
เรื่อง เพื่อนร่วมทางตอนกลางคืน
บทประพันธ์ เกรียงศักดิ์-เจษฏา
…………………………………………………………………………………………………
เรื่องสั้น
เมื่อเวลาใกล้เลิกงาน นาฬิกาที่อยู่เหนือศีรษะของพนักงานหญิงแผนกบัญชีจะดังเตือนสติให้ทุกชีวิตที่เร่งกับงานได้รู้ว่าหมดเวลาการทำงานของวันนี้แล้ว แต่ด้วยหน้าที่และงานที่ล้นอยู่ แถมยังกองพะเนินบนโต๊ะและแฟ้มเอกสารทำให้พวกเธอทั้งหลายไม่สามารถปลีกตัวออกจากโต๊ะได้เลยแม้แต่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือ เข็ม หรือ เขมิกา หญิงสาววัยยี่สิบห้าปี ที่เธอเพิ่งได้ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกของบริษัทเอกชนแห่งนี้งานที่ล้นเหลือทำให้เธอต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาเกือบจะทุกวัน ก็งานบัญชีมันมีเยอะแยะ ทั้งเอกสาร ทั้งตรวจ ลงรายการ แถมต้องปิดงบทุกสิ้นเดือนของทุกเดือนอีกด้วย ทำให้เธอเองต้องอยู่ล่วงเวลา แต่เวลาเหล่านั้นบวกกับเงินเดือนที่พวกเธอได้รับ ก็มากโขอยู่ ภาระหน้าที่ ที่เหล่าพนักงานออฟฟิศจะต้องเจอในตอนต้นเดือน เงินหักจากบริษัทตามรายการต่างๆ ค่าเช่าบ้าน รถ น้ำไฟ โอ๊ยไหนจะซื้อเสื้อผ้า ไหนจะค่าจิปาถะอีกมากมาย รวมๆแล้วเงินเดือนที่เหลือแทบไม่พอยาไส้เลยแม้แต่น้อย
วันนี้ก็เช่นกันเป็นวันที่เธอและพวกเหล่าพนักงานจะต้องอยู่ล่วงเวลา
“พวกเรา จะอยู่กันถึงกี่โมง” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเวลาบอกเวลา สิบแปดนาฬิกาเข้าไปแล้ว”
“เอ ว่าแต่มีใครจะอยู่ดึกมั้ย” นันทิยา เอ่ยถามเพื่อน หลังจากคนที่ถามคนแรกกำลังรอคำตอบ เพื่อลงเวลางานล่วงเวลา “ฉันว่าอีกแป๊บจะกลับแล้ว”หนึ่งในนั้นบอก พลางก้มหน้าทำงานต่อ “นัน เธออยู่หรือเปล่า” เข็มหันมาถามเพื่อนที่เอ่ยถามทุกคน นันทิยา พยักหน้า “ฉันอยู่ด้วยนัน” เข็มบอก ก่อนที่จะมีหญิงสาวอีกสองสามคนทยอยบอกชื่อคนทำงานล่วงเวลาของค่ำคืนนี้
สายฝนที่ตกลงมายังไม่แรงมากนักเมื่อเทียบกับคืนก่อนๆที่เทกระจาดลงมาอย่างบ้าคลั่ง เขมิกาเดินที่ริมฟุตบาตข้างถนน ขนาดไม่ตกหนัก ท่อระบายน้ำที่อยู่หน้าที่ทำงานยังระบายไม่ทัน เมื่อสามคืนก่อน ฝนตกหนักวันนั้นหล่อนถือว่าตัวเองโชคร้าย เพราะเลิกงานตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง แต่กว่าจะได้กลับบ้าน ก็ปาไปสองทุ่ม
ก็หล่อนไม่มีรถเหมือนคนอื่นๆ หล่อนต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ออกไปรอรถที่อยู่บนถนนใหญ่ไกลออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร ค่ำวันนี้ก็เช่นกัน เวลาสองทุ่มที่หล่อนเลิกงาน นันทิยา อาสาไปส่งที่หน้าปากทางเข้าบริษัท แต่หล่อนเกรงใจเพื่อนสาวที่แฟนมารับ และที่สำคัญมันคือรถมอเตอร์ไซค์อีกต่างหาก จะให้หล่อนเบียดนั่งซ้อนสามคนไปได้ยังไงกัน คิดแล้วกลุ้มแทน
แสงไฟที่อยู่บนเสาไฟมันไม่สว่างเลยเพราะค่ำนั้นไม่มีดาวจรัสอยู่บนนภาแม้แต่ดวงเดียว หากหล่อนยังอยู่ที่บ้านเกิด บนฟ้านั้นคงมีดวงดาวระยิบระยับมากมาย ก็ในเมืองมันเจริญแสงไฟจากบ้านคน จากแหล่งชุมชนไม่ใช่หรือที่บดบังแสงจากดวงดาวที่ให้สว่างในยามค่ำ คิดแล้วคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนที่หล่อนพลัดมานานหลายปีตั้งแต่เรียนจบ ปวช. แล้วมาหางานทำในกรุงเทพ กว่า8ปีที่หล่อนมาหางานทำ และอยู่ที่กรุงเทพ พบคนมามากมาย ทั้งดีและไม่ดี หล่อนเปลี่ยนงานมาแล้วสามที่ เพราะปัจจัยด้านเงินเดือน และที่นี่หล่อนก็หวังว่าเงินเดือน สวัสดิการ และโบนัส คงจะไม่น้อยหน้าที่เก่าเป็นแน่ เมื่อหล่อนเห็นจำนวนเงินที่ ผู้จัดการส่งสลิปเงินเดือนล่าสุดให้หล่อน เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้
“เข็ม นี่จ้ะ เงินเดือน” ผู้จัดการส่งเอกสารสลิปเงินมาให้หล่อน ที่กำลังสาละวนกับการทำงานอยู่
“ขอบคุณค่ะพี่ดา” หล่อนรับมันมา แลเห็นสายตาของใครหลายคนจับจ้องมาที่สลิปนั้น เสมือนฝูงหมาป่าที่กำลังหิว มีใครหลายคนนอกแผนกบอกเธอว่า คนจะอิจฉาคนที่เงินเดือนสูงกว่า มันก็จริง เพราะตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาทำงานร่วมสามเดือน เธอมีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คุยกันรู้เรื่อง นั่นก็คือนันทิยา นอกนั้นก็เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น สายตานั้นถูกลดต่ำลงไป เมื่อพี่ดา วาดสายตามองทุกคนที่กำลังจ้องเด็กใหม่อย่างเข็ม พี่ดามอง รู้ทัน จึงกอดอก แล้วทำตัวเหมือนครูใหญ่ เดินผ่านพนักงานทุกคนไป ด้วยกิริยาเย็นสงบ
แอร์ที่ทำงานวันนี้มันดูหนาวกว่าปกติ ไม่รู้เป็นเพราะอาการเย็นเยียบของผู้จัดการด้วยหรือไม่ ทำให้พวกนกสอดรู้ ต้องเงียบกริบกัน แต่พอไล่หลัง หล่อน หล่อน และก็หล่อน ก็สุมหัวกันนินทา เขมิกาอยู่เรื่อย
นานเท่าใดแล้วที่เขมิกายืนรอรถ หล่อนยังไม่ได้ออกไปรอที่ปากทางเลย ไม่มีวิน มาซักคัน ปกติ ไอ้รถสองแถวที่แล่นมันจะมาเวลานี้ด้วยนะ แต่ทำไมวันนี้มันไม่มา นาฬิกาข้อมือของเขมิกา บอกเวลา สองทุ่มสี่สิบห้า รถสองแถวคันสุดท้ายของวิน แล่นผ่านหน้าบริษัทที่เธอทำงาน แต่มันเป็นคันสุดท้ายที่แน่นมาก
“โอ๊ย เบียดกันจะตายแล้ว จะรับคนอีกหรือไง” ใครคนหนึ่งตะโกนก้องออกมาจากรถด้านใน ก็จริงอย่างที่เขาว่า คนมันแน่นจนคนในรถสองแถวด้านในแทบหายใจไม่ออก ยืนออกมาจนรถด้านหน้ากระดกขึ้นจนน่ากลัว และแล้ว เขมิกาก็ตัดสินใจไม่ไป รถสองแถวคันสุดท้ายของวิน ออกไปแล้ว มันลับสายตาไปพร้อมกับความมืดที่ปกคลุมเข้ามาเรื่อยๆ
ดีที่ทำงานของเธอมันไม่ได้ทุรกันดารมากนัก ยังพอมีร้านสะดวกซื้อชื่อดังของเมืองไทยอยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกลนัก หล่อนเดินหน้ามุ่ยเข้าไปหลบละอองฝนที่ตอนนี้เริ่มพัดมาและอีกสิบนาที มันก็กลายเป็นฝนเม็ดใหญ่ที่แผ่ซ่านตกลงมาอย่างกับพายุ
“พี่ๆหลบในนี้ก่อนได้ ออกไปเดี๋ยวเปียกนะพี่” พนักงานชายที่กำลังถูพื้นบอกหล่อน เมื่อเห็นว่า เขมิกากำลังเดินออกไปจากร้าน หล่อนหยุดเดินแล้วถอยหลังกลับมายืนในร้านต่อไป อีกร่วมชั่วโมง ฝนบ้าอะไรดันมาตกเวลานี้ ซวยจริงๆ
เมื่อมันหยุดตกแล้ว ละอองฝนก็กลับมา เม็ดเล็กๆทำให้เป็นหวัดได้ วินรถมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้ๆไม่มีรถเลยซักคัน เห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับหล่อนอีกสามคน เป็นพนักงานของบริษัทใกล้เคียง ยืนรอรถอยู่ ถ้าตอนนั้นเขมิกาตัดสินใจที่จะนั่งรถสองแถวคันปลากระป๋องสามแม่ผัว เอ๊ย สามแม่ครัวแล้วล่ะก็ เธอคงไม่ต้องมายืนรอรถนานๆหรอก แถมโชคไม่เข้าข้างเธอเลยแม้แต่นิด
สามสาวที่ยืนรอรถ ได้นั่งรถวินที่มาพร้อมกันสามคันออกไปถนนใหญ่แล้ว เหลือแต่เธอเพียงคนเดียว เขมิกาตัดสินใจที่จะเดินออกไป ดีกว่ารอรถนานและก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะขับวนมารับเธอ สู้เดินออกไปดีกว่า เพราะแสงไฟจากเสาไฟก็ยังสาดส่องลงมาอยู่พอมองเห็นทางได้บ้าง
“ไปไหมครับคุณ” เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง เธอหันมองแลเห็นรถมอเตอร์ไซค์ ขับมาเทียบใกล้ๆกับเธอ เสื้อสีส้มที่บ่งบอกว่าเป็นวินรับจ้างทำให้เธอโล่งไปเปลาะหนึ่ง
“ไปหน้าปากซอย” เธอบอกพร้อมขยับขึ้นซ้อนท้ายรถอย่างเร่งๆ
“ครับ” เสียงนั้นเย็นยะเยียบจนน่ากลัว บรรยากาศของค่ำคืนละอองเม็ดฝนที่หล่นลงมาจากฟ้า และอากาศที่เย็นกว่าคืนก่อนๆ อาจจะเป็นเพราะกำลังย่างเข้าสู่หน้าหนาวแล้วก็เป็นได้ เขมิกา มองสำรวจรอบกายคนขับ ที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เธอเห็นสายตาของเขามองผ่านมาทางกระจกส่องหลัง ภายใต้หมวกกันน็อค สายตานั้นเห็นว่ากำลังจ้องมองเธออยู่ อีกไกลไหมหนอ ที่เธอจะถึงปลายทาง สองข้างทางเป็นร้านตึกอาคารเก่า อาคารใหม่ที่เรียงเป็นระเบียบ มองไปอีกไม่ไกล เห็นต้นตาล ต้นไม้ใหญ่ที่ไหวเอนไปตามแรงลมมันเหมือนผีเปรตที่กำลังโยกย้ายเยื้อนกายมาหาพร้อมกับเสียงวิเวกดังแว่วๆแต่ไกล
เขมิกากอดเอวชายคนนั้นไว้เมื่อร่างของเธอจะขยับตกลงไป อาการกลัวความเร็วแล่นมาแปล๊บในจิตใต้สำนึก กลิ่นกายของเขา เหมือนใครคนนั้น
“หนาวหรอ” เสียงจากใต้สำนึกแว่วมาจากแดนไกล มันคือเสียงของคนที่เธอรอคอยเขามานาน
การหายไปของเธอและเขา เหมือนจากกันโดยไม่มีวันได้พบกันอีก แต่เหตุไฉนเล่าทำไมวันนี้เธอหวนรำพึงถึงเขาอีกได้ ใจของเธอเต้นแรงขึ้น เมื่อรถเลี้ยวโค้งตรงทางแยกมีเเสงไฟพวยพุ่งจากอีกฟาก รถเบรกดังเอี๊ยด รถญี่ปุ่นนั้นเหยียบเบรกกะทันหันทันเวลา รถของเธอแล่นสวนผ่านไป พร้อมกับคำสบถด่าไล่หลังของรถคันนั้นว่า “ไอ้

จะขับไปตายรึไง”
ระลึกไปเมื่อครั้งก่อน เขาก็เหมือนรถที่เธอนั่ง ชอบความเร็ว เธอไม่เคยซ้อนท้ายเขาเลย เพราะมีคู่รักอยู่แล้ว แต่เขาให้ความหวังเธอ ความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง แล้วเธอจะคิดถึงห้วงเวลานั้นทำไมกันเล่าในเมื่อคิดแล้วมีแต่ความขมขื่นในจิตใจ ทุกชีวิตต้องดำเนินต่อไป
รถมาจอดที่หน้าปากซอย วินทยอยกันออกไปรับผู้โดยสารที่ตกค้าง ข้ามฝั่งอีกฟากเป็นถนนที่เธอต้องข้ามไปขึ้นรถประจำทาง เธอจ่ายเงิน แต่แอบลอบมองชายหนุ่มที่ขับวินมาส่งเธอ ใบหน้าของเขาช่างคล้าย เอ…..?จะใช่ไหมหนอ
“เงินทอน” ชายหนุ่มนั้นหลบตาต่ำเมื่อรู้ว่าผู้โดยสารสาวจ้อง ชายหนุ่มผมยาวประบ่าหล่อนเพิ่งสังเกตเห็นว่าชายคนนั้นมีผมยาว เรียวหน้าไข่ ผิวขาว เหมือนกับคนที่หล่อนรู้จัก ชายหนุ่มหันรถแล้วขับกลับไปที่ซอยนั้นอีกครั้ง ทิ้งไว้ให้เธอระคนสงสัยเป็นนิจว่า นั่นใช่เขาหรือไม่
หากย้อนกลับไป เขมิกาเองคงไม่เดินออกมาจากชีวิตของเขาหรอก เมื่อเธอพบว่าเขามีคู่หมายอยู่แล้ว ในวัยนั้น เธอยังเดียงสา เขาไม่น่าที่จะให้ความหวังกับเธอเลยแม้แต่น้อย การหายไปของเขา เธอหายไปจากชีวิตเขา แต่เขาไม่เคยหายไปจากใจเธอเลย เวลาล่วงหลายปี ชีวิตของเธอและเขาเสมือนบรรจงถูกขีดเขียนให้เดินเป็นเส้นขนาน เดินไปพร้อมกันแต่ไม่มีวันบรรจบกันได้
สายหมอกยามค่ำที่ถนนอีกฟาก ด้านหลังมันคือป่ารกที่รอคอยคนมาถางออก เธอนั่งรอรถประจำทางในใจครุ่นคิดถึงชายหนุ่มคนนั้นภายใต้หมวกกันน็อค จะใช่เขาหรือไม่ หรือเธอจะคิดมากไปเอง คนมีเป็นร้อยเป็นพันคนอาจจะเหมือนกันก็ได้ เมื่อเห็นว่ารถประจำทางที่เธอต้องไปขับผ่านมา เขมิกาก็เยื้อนกายขึ้นไป พร้อมกับทิ้งปริศนาว่า เขาใช่คนที่เธอคิดถึงหรือไม่ และเธอได้พบเขาแล้วหรือเปล่า ?
จบ
เรื่องสั้น "เพื่อนร่วมทางตอนกลางคืน"
บทประพันธ์ เกรียงศักดิ์-เจษฏา
…………………………………………………………………………………………………
เรื่องสั้น
เมื่อเวลาใกล้เลิกงาน นาฬิกาที่อยู่เหนือศีรษะของพนักงานหญิงแผนกบัญชีจะดังเตือนสติให้ทุกชีวิตที่เร่งกับงานได้รู้ว่าหมดเวลาการทำงานของวันนี้แล้ว แต่ด้วยหน้าที่และงานที่ล้นอยู่ แถมยังกองพะเนินบนโต๊ะและแฟ้มเอกสารทำให้พวกเธอทั้งหลายไม่สามารถปลีกตัวออกจากโต๊ะได้เลยแม้แต่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือ เข็ม หรือ เขมิกา หญิงสาววัยยี่สิบห้าปี ที่เธอเพิ่งได้ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกของบริษัทเอกชนแห่งนี้งานที่ล้นเหลือทำให้เธอต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาเกือบจะทุกวัน ก็งานบัญชีมันมีเยอะแยะ ทั้งเอกสาร ทั้งตรวจ ลงรายการ แถมต้องปิดงบทุกสิ้นเดือนของทุกเดือนอีกด้วย ทำให้เธอเองต้องอยู่ล่วงเวลา แต่เวลาเหล่านั้นบวกกับเงินเดือนที่พวกเธอได้รับ ก็มากโขอยู่ ภาระหน้าที่ ที่เหล่าพนักงานออฟฟิศจะต้องเจอในตอนต้นเดือน เงินหักจากบริษัทตามรายการต่างๆ ค่าเช่าบ้าน รถ น้ำไฟ โอ๊ยไหนจะซื้อเสื้อผ้า ไหนจะค่าจิปาถะอีกมากมาย รวมๆแล้วเงินเดือนที่เหลือแทบไม่พอยาไส้เลยแม้แต่น้อย
วันนี้ก็เช่นกันเป็นวันที่เธอและพวกเหล่าพนักงานจะต้องอยู่ล่วงเวลา
“พวกเรา จะอยู่กันถึงกี่โมง” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเวลาบอกเวลา สิบแปดนาฬิกาเข้าไปแล้ว”
“เอ ว่าแต่มีใครจะอยู่ดึกมั้ย” นันทิยา เอ่ยถามเพื่อน หลังจากคนที่ถามคนแรกกำลังรอคำตอบ เพื่อลงเวลางานล่วงเวลา “ฉันว่าอีกแป๊บจะกลับแล้ว”หนึ่งในนั้นบอก พลางก้มหน้าทำงานต่อ “นัน เธออยู่หรือเปล่า” เข็มหันมาถามเพื่อนที่เอ่ยถามทุกคน นันทิยา พยักหน้า “ฉันอยู่ด้วยนัน” เข็มบอก ก่อนที่จะมีหญิงสาวอีกสองสามคนทยอยบอกชื่อคนทำงานล่วงเวลาของค่ำคืนนี้
สายฝนที่ตกลงมายังไม่แรงมากนักเมื่อเทียบกับคืนก่อนๆที่เทกระจาดลงมาอย่างบ้าคลั่ง เขมิกาเดินที่ริมฟุตบาตข้างถนน ขนาดไม่ตกหนัก ท่อระบายน้ำที่อยู่หน้าที่ทำงานยังระบายไม่ทัน เมื่อสามคืนก่อน ฝนตกหนักวันนั้นหล่อนถือว่าตัวเองโชคร้าย เพราะเลิกงานตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง แต่กว่าจะได้กลับบ้าน ก็ปาไปสองทุ่ม
ก็หล่อนไม่มีรถเหมือนคนอื่นๆ หล่อนต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ออกไปรอรถที่อยู่บนถนนใหญ่ไกลออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร ค่ำวันนี้ก็เช่นกัน เวลาสองทุ่มที่หล่อนเลิกงาน นันทิยา อาสาไปส่งที่หน้าปากทางเข้าบริษัท แต่หล่อนเกรงใจเพื่อนสาวที่แฟนมารับ และที่สำคัญมันคือรถมอเตอร์ไซค์อีกต่างหาก จะให้หล่อนเบียดนั่งซ้อนสามคนไปได้ยังไงกัน คิดแล้วกลุ้มแทน
แสงไฟที่อยู่บนเสาไฟมันไม่สว่างเลยเพราะค่ำนั้นไม่มีดาวจรัสอยู่บนนภาแม้แต่ดวงเดียว หากหล่อนยังอยู่ที่บ้านเกิด บนฟ้านั้นคงมีดวงดาวระยิบระยับมากมาย ก็ในเมืองมันเจริญแสงไฟจากบ้านคน จากแหล่งชุมชนไม่ใช่หรือที่บดบังแสงจากดวงดาวที่ให้สว่างในยามค่ำ คิดแล้วคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนที่หล่อนพลัดมานานหลายปีตั้งแต่เรียนจบ ปวช. แล้วมาหางานทำในกรุงเทพ กว่า8ปีที่หล่อนมาหางานทำ และอยู่ที่กรุงเทพ พบคนมามากมาย ทั้งดีและไม่ดี หล่อนเปลี่ยนงานมาแล้วสามที่ เพราะปัจจัยด้านเงินเดือน และที่นี่หล่อนก็หวังว่าเงินเดือน สวัสดิการ และโบนัส คงจะไม่น้อยหน้าที่เก่าเป็นแน่ เมื่อหล่อนเห็นจำนวนเงินที่ ผู้จัดการส่งสลิปเงินเดือนล่าสุดให้หล่อน เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้
“เข็ม นี่จ้ะ เงินเดือน” ผู้จัดการส่งเอกสารสลิปเงินมาให้หล่อน ที่กำลังสาละวนกับการทำงานอยู่
“ขอบคุณค่ะพี่ดา” หล่อนรับมันมา แลเห็นสายตาของใครหลายคนจับจ้องมาที่สลิปนั้น เสมือนฝูงหมาป่าที่กำลังหิว มีใครหลายคนนอกแผนกบอกเธอว่า คนจะอิจฉาคนที่เงินเดือนสูงกว่า มันก็จริง เพราะตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาทำงานร่วมสามเดือน เธอมีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คุยกันรู้เรื่อง นั่นก็คือนันทิยา นอกนั้นก็เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น สายตานั้นถูกลดต่ำลงไป เมื่อพี่ดา วาดสายตามองทุกคนที่กำลังจ้องเด็กใหม่อย่างเข็ม พี่ดามอง รู้ทัน จึงกอดอก แล้วทำตัวเหมือนครูใหญ่ เดินผ่านพนักงานทุกคนไป ด้วยกิริยาเย็นสงบ
แอร์ที่ทำงานวันนี้มันดูหนาวกว่าปกติ ไม่รู้เป็นเพราะอาการเย็นเยียบของผู้จัดการด้วยหรือไม่ ทำให้พวกนกสอดรู้ ต้องเงียบกริบกัน แต่พอไล่หลัง หล่อน หล่อน และก็หล่อน ก็สุมหัวกันนินทา เขมิกาอยู่เรื่อย
นานเท่าใดแล้วที่เขมิกายืนรอรถ หล่อนยังไม่ได้ออกไปรอที่ปากทางเลย ไม่มีวิน มาซักคัน ปกติ ไอ้รถสองแถวที่แล่นมันจะมาเวลานี้ด้วยนะ แต่ทำไมวันนี้มันไม่มา นาฬิกาข้อมือของเขมิกา บอกเวลา สองทุ่มสี่สิบห้า รถสองแถวคันสุดท้ายของวิน แล่นผ่านหน้าบริษัทที่เธอทำงาน แต่มันเป็นคันสุดท้ายที่แน่นมาก
“โอ๊ย เบียดกันจะตายแล้ว จะรับคนอีกหรือไง” ใครคนหนึ่งตะโกนก้องออกมาจากรถด้านใน ก็จริงอย่างที่เขาว่า คนมันแน่นจนคนในรถสองแถวด้านในแทบหายใจไม่ออก ยืนออกมาจนรถด้านหน้ากระดกขึ้นจนน่ากลัว และแล้ว เขมิกาก็ตัดสินใจไม่ไป รถสองแถวคันสุดท้ายของวิน ออกไปแล้ว มันลับสายตาไปพร้อมกับความมืดที่ปกคลุมเข้ามาเรื่อยๆ
ดีที่ทำงานของเธอมันไม่ได้ทุรกันดารมากนัก ยังพอมีร้านสะดวกซื้อชื่อดังของเมืองไทยอยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกลนัก หล่อนเดินหน้ามุ่ยเข้าไปหลบละอองฝนที่ตอนนี้เริ่มพัดมาและอีกสิบนาที มันก็กลายเป็นฝนเม็ดใหญ่ที่แผ่ซ่านตกลงมาอย่างกับพายุ
“พี่ๆหลบในนี้ก่อนได้ ออกไปเดี๋ยวเปียกนะพี่” พนักงานชายที่กำลังถูพื้นบอกหล่อน เมื่อเห็นว่า เขมิกากำลังเดินออกไปจากร้าน หล่อนหยุดเดินแล้วถอยหลังกลับมายืนในร้านต่อไป อีกร่วมชั่วโมง ฝนบ้าอะไรดันมาตกเวลานี้ ซวยจริงๆ
เมื่อมันหยุดตกแล้ว ละอองฝนก็กลับมา เม็ดเล็กๆทำให้เป็นหวัดได้ วินรถมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้ๆไม่มีรถเลยซักคัน เห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับหล่อนอีกสามคน เป็นพนักงานของบริษัทใกล้เคียง ยืนรอรถอยู่ ถ้าตอนนั้นเขมิกาตัดสินใจที่จะนั่งรถสองแถวคันปลากระป๋องสามแม่ผัว เอ๊ย สามแม่ครัวแล้วล่ะก็ เธอคงไม่ต้องมายืนรอรถนานๆหรอก แถมโชคไม่เข้าข้างเธอเลยแม้แต่นิด
สามสาวที่ยืนรอรถ ได้นั่งรถวินที่มาพร้อมกันสามคันออกไปถนนใหญ่แล้ว เหลือแต่เธอเพียงคนเดียว เขมิกาตัดสินใจที่จะเดินออกไป ดีกว่ารอรถนานและก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะขับวนมารับเธอ สู้เดินออกไปดีกว่า เพราะแสงไฟจากเสาไฟก็ยังสาดส่องลงมาอยู่พอมองเห็นทางได้บ้าง
“ไปไหมครับคุณ” เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง เธอหันมองแลเห็นรถมอเตอร์ไซค์ ขับมาเทียบใกล้ๆกับเธอ เสื้อสีส้มที่บ่งบอกว่าเป็นวินรับจ้างทำให้เธอโล่งไปเปลาะหนึ่ง
“ไปหน้าปากซอย” เธอบอกพร้อมขยับขึ้นซ้อนท้ายรถอย่างเร่งๆ
“ครับ” เสียงนั้นเย็นยะเยียบจนน่ากลัว บรรยากาศของค่ำคืนละอองเม็ดฝนที่หล่นลงมาจากฟ้า และอากาศที่เย็นกว่าคืนก่อนๆ อาจจะเป็นเพราะกำลังย่างเข้าสู่หน้าหนาวแล้วก็เป็นได้ เขมิกา มองสำรวจรอบกายคนขับ ที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เธอเห็นสายตาของเขามองผ่านมาทางกระจกส่องหลัง ภายใต้หมวกกันน็อค สายตานั้นเห็นว่ากำลังจ้องมองเธออยู่ อีกไกลไหมหนอ ที่เธอจะถึงปลายทาง สองข้างทางเป็นร้านตึกอาคารเก่า อาคารใหม่ที่เรียงเป็นระเบียบ มองไปอีกไม่ไกล เห็นต้นตาล ต้นไม้ใหญ่ที่ไหวเอนไปตามแรงลมมันเหมือนผีเปรตที่กำลังโยกย้ายเยื้อนกายมาหาพร้อมกับเสียงวิเวกดังแว่วๆแต่ไกล
เขมิกากอดเอวชายคนนั้นไว้เมื่อร่างของเธอจะขยับตกลงไป อาการกลัวความเร็วแล่นมาแปล๊บในจิตใต้สำนึก กลิ่นกายของเขา เหมือนใครคนนั้น
“หนาวหรอ” เสียงจากใต้สำนึกแว่วมาจากแดนไกล มันคือเสียงของคนที่เธอรอคอยเขามานาน
การหายไปของเธอและเขา เหมือนจากกันโดยไม่มีวันได้พบกันอีก แต่เหตุไฉนเล่าทำไมวันนี้เธอหวนรำพึงถึงเขาอีกได้ ใจของเธอเต้นแรงขึ้น เมื่อรถเลี้ยวโค้งตรงทางแยกมีเเสงไฟพวยพุ่งจากอีกฟาก รถเบรกดังเอี๊ยด รถญี่ปุ่นนั้นเหยียบเบรกกะทันหันทันเวลา รถของเธอแล่นสวนผ่านไป พร้อมกับคำสบถด่าไล่หลังของรถคันนั้นว่า “ไอ้
ระลึกไปเมื่อครั้งก่อน เขาก็เหมือนรถที่เธอนั่ง ชอบความเร็ว เธอไม่เคยซ้อนท้ายเขาเลย เพราะมีคู่รักอยู่แล้ว แต่เขาให้ความหวังเธอ ความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง แล้วเธอจะคิดถึงห้วงเวลานั้นทำไมกันเล่าในเมื่อคิดแล้วมีแต่ความขมขื่นในจิตใจ ทุกชีวิตต้องดำเนินต่อไป
รถมาจอดที่หน้าปากซอย วินทยอยกันออกไปรับผู้โดยสารที่ตกค้าง ข้ามฝั่งอีกฟากเป็นถนนที่เธอต้องข้ามไปขึ้นรถประจำทาง เธอจ่ายเงิน แต่แอบลอบมองชายหนุ่มที่ขับวินมาส่งเธอ ใบหน้าของเขาช่างคล้าย เอ…..?จะใช่ไหมหนอ
“เงินทอน” ชายหนุ่มนั้นหลบตาต่ำเมื่อรู้ว่าผู้โดยสารสาวจ้อง ชายหนุ่มผมยาวประบ่าหล่อนเพิ่งสังเกตเห็นว่าชายคนนั้นมีผมยาว เรียวหน้าไข่ ผิวขาว เหมือนกับคนที่หล่อนรู้จัก ชายหนุ่มหันรถแล้วขับกลับไปที่ซอยนั้นอีกครั้ง ทิ้งไว้ให้เธอระคนสงสัยเป็นนิจว่า นั่นใช่เขาหรือไม่
หากย้อนกลับไป เขมิกาเองคงไม่เดินออกมาจากชีวิตของเขาหรอก เมื่อเธอพบว่าเขามีคู่หมายอยู่แล้ว ในวัยนั้น เธอยังเดียงสา เขาไม่น่าที่จะให้ความหวังกับเธอเลยแม้แต่น้อย การหายไปของเขา เธอหายไปจากชีวิตเขา แต่เขาไม่เคยหายไปจากใจเธอเลย เวลาล่วงหลายปี ชีวิตของเธอและเขาเสมือนบรรจงถูกขีดเขียนให้เดินเป็นเส้นขนาน เดินไปพร้อมกันแต่ไม่มีวันบรรจบกันได้
สายหมอกยามค่ำที่ถนนอีกฟาก ด้านหลังมันคือป่ารกที่รอคอยคนมาถางออก เธอนั่งรอรถประจำทางในใจครุ่นคิดถึงชายหนุ่มคนนั้นภายใต้หมวกกันน็อค จะใช่เขาหรือไม่ หรือเธอจะคิดมากไปเอง คนมีเป็นร้อยเป็นพันคนอาจจะเหมือนกันก็ได้ เมื่อเห็นว่ารถประจำทางที่เธอต้องไปขับผ่านมา เขมิกาก็เยื้อนกายขึ้นไป พร้อมกับทิ้งปริศนาว่า เขาใช่คนที่เธอคิดถึงหรือไม่ และเธอได้พบเขาแล้วหรือเปล่า ?
จบ