..........( อารมณ์ ที่ซ่อนอยู่ )..........
..........ร้านกาแฟลุงไฉน อยู่ริมตลิ่งตรงข้ามมุมรั้ววัดใหญ่พอดี ลานดินกว้างหน้าบ้านมีหลังคายื่นออกมา เป็นบริเวณที่ตั้งโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ ไว้ด้านขวามือ สำหรับวางชั้นแก้ว และเครื่องกาแฟทั้งหมด ช่องกลางเว้นไว้เดินไปด้านติดแม่น้ำ
ด้านซ้ายเป็นกองแกลบเอาไว้หมกน้ำแข็ง คู่กับขอนไม้กลมขนาดคนโอบหลวม ๆ ตั้งรองรับลังไม้หนาหนัก ข้าง ๆ ลังยังมีที่ว่างไว้วางไม้ทุบน้ำแข็ง มีด้านจับพอดีมือกำ หัวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างประมาณฝ่ามือ ถ้ามีคนสั่งโอเลี้ยงหรือกาแฟเย็น เสียงทุบน้ำแข็งจะดังขึ้นเป็นที่รู้กัน ส่วนใหญ่จะดังบ่อยในตอน สาย ๆ เพราะตอนเช้า ลูกค้าจะสั่งชา หรือกาแฟร้อน ๆ
ร้านของลุง เป็นทั้งที่ขายของและที่อยู่อาศัยด้วย ถ้าจะเรียกบ้าน ก็คงไม่ผิด พื้นทำด้วยไม้กระดาน ปูยาวไปทางแม่น้ำ วางราบระดับเดียวกับถนน ดังนั้น เสาทางด้านแม่น้ำจึงสูงมาก ถ้ายืนมองจากรั้วลูกกรงลงไป ก็จะสูงจากตลิ่ง จนน่าหวาดเสียว
บ้านตามริมแม่น้ำก็สร้างเหมือนกันนี้ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ลงไปต่ำกว่า และเป็นหลังเล็ก ๆ แค่พอนอนได้สองถึงสามคน ในแม่น้ำสองฝั่งก็จะมีเรือนแพ เรียงยาวไปหลายสิบหลัง มีหลังคาเป็นสังกะสี และทุ่นที่เป็นไม้ไผ่ลำใหญ่ มัดรวมกันประมาณห้าสิบลำ ขึ้นอยู่กับขนาดไม้ วางรองรับตามยาวสองด้าน ซ้ายขวาของแพ ด้านละมัด เว้นช่องกลางไว้เพื่อลดแรงต้านของน้ำ
ฝาเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้ฝาแผ่นบาง ๆ สีแดงมั่ง สีโอ๊คมั่ง นานไปก็จะเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนกัน เนื่องจากกรำแดด กรำฝนมาเป็นแรมปี ริมตลิ่งของใครของมันก็จะปลูกผักต่าง ๆ เอาไว้กินเอง จึงมีไม่มากนัก แต่หลากหลายชนิด หลัก ๆ คือ พริก กระเพรา โหระพา ตะไคร้ กล้วย มะละกอ บางคนก็จะมีต้นแค มะกรูด เพิ่มขึ้นมา และที่ขาดไม่ได้ คือร้านไม้ไผ่หยาบ ๆ สูงแค่หน้าอก เอาไว้วางกระด้งตากปลา ที่มีให้เห็นอยู่แทบทุกครัวเรือน
ชายน้ำริมตลิ่งจะมีแพเล็ก ๆ ลอยอยู่ บนนั้นจะมีสะระแหน่ ผักกระเฉด ผักบุ้ง ทอดยอดกระจายอยู่รอบแพ ยืนริมน้ำจะเห็นพืชผักสีเขียว กระด้งปลาเกลือ และวิถีชีวิตชาวแพ ยาวไปตลอดแนวฝั่งมองแล้วเพลินตา
เสียงกลองในวัดดังชัดเจนนับได้แปดครั้ง แสดงถึงเวลาของวันอาทิตย์ที่เริ่มสาย แต่โต๊ะหน้าร้านก็ยังมีลูกค้าประจำ นั่งปักหลักอยู่หลายคน คุยกันไปด้วยความเพลิดเพลิน ต่างไม่รีบร้อน เพราะเป็นวันหยุดสบาย ๆ
แทบจะสิ้นเสียงกลองพอดี ก็มีเสียงเด็กเล็กมั่งโตมั่ง คุยกันฟังจับใจความไม่ได้ใกล้เข้ามา
กลุ่มเด็กขายนกปล่อย หน้าวัดสี่ห้าคน วิ่งตามกันมาด้วยความร้อนรน จนกระทั่งผ่านมาทางหน้าร้าน ตาชุ่มร้องถามทำนองทักทาย “ไปไงกันเล่า”
“คนตาย ลอยน้ำมา ตา” เจ้าออดวิ่งรั้งท้ายหันมาพูดหอบ ๆ ก่อนไล่ตามพวกไปทางวัดน้อย ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปประมาณแปดร้อยเมตร มองไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นหน้าค่าย เห็นคนชี้ไม้ชี้มือไปกลางแม่น้ำ มีกลุ่มผักตบพุ่มโต ลอยตามน้ำมาช้า ๆ ไกลขนาดนี้ยังมองเห็นแมลงกลุ่มใหญ่บินวนอยู่ เดาว่าน่าจะเป็นแมลงวัน
วงสนทนาเริ่มตื่นตัว หลังจากที่นั่งกันมาตั้งแต่เช้าตรู่ จนไม่รู้จะคุยอะไรกันแล้ว “คนสมัยนี้ขี้ใจน้อย” ตาชุ่มเอ่ยขึ้นก่อน “เอะอะก็หนีปัญหากันง่าย ๆ” “อาจจะโดนทำร้ายก็ได้” ตาดำออกความเห็น “เป็นไปได้” ตาชุ่ม ยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนวางแก้วลง “แต่ข่าวมันไม่ถี่เหมือนโดดน้ำ มีกันปีละหนสองหน” คนอื่น ๆ พยักหน้าท่าทางเห็นด้วย “ส่วนมากเป็นสาว ๆ” ผู้เฒ่าแถมท้ายให้อีกหน่อย
เรือหางยาวแล่นช้า ๆ มาจากทางเหนือ ตาชุ่มลุกเดินไปเกาะราวลูกกรงด้านแม่น้ำตะโกนถาม “ผู้หญิงรึผู้ชายเล่า ทิดน้อย” “ไม่รู้สิตา เห็นแต่ท้องเป่ง ๆ ผักตบมันบัง” เจ้าหนุ่มเบาเครื่องเรือก่อนตะโกนตอบมา แล้วก็เร่งไปต่อ ผู้เฒ่าเดินกลับมาที่โต๊ะ ท่าทางภูมิใจที่ได้ข่าวมาต่อยอด “ผู้หญิง สงสัยจะท้องด้วย” คนที่นั่งอยู่ก็ได้ยินเสียงเจ้าหนุ่มแว่ว ๆ ว่าท้อง ๆ นี่แหละ ต่างพากันสลดใจ ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าคนตายเป็นใคร “เฮ้อ ใครเป็นพ่อเป็นแม่ รู้เข้าจะเป็นไงนะ” ทั้งโต๊ะต่างนั่งนิ่ง
น้ำบริเวณนี้ไหลไม่แรงนัก ช่วงโค้งก็วนช้าลงไปอีก คนสองฝั่งเดินตามกอผักตบมาเรื่อย ๆ ที่อยู่ตามแพก็ออกมาชะเง้อดู แต่มองไม่ถนัด แพกับแม่น้ำ มันระดับเดียวกัน จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงชีวิตคน ที่พ่อแม่ต้องลำบากตรากตรำ ทำมาหากิน เลี้ยงดู ทะนุถนอม กว่าจะโตมาได้ขนาดนี้
บนฝั่งก็ตะโกนคุยกัน ถึงส่วนที่พ้นกอผักตบขึ้นมา ต่างเดากันว่า น่าจะเป็นส่วนท้อง และเป็นท้องที่โตกว่าปกติ ไม่รู้ว่าบวมอืดเพราะน้ำหรือแก๊ส แต่ก็ได้แค่เดินตามดูแล้วคุยกันไปมา ยังหาคนที่ใจกล้าว่ายไปลากเข้าฝั่งไม่ได้
ลูกค้าร้านกาแฟ ที่เหลืออยู่สี่ห้าคน ได้ย้ายไปด้านแม่น้ำกันหมด บางคนยืนเอามือท้าวราวลูกกรง ซึ่งสูงแค่เอว บ้างก็หันเก้าอี้ออก นั่งเอาแขนวาง มองไปทางกอผักตบที่เห็นไกล ๆ คนที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปธุระต่อ ก็เปลี่ยนใจ รอดูไปกับเขา เก็บข้อมูลให้ถึงนาทีสุดท้าย
คนสองฝั่งทยอยกันมามากขึ้นกว่าเดิม เด็ก ๆ เกาะกลุ่มกัน เดินตามมาเรื่อย ๆ ตาจ้องด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ไม่บ่อยนักที่จะมีเรื่องตื่นเต้น ผ่านมาในสายน้ำนี้ คนที่อยู่ตามแพทิ้งงานซักผ้า ตากปลา มานั่งลุ้นกันติดแม่น้ำ
เรือตากล่ำกลับจากลอยข่าย แล่นทวนน้ำลอดสะพานมาช้า ๆ คนบนแพตะโกนโหวกเหวก ชี้มือขึ้นเหนือไปประมาณห้าร้อยเมตร กลุ่มคนทั้งสองฝั่ง พากันโบกมือให้แก ทำสัญญาณไปที่กลางแม่น้ำ แกจึงเบนหัวเรือไปทางกอผักตบนั้น ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ ที่มองสลับกันไปมา ระหว่างเรือหางยาว กับพุ่มไม้น้ำสีเขียว ที่ซ่อนร่างปริศนาไว้
เรือแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ น้ำด้านท้ายแหวกเป็นทาง และค่อย ๆ แผ่กว้างขึ้น เป็นคลื่นลูกเล็ก ๆ วิ่งกระทบเรือนแพโคลงไปมา เพิ่มความระทึกให้กับคนบนแพแต่ละหลัง หัวเรือพุ่งใกล้เข้าไป ผ่านร้านกาแฟ คนยืนเกาะราวลูกกรงตอนนี้มีนับสิบ ต่างมองตามเรือตาแทบไม่กระพริบ เด็กเล็กยืนจับมือกันแน่นจ้องดูนิ่ง เด็กโตกว่ายืนอยู่ข้าง ๆ เอามือจับไหล่ไว้ ลุ้นเรือที่ใกล้ถึงที่หมาย
ตากล่ำเบาเครื่องเรือ แล้วเอาพายราน้ำช่วยชะลออีกแรง ทุกคนแทบกลั้นหายใจเมื่อเรือเข้าเทียบกับกอผักตบ แมลงวันฝูงใหญ่แตกฮือ พายเปลี่ยนหน้าที่มาแหวกพุ่มสีเขียว ที่บังร่างข้างในออกทีละชั้น ทั้งสองฝั่งเงียบสนิท สายตามองพุ่งไปยังจุดเดียวกัน
ผู้เฒ่าค่อย ๆ ใช้มืออีกข้างดึงกอใหญ่ที่บังอยู่ในสุดออกช้า ๆ จนเผยให้เห็นร่างที่อยู่กลางพุ่มนั้นชัด ก่อนส่งเสียง พอที่จะได้ยินทั้งสองฝั่ง “หมาเน่า” แล้วแกก็ใช้พายพุ้ยน้ำถอยเรือออกมา เสียงหัวเราะของใครไม่รู้ดังขึ้นก่อน ต่างคนต่างหันไปมองหน้าเพื่อนข้าง ๆ ยิ้มให้กัน หลายคนหัวเราะไปกับเขา ครู่นึงก็มีเสียง ฮิ้ว ๆ ๆ ๆ ๆ ตามด้วยเสียงตบมือพร้อมกัน ดังก้องแม่น้ำ แล้วต่างก็แยกย้าย บางคน ยังคงมองตามพุ่มสีเขียว ที่ค่อย ๆ ลอยไกล ด้วยสายตา ที่ต่างไป จากเดิม................@@
ลุงแผน
๒๔ มกราคม ๒๕๖๒
..........ขอบพระคุณ สำหรับกำลังใจจากทุกท่าน ที่มีให้ มาโดยตลอด ขอบคุณมาก ๆ ครับ........
........................................
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง......อารมณ์ ที่ซ่อนอยู่........@@ โดย ลุงแผน
..........ร้านกาแฟลุงไฉน อยู่ริมตลิ่งตรงข้ามมุมรั้ววัดใหญ่พอดี ลานดินกว้างหน้าบ้านมีหลังคายื่นออกมา เป็นบริเวณที่ตั้งโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ ไว้ด้านขวามือ สำหรับวางชั้นแก้ว และเครื่องกาแฟทั้งหมด ช่องกลางเว้นไว้เดินไปด้านติดแม่น้ำ
ด้านซ้ายเป็นกองแกลบเอาไว้หมกน้ำแข็ง คู่กับขอนไม้กลมขนาดคนโอบหลวม ๆ ตั้งรองรับลังไม้หนาหนัก ข้าง ๆ ลังยังมีที่ว่างไว้วางไม้ทุบน้ำแข็ง มีด้านจับพอดีมือกำ หัวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างประมาณฝ่ามือ ถ้ามีคนสั่งโอเลี้ยงหรือกาแฟเย็น เสียงทุบน้ำแข็งจะดังขึ้นเป็นที่รู้กัน ส่วนใหญ่จะดังบ่อยในตอน สาย ๆ เพราะตอนเช้า ลูกค้าจะสั่งชา หรือกาแฟร้อน ๆ
ร้านของลุง เป็นทั้งที่ขายของและที่อยู่อาศัยด้วย ถ้าจะเรียกบ้าน ก็คงไม่ผิด พื้นทำด้วยไม้กระดาน ปูยาวไปทางแม่น้ำ วางราบระดับเดียวกับถนน ดังนั้น เสาทางด้านแม่น้ำจึงสูงมาก ถ้ายืนมองจากรั้วลูกกรงลงไป ก็จะสูงจากตลิ่ง จนน่าหวาดเสียว
บ้านตามริมแม่น้ำก็สร้างเหมือนกันนี้ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ลงไปต่ำกว่า และเป็นหลังเล็ก ๆ แค่พอนอนได้สองถึงสามคน ในแม่น้ำสองฝั่งก็จะมีเรือนแพ เรียงยาวไปหลายสิบหลัง มีหลังคาเป็นสังกะสี และทุ่นที่เป็นไม้ไผ่ลำใหญ่ มัดรวมกันประมาณห้าสิบลำ ขึ้นอยู่กับขนาดไม้ วางรองรับตามยาวสองด้าน ซ้ายขวาของแพ ด้านละมัด เว้นช่องกลางไว้เพื่อลดแรงต้านของน้ำ
ฝาเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้ฝาแผ่นบาง ๆ สีแดงมั่ง สีโอ๊คมั่ง นานไปก็จะเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนกัน เนื่องจากกรำแดด กรำฝนมาเป็นแรมปี ริมตลิ่งของใครของมันก็จะปลูกผักต่าง ๆ เอาไว้กินเอง จึงมีไม่มากนัก แต่หลากหลายชนิด หลัก ๆ คือ พริก กระเพรา โหระพา ตะไคร้ กล้วย มะละกอ บางคนก็จะมีต้นแค มะกรูด เพิ่มขึ้นมา และที่ขาดไม่ได้ คือร้านไม้ไผ่หยาบ ๆ สูงแค่หน้าอก เอาไว้วางกระด้งตากปลา ที่มีให้เห็นอยู่แทบทุกครัวเรือน
ชายน้ำริมตลิ่งจะมีแพเล็ก ๆ ลอยอยู่ บนนั้นจะมีสะระแหน่ ผักกระเฉด ผักบุ้ง ทอดยอดกระจายอยู่รอบแพ ยืนริมน้ำจะเห็นพืชผักสีเขียว กระด้งปลาเกลือ และวิถีชีวิตชาวแพ ยาวไปตลอดแนวฝั่งมองแล้วเพลินตา
เสียงกลองในวัดดังชัดเจนนับได้แปดครั้ง แสดงถึงเวลาของวันอาทิตย์ที่เริ่มสาย แต่โต๊ะหน้าร้านก็ยังมีลูกค้าประจำ นั่งปักหลักอยู่หลายคน คุยกันไปด้วยความเพลิดเพลิน ต่างไม่รีบร้อน เพราะเป็นวันหยุดสบาย ๆ
แทบจะสิ้นเสียงกลองพอดี ก็มีเสียงเด็กเล็กมั่งโตมั่ง คุยกันฟังจับใจความไม่ได้ใกล้เข้ามา
กลุ่มเด็กขายนกปล่อย หน้าวัดสี่ห้าคน วิ่งตามกันมาด้วยความร้อนรน จนกระทั่งผ่านมาทางหน้าร้าน ตาชุ่มร้องถามทำนองทักทาย “ไปไงกันเล่า”
“คนตาย ลอยน้ำมา ตา” เจ้าออดวิ่งรั้งท้ายหันมาพูดหอบ ๆ ก่อนไล่ตามพวกไปทางวัดน้อย ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปประมาณแปดร้อยเมตร มองไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นหน้าค่าย เห็นคนชี้ไม้ชี้มือไปกลางแม่น้ำ มีกลุ่มผักตบพุ่มโต ลอยตามน้ำมาช้า ๆ ไกลขนาดนี้ยังมองเห็นแมลงกลุ่มใหญ่บินวนอยู่ เดาว่าน่าจะเป็นแมลงวัน
วงสนทนาเริ่มตื่นตัว หลังจากที่นั่งกันมาตั้งแต่เช้าตรู่ จนไม่รู้จะคุยอะไรกันแล้ว “คนสมัยนี้ขี้ใจน้อย” ตาชุ่มเอ่ยขึ้นก่อน “เอะอะก็หนีปัญหากันง่าย ๆ” “อาจจะโดนทำร้ายก็ได้” ตาดำออกความเห็น “เป็นไปได้” ตาชุ่ม ยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนวางแก้วลง “แต่ข่าวมันไม่ถี่เหมือนโดดน้ำ มีกันปีละหนสองหน” คนอื่น ๆ พยักหน้าท่าทางเห็นด้วย “ส่วนมากเป็นสาว ๆ” ผู้เฒ่าแถมท้ายให้อีกหน่อย
เรือหางยาวแล่นช้า ๆ มาจากทางเหนือ ตาชุ่มลุกเดินไปเกาะราวลูกกรงด้านแม่น้ำตะโกนถาม “ผู้หญิงรึผู้ชายเล่า ทิดน้อย” “ไม่รู้สิตา เห็นแต่ท้องเป่ง ๆ ผักตบมันบัง” เจ้าหนุ่มเบาเครื่องเรือก่อนตะโกนตอบมา แล้วก็เร่งไปต่อ ผู้เฒ่าเดินกลับมาที่โต๊ะ ท่าทางภูมิใจที่ได้ข่าวมาต่อยอด “ผู้หญิง สงสัยจะท้องด้วย” คนที่นั่งอยู่ก็ได้ยินเสียงเจ้าหนุ่มแว่ว ๆ ว่าท้อง ๆ นี่แหละ ต่างพากันสลดใจ ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าคนตายเป็นใคร “เฮ้อ ใครเป็นพ่อเป็นแม่ รู้เข้าจะเป็นไงนะ” ทั้งโต๊ะต่างนั่งนิ่ง
น้ำบริเวณนี้ไหลไม่แรงนัก ช่วงโค้งก็วนช้าลงไปอีก คนสองฝั่งเดินตามกอผักตบมาเรื่อย ๆ ที่อยู่ตามแพก็ออกมาชะเง้อดู แต่มองไม่ถนัด แพกับแม่น้ำ มันระดับเดียวกัน จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงชีวิตคน ที่พ่อแม่ต้องลำบากตรากตรำ ทำมาหากิน เลี้ยงดู ทะนุถนอม กว่าจะโตมาได้ขนาดนี้
บนฝั่งก็ตะโกนคุยกัน ถึงส่วนที่พ้นกอผักตบขึ้นมา ต่างเดากันว่า น่าจะเป็นส่วนท้อง และเป็นท้องที่โตกว่าปกติ ไม่รู้ว่าบวมอืดเพราะน้ำหรือแก๊ส แต่ก็ได้แค่เดินตามดูแล้วคุยกันไปมา ยังหาคนที่ใจกล้าว่ายไปลากเข้าฝั่งไม่ได้
ลูกค้าร้านกาแฟ ที่เหลืออยู่สี่ห้าคน ได้ย้ายไปด้านแม่น้ำกันหมด บางคนยืนเอามือท้าวราวลูกกรง ซึ่งสูงแค่เอว บ้างก็หันเก้าอี้ออก นั่งเอาแขนวาง มองไปทางกอผักตบที่เห็นไกล ๆ คนที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปธุระต่อ ก็เปลี่ยนใจ รอดูไปกับเขา เก็บข้อมูลให้ถึงนาทีสุดท้าย
คนสองฝั่งทยอยกันมามากขึ้นกว่าเดิม เด็ก ๆ เกาะกลุ่มกัน เดินตามมาเรื่อย ๆ ตาจ้องด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ไม่บ่อยนักที่จะมีเรื่องตื่นเต้น ผ่านมาในสายน้ำนี้ คนที่อยู่ตามแพทิ้งงานซักผ้า ตากปลา มานั่งลุ้นกันติดแม่น้ำ
เรือตากล่ำกลับจากลอยข่าย แล่นทวนน้ำลอดสะพานมาช้า ๆ คนบนแพตะโกนโหวกเหวก ชี้มือขึ้นเหนือไปประมาณห้าร้อยเมตร กลุ่มคนทั้งสองฝั่ง พากันโบกมือให้แก ทำสัญญาณไปที่กลางแม่น้ำ แกจึงเบนหัวเรือไปทางกอผักตบนั้น ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ ที่มองสลับกันไปมา ระหว่างเรือหางยาว กับพุ่มไม้น้ำสีเขียว ที่ซ่อนร่างปริศนาไว้
เรือแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ น้ำด้านท้ายแหวกเป็นทาง และค่อย ๆ แผ่กว้างขึ้น เป็นคลื่นลูกเล็ก ๆ วิ่งกระทบเรือนแพโคลงไปมา เพิ่มความระทึกให้กับคนบนแพแต่ละหลัง หัวเรือพุ่งใกล้เข้าไป ผ่านร้านกาแฟ คนยืนเกาะราวลูกกรงตอนนี้มีนับสิบ ต่างมองตามเรือตาแทบไม่กระพริบ เด็กเล็กยืนจับมือกันแน่นจ้องดูนิ่ง เด็กโตกว่ายืนอยู่ข้าง ๆ เอามือจับไหล่ไว้ ลุ้นเรือที่ใกล้ถึงที่หมาย
ตากล่ำเบาเครื่องเรือ แล้วเอาพายราน้ำช่วยชะลออีกแรง ทุกคนแทบกลั้นหายใจเมื่อเรือเข้าเทียบกับกอผักตบ แมลงวันฝูงใหญ่แตกฮือ พายเปลี่ยนหน้าที่มาแหวกพุ่มสีเขียว ที่บังร่างข้างในออกทีละชั้น ทั้งสองฝั่งเงียบสนิท สายตามองพุ่งไปยังจุดเดียวกัน
ผู้เฒ่าค่อย ๆ ใช้มืออีกข้างดึงกอใหญ่ที่บังอยู่ในสุดออกช้า ๆ จนเผยให้เห็นร่างที่อยู่กลางพุ่มนั้นชัด ก่อนส่งเสียง พอที่จะได้ยินทั้งสองฝั่ง “หมาเน่า” แล้วแกก็ใช้พายพุ้ยน้ำถอยเรือออกมา เสียงหัวเราะของใครไม่รู้ดังขึ้นก่อน ต่างคนต่างหันไปมองหน้าเพื่อนข้าง ๆ ยิ้มให้กัน หลายคนหัวเราะไปกับเขา ครู่นึงก็มีเสียง ฮิ้ว ๆ ๆ ๆ ๆ ตามด้วยเสียงตบมือพร้อมกัน ดังก้องแม่น้ำ แล้วต่างก็แยกย้าย บางคน ยังคงมองตามพุ่มสีเขียว ที่ค่อย ๆ ลอยไกล ด้วยสายตา ที่ต่างไป จากเดิม................@@
ลุงแผน
๒๔ มกราคม ๒๕๖๒
..........ขอบพระคุณ สำหรับกำลังใจจากทุกท่าน ที่มีให้ มาโดยตลอด ขอบคุณมาก ๆ ครับ........