่ช่วยซื้อ พี่ก็เลยจะช่วยซื้อแหละ แต่ก็อยากให้น้องเขาคิดวิธีใหม่ๆได้ด้วย"
ในระหว่างที่ทานข้าวไป คุยกันไป ก็เห็นน้องเดินสลับวิ่งไปมา เข้าไปขายของให้ลูกค้าคนอื่นๆในห้าง
ซึ่งที่เรานั่งสังเกตอยู่เป็น 10 คนเลยนะ แต่ก็ปฏิเสธหมด บางคนไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ
พอเห็นภาพนี้ทำให้เราคิดถึงตัวเองตอนเป็นเด็กมากๆค่ะ เพราะในวัยเด็กเราก็เคยเดินขายของคล้ายๆน้อง
"พี่ดูน้องสิ น่าสงสารอยู่นะ พยายามเดินขาย แต่ไม่ได้เลยอ่ะ เมื่อก่อนเด็กๆ หนูก็ช่วยแม่ขายของนะ"
"นี่น้องเขาก็บอกว่าแม่ให้มาขายเหมือนกัน แต่แม่เขาให้ขายแพงไปไง เลยขายไม่ค่อยได้"
--------
เราลองมานั่งคิดถึงวัยเด็กของเราค่ะ ตอนนั้นเราอยู่ ป.1 อายุประมาณ 6-7 ขวบ
เรากับพี่สาวสองคนหลังจากเลิกเรียนแล้ว ก็กลับมาที่ร้านช่วยแม่ขายของ
แม่ก็จะจัดรถเข็นใส่ดอกไม้ให้เต็มรถเข็นเล็กๆ และมีกระจาดใบใหญ่ใส่พวงมาลัย
เรากับพี่สาวก็จะช่วยกันเดินขายของไปตามหมู่บ้านและโรงพยาบาลบําราศนราดูร
ซึ่งเราก็ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันค่ะ เพราะไม่มีเวลากลับบ้านไปเปลี่ยนชุด
เดินเรียกลูกค้าในโรงพยาบาล เดินตะโกนขายตามซอยในหมู่บ้าน
ซึ่งเราขายดีมากค่ะ ขายหมดเกือบทุกวัน
มานั่งคิดๆดู จุดขายคืออะไร
1.เราเป็นเด็ก ใส่ชุดนักเรียน ดูขยัน เรียบร้อย อาจจะซื้อใจและเรียกร้องความเมตตาจากลูกค้าได้
2.สินค้าที่เราขายเป็นดอกไม้ ไหว้พระ ซึ่งเหมาะกับสถานที่ที่ไปขาย เช่น โรงพยาบาล มีคนใช้ไหว้เยอะมากๆ
3.ราคาสินค้าเราไม่ได้ชาร์จเพิ่ม ขายราคาปกติ บางทีก็ลดและแถมด้วย
4.เรากับพี่สาวพูดจาสุภาพ ยกมือไหว้สวัสดี ขอบคุณ กับลูกค้าตลอด
5.เราขายประจำเกือบทุกวัน ลูกค้าจึงมีความมั่นใจในสินค้า และรอที่จะซื้อกับเรา ไม่ต้องออกไปข้างนอกเอง
โดยในบางครั้งมีคุณหมอ พี่พยาบาล ช่วยอุดหนุน ให้เงินแถม ให้ขนม ให้เสื้อผ้าหรือของใช้อื่นๆด้วย
------
ซึ่งในปัจจุบันนี้ มีครอบครัวที่ทำการค้าขายแบบนี้เยอะมากนะคะ
อย่างเช่นถ้าเราไปนั่งทานหมูกระทะ หรือบุฟเฟ่ต์ที่ไหน ในเวลาประมาณ 2 ชม. จะต้องมีเด็กเดินมาขายอย่างน้อย 5-10 คน
โดยของที่ขายก็จะมี นมเปรี้ยว เกาลัด ขนมไทย ขนมปัง ตุ๊กตา โคมไฟ พวงกุญแจ ฯลฯ
บางเจ้าก็ชาร์จราคาขึ้น บางเจ้าก็ขายราคาปกติ แต่ส่วนมากจะโดนปฏิเสธกันเยอะ
มาคิดๆแล้ว การขายของทุกวันนี้ อาจจะต้องหาวิธีหรือช่องทางใหม่ๆ ที่จะเรียกลูกค้าได้
เพราะขายของแนวๆนี้ คนจะเริ่มรู้ทัน ไม่รับฟัง รีบปฏิเสธกันเลย
------
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เราคิดนะคะว่าแฟนเราไปยุ่งกับน้องเขาทำไม บางทีน้องเขาอาจจะคิดในใจว่า "ลำไย" ก็ได้ 555+
แต่เอาจริงๆ เราก็ว่าถ้าน้องเขาคิดตาม เขาอาจจะได้อะไรจากตรงนี้ ไปลองคุยกับแม่น้องดู และปรับวิธีการขายดู ซึ่งจะเป็นประโยชน์ก็ได้
ที่นำมาเล่าในครั้งนี้ก็แค่อยากแชร์ความรู้สึก รวมทั้งอยากฟังวิธีคิดจากเพื่อนๆด้วยค่ะ
เผื่อคนขายของผ่านมาอ่าน อาจจะได้ไอเดียดีๆ ไปปรับใช้
ขอบคุณที่ฟังเราเล่าจนจบนะคะ ^ ^