ไม่มีใครรู้เลยหรอ ว่าการศึกษาทำร้ายเด็กแค่ไหน

เหตุผลที่ตั้งหัวข้อล่อเป้าดราม่านี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อให้มาทะเลาะกันหรือข่มกัน
แต่อยากชี้แจงเหตุผลที่ผมเชื่อว่ามันสมเหตุสมผลแน่นอน ว่าระบบการศึกษามันแย่จริงๆ มาฟังกันเลย

เกริ่นก่อนเลยนะว่า
ทุกวันนี้ อาชีพการทำงาน หรือ เส้นทางการสร้างรายได้ มันไม่ได้มีแค่ หมอ+วิศวะ+นักวิชาการ+ครู นะรู้ไหม
มันยังมี นักร้อง,นักแสดง,ร้านอาหาร,ดารา,โปรแกรมเมอร์,เจ้าของร้านกาแฟ,แอร์ฯ,ยูทูบเปอร์,ฟรีแลนซ์,เจ้าของกิจการต่างๆ,นักกีฬา,นักพากษ์,ผู้ประกาศข่าว,นักกิจกรรม และอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน ที่เป็นอาชีพที่แทบจะไม่ได้ใช้ความรู้ทางวิชาการ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลย หรือถ้าจะมี ก้มีได้ใช้น้อยมากกก

ระบบการศึกษาบ้านเรามันเหมือนกักขังเด็กๆให้อยู่แต่ในพื้นที่เดียวตลอดอายุ 5-22 ปี แถมไม่ได้กักขังธรรมดานะ กักขังให้เอาแต่เรียนวิชาการๆๆๆๆๆ คณิตฟิสิกส์เคมีชีวะวิทย์อยู่นั่นแหล่ะ เอาเข้าไป ทั้งๆที่โลกภายนอกมันกว้างใหญ่ไพศาลมากกกกๆๆ โลกภายนอกมันมีหลากหลายอาชีพที่รองรับความสามารถของเด็กๆแต่ละคนที่ไม่ใช่วิชาการอยู่อีกเยอะ
คุณไม่รู้หรอว่า เด็กบางคนเค้าเกิดมา เค้าอาจมีพรสวรรค์ด้านการแสดง งานดนตรี หรือศิลปะ หรือทำอาหารเก่ง ชงกาแฟอร่อย และอื่นๆอีกมากมายที่มันไม่ใช่วิชาการ ที่เขาสามารถนำมันมาพัฒนาเพื่อต่อยอดเป็นยอดฝีมือด้านนั้นๆของเค้าเพื่อสร้างรายได้ที่มหาศาลต่อได้

แต่ระบบการศึกษาเอาแต่ตอกย้ำให้เด็กมุ่งแต่วิชาการๆๆๆๆๆ ใครมันไม่เก่งวิชาการคือพวกไร้ค่า พวกอ่อนด้อยของสังคม พวกมีปัญหา พวกกระจอก พวกไร้อนาคต ตัดสินเด็กคนนึงด้วยเกรด ตราหน้าเขาว่าเป็นพวกชั้นต่ำด้วยเลข 3 ตำแหน่งจากผลของวิชาการ เฮ้ยมันใช่หรอ

ผมเคยเจอน้องคนนึงอายุ 13 ขวบ อยู่ ม.2 น้องเขาเล่นไวโอลินเพราะมากกกกกกก เขาบอกว่าเขาชอบ เพราะมันเป็นเครื่องดนตรีที่ฟังแล้วรู้สึกอินไปกับมัน เขาเลยขอให้พ่อซื้อให้ แล้วเขาฝึกตามยูทูบ แต่เขาต้องมานั่งร้องไห้ เพราะโดนที่บ้านกดดันว่าเกรดไม่ถึง 2.5  เขาได้เกรด คณิต1 ติด0วิทย์และอังกฤษ พละได้1.5 แม้กระทั่งวิชาดนตรียังได้แค่เกรด2(เรียนเกี่ยวกับเครื่องดนตรีไทย) แล้วโดนครอบครัวและญาติๆตราหน้าว่าเป็นพวกไร้ค่า กระจอก ด่าและกดดัน ถึงขนาดบางวันเขาร้องไห้จนไม่คิดที่จะอยากมีชีวิตอยู่ เฮ้ยยยย พวกคุณรู้ไหม พวกคุณอาจจะกำลังทำลายมือโปรไวโอลินของประเทศอยู่ก็ได้นะ
หลังจากนั้น น้องเขาก้ไม่แตะไวโอลินอีกเลย เนื่องจากไม่มีเวลา เพราะพอโตขึ้นเวลาผ่านไป การบ้านหลายวิชาก้ท่วมหัว งานบ้านก้ต้องช่วยครอบครัวทำ เวลาว่างแต่ละวันหมดไปแต่กับการอ่านหนังสือวิชาการ ทำการบ้าน เรียนพิเศษ ทำให้น้องเขาไร้ซึ่งเวลาที่จะใช้เพื่อตัวเอง หรือพอตอนมันมีเวลาว่างโผล่มา น้องเขาก้หมดแล้วซึ่งกำลังใจหรือไฟที่จะสานต่อในสิ่งที่ตัวเองต้องการ มันเป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า เหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีความสุขใดๆ แม้กระทั่งความทุกข์ที่เคยได้รับมันเป็นยังไง ยังจำไมไ่ด้เลย เพราะทุกวันเหมือนใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์ เรียนๆ การบ้านๆๆ อ่านหนังสือๆ สอบ มันก็วนอยู่แค่นั้น เขาจะเอาไฟที่ไหนมาจุดวิญญาณให้ตัวเอง

คือเด็กคนนึงอะครับ เวลาเขาได้รับผลกระทบด้านจิตใจหรือโดนตราหน้าจากคนรอบข้างน่ะ สภาพจิตใจของเขาจะไร้ซึ่งพลัง จะกลายเป็นคนเหม่อลอย ใช้ชีวิตเพื่อให้ผ่านหน้าที่วิชาการการเรียนให้ผ่านไปแต่ละวันเพื่อตอบสนองNeedครอบครัวและระบบการศึกษา ความเหน็ดเหนื่อยที่เด็กสะสมมากๆ วิชาการที่เรียนมันครอบจักรวาล การบ้านที่กองท่วมหัว เรียนพิเศษที่เหน็ดเหนื่อยดูดเวลาชีวิตไปจากเขา เด็กเขาจะเอาไฟที่ไหนมาปลุกวิญญาณให้ตัวเองเพื่อสร้างเส้นทางของเขาล่ะครับ สุดท้ายมันก็เหลือแค่ไฟที่มอดดับเนื่องจากสภาพสังคมการเรียนที่มันหนักและครอบครัวที่คาดหวังไว้มาก หมดแล้วซึ่งจิตวิญญาณไปกับระบบการศึกษาที่เอาแต่คำว่าวิชาการมาทับชีวิตเด็ก

พวกคุณเข้าใจไหม วิชาการมันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ถ้ามีเด็กคนไหนเขาเหมาะสมกับวิชาการ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วย
แต่คุณต้องเข้าใจด้วยว่า มันไม่ใช่เด็กทุกคน ที่เกิดมาเพื่อคณิตฟิสิกส์เคมีชีวะ วิชาการต่างๆ ที่พวกคุณยัดใส่เด็ก
คำว่าโรงเรียนน่ะ มันควรส่งเสริมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของเด็ก มันควรจุดไฟให้เด็ก มันควรปลุกจิตวิญญาณแห่งชีวิตให้เขา ไม่ใช่มัวแต่จะเอาแค่ด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวมาวัดเด็ก

แต่มันควรรวมไปถึง ด้านการแสดง , ด้านดนตรีนาฏศิลป์ , ด้านการทำอาหาร , ด้านการบริการ , ด้านความบันเทิง มันควรมีการเรียนการสอนให้ครบทุกด้าน
แต่ไม่ใช่ให้เรียนทุกอย่าง ควรคัดสรรความสามารถของเด็ก และจำแนกวิชาที่เหมาะสมกับความชอบและความสามารถของเขา เพื่อคัดเลือกการศึกษาที่เหมาะสมที่สุดให้แก่เขา
เช่น
นาย A เป็นคนตลกมากๆ เขามักชอบสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้คนมากมายได้หลายรูปแบบ ก็ให้เขาไปสายบันเทิงหรือนักแสดง ช่วยสนับสนุนให้เขาได้ใช้ความสามารถของเขาและพัฒนามันอย่างต่อเนื่อง
นางสาว B เก่งคำนวณมากทั้งคณิตและฟิสิกส์ ก็ส่งเสริมให้เขาไปเป็นวิศวกร ตัดขาดจากวิชาประวัติศาสตร์,ชีววิทยาและวิชาที่มันไม่จำเป็นต้องใช้ แล้วปูเส้นทางให้เขาเข้าสู่การเรียนวิศวกรที่ดี ไม่ก้สายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
นาย C แข็งแรงเว่อร์ๆ วิ่งก็เร็ว เล่นบาสก็เก่ง เขามีความสุขที่ได้ออกกำลังกาย แต่วิชาการเขาไม่ได้เรื่องเลย คุณก็ควรส่งเสริมเขาไปสายนักกีฬา หรืออาชีพที่มันเกี่ยวข้อง
นาย X เป็นคนรักสวยรักงาม แม้เกิดเป็นชาย แต่แต่งหน้าให้เพื่อนสาวจากอีปลวกเป็นนางฟ้าได้อย่างยอดเยี่ยม ก็ควรส่งเสริมนายX ให้เป็นนางสาวX ที่มีพรสวรรค์ด้านความสวยความงามซะ ไม่ใช้ให้เขาไปเรียนวิชาการ แล้วไปตัดสินเขาว่าไร้ค่า

โลกใบนี้มันกว้างใหญ่
พวกคุณควรพาพวกเขาออกไปรู้จักกับอาชีพต่างๆตั้งแต่เนิ่นๆ ให้พวกเขาได้สัมผัสกับอาชีพการงานจริงทุกรูปแบบ เพื่อให้พวกเขาได้เจอะเจอและเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพที่หลากหลายที่มันอยู่ในโลกภายนอกอันแท้จริง แล้วพวกเขาจะทราบเอง ว่าโตขึ้นพวกเขาอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นแบบไหน ชอบอาชีพอะไร ไม่ชอบอาชีพไหน

อย่ากักเขาอยู่แต่ในโรงเรียน แล้วเรียนแต่วิชาการ มันจะทำให้พวกเขาไม่รู้เลย ว่าความสามารถของเขาคืออะไร ทำไรเก่งบ้าง พัฒนาอะไรต่อ ชอบอะไร ใฝ่ฝันอยากเป็นอะไร

โรงเรียนมันควรเป็นแบบนี้ไหม ไม่ใช่เอะอะอะไรๆวิชาการๆๆๆ คณิตฟิสิกส์เคมีชีวะ ความสามารถอื่นๆคือไม่มีความหมายต่อโรงเรียนเลยหรอ คิดว่าวิชาการมันค้ำจุนผู้คนอย่างเดียวเท่านั้นหรอ ? มันไม่ใช่นะคุณ มันไม่ใช่นะ ช่วยคิดดูดีๆหน่อยได้ไหม ขอล่ะ อย่าทำร้ายเด็กเลย

แล้วทุกๆท่านสังเกตุกันไหม ว่าพวกเราเสียเวลาเรียนไปกับวิชาการหลายอย่างที่ไม่ได้ใช้จริงไปเยอะมากกกกก ไม่เว้นแม้แต่ หมอ วิศวะ ครู ทนาย
จะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆเลย เช่น
- หมอ ตอนทำงานจริงไม่ได้ใช้วิชา ฟิสิกส์,โลกดาราศาสตร์,ประวัติศาสตร์,ดนตรี,ศิลปะ,ประดิษฐ์,คณิตหลายบท,กลอน8โครง4สุภาพ และอื่นๆอีกมากมาย
- วิศวะ ตอนทำงานจริงไม่ได้ใช้วิชา ชีวะ,เคมีหลายบท,โลกดาราศาสตร์,ประวัติศาสตร์,กลอน8โครง4สุภาพ,ดนตรี และอื่นๆอีกมากมาย
- ทนาย ตอนทำงานจริงไม่ได้ใช้วิชาชีวะ,เคมี,ฟิสิกส์ หรือถ้าได้ใช้ ก็มีส่วนน้อยมากๆที่เกี่ยวข้อง
- น้กร้อง/นักแสดง ตอนทำงาน ไม่ได้ใช้วิชาการเยอะมากกกกก

แล้วคิดดู ว่าเวลาชีวิตที่เขาสูญเสียไปกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ใช้เลย มันมากแค่ไหน ? รวมแล้วกี่ชั่วโมงที่เสียไป ?
ชีวิตของคนเรามันเกิดมา มีแค่ 80 ปี พวกคุณเล่นดูดมันไปหลายร้อยหลายพันชั่วโมงของชีวิตพวกเขาโดยสูญเปล่า มันใช่เรื่องที่จะมาทำแบบนี้ไหม ?

เชื่อว่าเด็กหลายคนที่เรียนจบ เขาเองก้ทนไม่น้อยเช่นกัน ทนกับสิ่งที่เขาไม่ได้อยากจะเป็น เฮ้อออออ

เวลาชีวิตของคนทุกคนมีค่า อย่าดูดมันไปจากพวกเขา ถ้าหวังดีต่อพวกเขา จงดูแลพวกเขาให้ถูกทาง อย่าทำร้ายพวกเขา อย่าดับไฟในใจเขา อย่าตัดสินเขาด้วยวิชาการเพียงอย่างเดียว

ความหวังสูงสุดในตอนนี้
คือ สร้างระบบการศึกษาขึ้นมาใหม่สักทีเถิด ไม่ทำร้ายเด็ก ให้มันตอบโจทย์เด็กทุกรูปแบบ อย่าตอบรับแค่เด็กที่ถนัดวิชาการอย่างเดียวเลย สงสารเด็กคนอื่นที่เขาไม่เก่งวิชาการ แต่เก่งอย่างอื่นบ้าง

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ อาจยาวมากเกินไปหน่อย ขออภัยด้วยครับผม
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
เคยมีกระทู้หัวเรื่อง " ทำไมเด็กต่างประเทศถึงรู้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไร เมื่อเรียนจบ "
ลิ้งค์ https://pantip.com/topic/37632703/comment10

เราเคยไปตอบเอาไว้ที่ คห 10 ดังนี้ ...

//

" ตอบของเฉพาะ ปท ที่พัฒนาแล้วโดยทั่วๆ ไป และ ของครอบครัวปกติทั่วๆ ไป  และ ของคนปกติทั่วๆ ไป ที่เป็นคนมีคุณภาพ

เพราะหลายสาเหตุ จากปัจจัยหลายด้านของเขา ที่หล่อหลอมให้เขาคิดเป็น กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ มีความมั่นใจในตัวเอง มีความเคารพตนเอง
รู้จักตนเอง ไม่ขี้กลัว ไม่ขี้ขลาด ไม่ขี้ตกใจ ไม่อาฆาต ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่มีลับลมคมใน ไม่ปากหนัก ไม่เก็บกด ไม่เครียด ไม่ต้องแอ๊บ
ไม่ต้องพูดอย่างคิดอย่าง สามารถเป็นตัวของตัวเองได้  ตัดสินใจชีวิตเองได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวมสูง อาทิเช่น



1. ระบบครอบครัว ระบบเครือญาติ
• พ่อ แม่ ลูก สามารถคุยกันได้ มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• พ่อแม่ไม่บังคับกดขี่ข่มเหงลูก
• พ่อแม่ไม่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของชีวิตลูก
• พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อเอาลูกไว้กับตัวตลอดชีวิต ไม่ได้หวังพึ่งลูก
• ทุกคนในครอบครัวมีสิทธิมีเสียงแทบจะเท่าเทียมกัน รับฟังกัน
• ญาติไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่
• ไม่เอาการศึกษามาคุยอวดข่มแข่งขันเปรียบเทียบกันในหมู่เครือญาติ


2. ระบบการศึกษา
• เด็กๆ ถูกสอนให้คิดเองเป็น
• ถูกสอนให้รู้จักค้นคว้า
• ถูกสอนให้ลงมือปฏิบัติจริง
• ถูกสอนให้แสดงความคิดเห็น โดยที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องเห็นเหมือนกับผู้อื่น
• เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกบังคับให้แต่งตัวเหมือนกัน ไม่ได้ถูกบังคับเรื่องทรงผม
• สามารถซักถามครูได้ หากสงสัย
• สามารถโต้แย้งครูได้ ด้วยเหตุผล
• ไม่ต้องเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามผู้อื่น หรือ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามใจผู้ปกครอง
• ไม่มีความกดดันว่าจะต้องมีรูปถ่ายในชุดครุยรับปริญญา เพื่อที่จะเอามาติดฝาบ้าน หรือ โพสท์ลงโซเชี่ยลเพื่อความมีหน้ามีตาหรือเพื่อดราม่ากตัญญู
• เด็กๆ ถูกสอนให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้รับผิดชอบดูแลช่วยเหลือตนเองได้ หิ้วกระเป๋าเองได้ ทำอาหารง่ายๆ ได้ ซักผ้าเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้เล่นกีฬาต่างๆ ให้อภิเชษฐ์ธรรมชาติ รักธรรมชาติ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา
• ถูกสอนให้มีจิตสาธารณะ



3. ระบบความคิดของคน
• ไม่งมงาย ไม่ไสยศาสตร์ ไม่พิธีกรรม
• สามารถคิดแบบมีตรรกะที่ดีมีเหตุผลได้
• ไม่เพ้อฝัน ไม่เพ้อเจ้อ ไม่เวิ่นเว้อ
• ไม่คิดซับซ้อน คิดตรงๆ ทำตรงๆ
• คนไม่ได้ถูกควบคุมทางความคิด ร่างกาย จิตใจ
• ไม่ถูกครอบงำไม่ถูกชักจูงได้ง่าย โดนสะกดจิตหมู่ยาก



4. . ระบบสังคม ระบบชุมชน เพื่อนบ้าน
• คนเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• คนเคารพส่วนรวม เคารพสิ่งของที่เป็นของสาธารณะ
• คนเคารพในอาชีพของผู้อื่น (เช่น หมอ อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นคนขับแท็กซี่, ตำรวจ พยาบาล มีเพื่อนบ้านเป็นคนทำงานโรงงาน,
หรือ อาจารย์มหาวิทยาลัยดังที่เป็น ดร อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงแกะ แต่คนในชุมชน ในหมู่บ้าน
สามารถช่วยเหลือ สังสรรค์ พูดคุย ทักทาย ไปมาหาสู่กันได้ แบบปกติธรรมดา หรือ ปิ้งบาร์บีคิวกินด้วยกันได้ ตามประสาเพื่อนบ้าน เป็นต้น)
• ระบบชนชั้นวรรณะไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อยมาก และ ไม่แรง ไม่ชัดเจน
• คนไม่ตัดสินกันที่เสื้อผ้า รถ นาฬิกา เครื่องประดับ

• คนสามารถไปไหนมาไหน ทำอะไรคนเดียวได้ โดยที่ไม่มีใครมานินทาว่าร้ายว่าเป็นคนไม่มีเพื่อนไม่มีสังคม
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้ทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ แค่วัยมัธยมต้น วัยมัธยมปลายก็ต้องเริ่มรู้จักทำงานแล้ว
• เยาวชนสามารถแยกจากครอบครัวออกมาอยู่ด้วยตนเองได้ โดยไม่มีใครมานินทาว่าร้ายอะไร
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้เดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ก็ต้องเดินทาง ก่อนทำงานจริงๆ จังๆ หรือ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
และ มักจะเป็นการเดินทางไป ตปท หลายเมือง หลายทวีป บ้างก็เดินทางแค่ไม่กี่เดือน หรือบ้างก็เดินทางเป็นปี




5. ระบบเศรษฐกิจ การเมือง ระบบราชการ การคมนาคม
• คนไม่ถูกกดค่าแรง มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
• คนมีสวัสดิการสังคมในด้านต่างๆ ที่ดี ซึ่งได้มาจากภาษีที่ทุกคนจ่ายในรูปแบบต่างๆ แล้วถูกจัดสรรแบ่งปันคืนสู่สังคมอย่างเป็นธรรม
• ระบบการเมืองเสถียร โปร่งใส นักการเมืองมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สังคม
• ระบบราชการ มีมาตรฐาน
• กฏหมายแข็งแรง ใช้ได้จริง คนเคารพกฏหมาย
• การคมนาคมทางด้านขนส่งสาธารณะดี ครอบคลุม แต่ถ้าจะมีรถ ก็คือมีเอาไว้ใช้งาน ใช้เป็นพาหนะ ไม่ใช่เอาไว้ประดับบารมี
หรือไม่ใช่เอาไว้แสดงสถานะทางเศรษฐกิจ แต่มีเอาไว้ใช้งานจริงๆ
• สภาพแวดล้อมดี
• คนพิการก็สามารถมีงานทำ มีสวัสดิการสังคม สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ



6. ระบบการทำงาน
• คนเคารพกันที่ผลงาน
• จะจบที่ไหนมาไม่สำคัญ ไม่มีปริญญาก็ได้ แต่ต้องมีศักยภาพ มีความสามารถในการทำงาน
• การเมืองในที่ทำงานไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อย ไม่ใช่แบบร้ายลึก ไม่ใช่แบบซับซ้อน
• คนไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
• คนไม่ต้องแกล้งถ่อมตัว ไม่ต้องลดคุณค่าของตนเอง
• หากไปประชุม/สัมนา ที่ ตปท เพื่อนร่วมงานไม่อิจฉา ไม่ฝากซื้อของ ไม่คาดหวังของฝาก
• ไม่ต้องคอยหาพวกหาก๊วนหาแก๊งค์ ไม่ต้องคอยเกาะกลุ่ม
• ไปกินทานอาหารกลางวันคนเดียวได้ หรือ ไปกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีกลุ่ม หรือ ถ้าสะดวกไปคนเดียว กินคนเดียวก็ไม่มีใครมานินทาว่าร้าย
• เลิกงานแล้วกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องทำเป็นว่ายังยุ่งอยู่หลังเลิกงาน หรือ หากหัวหน้ายังอยู่ แต่ถ้าคุณเลิกงานแล้ว คุณสามารถกลับบ้านได้
ไม่จำเป็นต้องกลับหลังหัวหน้าหรือเจ้านาย
• สามารถลาหยุดได้ตามสิทธิ โดยที่ไม่ต้องมีดราม่า ไม่มีใครมาจิกมาตามในช่วงที่หยุด ไม่มีใครมาโน้มน้าวกดดันให้ยกเลิกแผนการเดินทางพักผ่อน
• ไม่โทรจิก ไม่วุ่นวายนอกเวลางาน
• เคารพเวลาส่วนตัว
• ไม่ต้องถูกเกณฑ์ หรือ ไม่ต้องถูกกึ่งบังคับแบบไม่เต็มใจ ให้ไปร่วมงานต่างๆ ของคนที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่ต้องคอยรับซองงานแต่ง งานบวช งานศพ
งานกฐิน งานผ้าป่า งานบริจาคเอาหน้า
• ไม่ต้องมาคอยทำความเคารพใครรอบออฟฟิส แต่แค่ทักทาย ก้มๆ ให้กันเป็นเชิงทัก หรือ ยิ้มๆ กัน หรือ โบกมือให้กัน ก็พอแล้ว
• สามารถแสดงความคิดเห็นได้ในที่ประชุม



_______


ตอนนี้นึกออกแค่นี้นะ

ที่แจกแจงเป็นข้อๆ เพราะทุกๆ อย่างเกี่ยวข้องกันหมดเป็นวงจร เป็นธรรมชาติ เป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้แหละ ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนในแต่ละ ปท แตกต่างกัน

และ เขียนมาในมุมกว้างๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ยังมีคนใน ปท ที่พัฒนาแล้วส่วนหนึ่ง
ที่อาจจะมีนิสัยบางอย่าง หรือ การกระทำบางอย่าง ที่เหมือน หรือ คล้ายกับคนใน ปท ที่กำลังพัฒนาแล้วได้

เอาเป็นว่า ที่เขียนมาใน คห นี้ เขียนถึงคนในระดับที่มีคุณภาพโดยทั่วๆ ไป

บ้านเมืองไหนก็แล้วแต่ จะสามารถจะพัฒนาได้ ก็ต้องมีการสร้างคนพัฒนาคนก่อน
เมื่อคุณภาพของคนส่วนใหญ่ดี สังคม สภาพแวดล้อม ประเทศ ก็จะดีไปตามคุณภาพของประชากรนั่นเอง

แล้วบ้านเมืองที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีคนที่จบปริญญาเยอะๆ เพราะบางบ้านเมืองมีคนจบปริญญาเยอะมาก แต่เมื่อมองไปรอบๆ
ไม่สามารถหาปัญญาชนเจอเลย หรือ หาปัญญาชนเจอยากมาก "


//

ระบบการทำงานที่เมืองไทย เท่าที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยอ่านๆ ตามกระทู้ เคยฟังคนใกล้ชิดเพื่อนฝูงคนในครอบครัวบ่นให้ฟัง หรือ
ที่เคยสัมผัสมาเอง

เห็นว่า ต่อให้เก่งแค่ไหน ต่อให้จบดีแค่ไหน ต่อให้จบโท จบเอกมาจากเมืองนอก หรือ จบมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย
แต่ก็แทบจะถูกกลืนหมด เพราะต้องอยู่ในกรอบ ในระบบแบบไทยๆ ถึงจะรอด และ ถูกกดค่าแรงมาก สังคมในที่ทำงานก็เป็นไปตามวัฒนธรรม
ตามระบบความคิดของคนส่วนใหญ่  

นอกจากจะถูกกดค่าแรงแล้ว ค่าครองชีพก็สูง ระบบการคมนาคมในการเดินทางไปทำงานก็ไม่ค่อยดีนัก สังคมในที่ทำงานก็ไม่ค่อยดี
สวัสดิการก็ไม่ค่อยดี ลาไปพักผ่อนยาวๆ ก็ยากมาก

อยากเห็นคนไทยส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ โดยเฉพาะคนในระดับปัญญาชน เพื่อให้สมกับที่เรียนๆ กันมา
คนไทยบางคน มีปริญญาหลายใบ ลงทุนลงเงินลงเวลากับการเรียนไปเยอะมาก ทำงานก็หนัก แต่เงินเดือนนิดเดียว ไม่สมดุลย์กับค่าครองชีพเลย
คุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยดี ความเครียดสะสมสูง การแข่งขันสูง บางครั้งก็ใช้เวลากับเรื่องการเมืองในที่ทำงาน มากกว่าจะใช้เวลาในการทำงานให้
มีคุณภาพ และ ประสิทธิภาพ

//

คุณ จขกท ถามถึงเรื่องระบบการศึกษา แต่ขอยกเรื่องระบบการทำงาน และ ระบบสังคมมาด้วย เพราะมันเกี่ยวข้องกันหมด

และ อีกทั้งเห็นคุณ จขกท พูดถึงโพรไฟล์ของตนเองในเรื่องงาน เรื่องของระดับของสถานศึกษา รวมไปถึงเรื่องเงินเดือนด้วย
จึงยกในจุดอื่นๆ นี้ขึ้นมาด้วย


คุณ จขกท ลองสำรวจตนเองดูในรายละเอียดนะ ว่าตรงกับข้อไหนบ้าง จุดไหนบ้าง ที่เราพิมพ์มาเป็นข้อๆ ที่ด้านบน
แล้วลองถามตัวเองว่า เรียนมาขนาดนี้ ทำงานขนาดนี้ แต่คุณภาพชีวิตโดยรวมเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งชีวิตในการทำงาน และ ชีวิตโดยทั่วๆ ไป

โดยเทียบกับในไทย (ไทยแลนด์ โอนลี่) แต่อย่าลืมเทียบคิดเทียบกับในระดับโลก (โกอินเตอร์, ไทยแลนด์สี่จุดศูนย์ )
โดยเฉพาะกับ ปท ที่พัฒนาแล้ว ที่นอกแผนที่ ปท ไทยด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่