พระยาตาก

อยากทราบว่าเศรษฐกิจสมัยธนบุรีมีอะไรบ้างหรอค่ะ?
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 6
ช่วงหลังเสียกรุงใหม่บ้านเมืองอยู่ในภาวะจลาจลจากสงคราม ไม่มีผู้ทำไร่ทำนา ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ราษฎรอดอยากเนื่องจากมีค่าครองชีพสูง จึงทำให้หลวงต้องมีการแจกจ่ายข้าวสารและเสื้อผ้าให้กับราษฎรใช้เลี้ยงตนเองหลายครั้ง

"จำเดีมแต่นั้นด้วยกำลังพระกรรุณาพระราชอุษาห์ในสัตว์โลกย์  แลพระพุทธศาศนามีเปนที่จะบันทมทรงเสวยเปนศุกข์ในพระราชอิริยาบท  ด้วย ขัติยวงษา สมณาจาร เสนาบดี อาณาประชาราษฎรยาจกวัณพิพกคนโทรอนาถาทั่วทุกเสนามลทนเกลือนกล่นกันมารับพระราชทานมากกว่าหมืน ผ์่ายข้าราชการทหารพลเรือนไทจีนนั้น  รับพระราชทานเข้าสารเสมอคลถังกีนคนละยีสีบวัน ครั้งนั้นยังหาผู้จทำนาหมิได้อาหานกันดาน เข้าสารสำเภาฃายถังละ ๓ บาทบ้าง ๑ ตำลึงบ้าง ๑ ตำลึง ๑ บาทบ้าง ยังทรงพระกรรุณาด้วยประปรีชาญาณ อุษาห์เลยี้งสัตว์โลกย์ทั้งปวง พระราชทานชีวีตร์ให้คงคืนไว้ได้ แลพระราชทานวัถาลังการณเสือผ้าเงีนตราจนับจประมาณหมิได้จนทุกข์พระไทยออกพระโอฐว่าบุคคนผู้ใดเปนอาทิคือเทวดา บุทคล ผู้มีฤทธิมาประสิทธกระทำให้เข้าปลาอาหารสมบูรรณ์ขึ้นให้สัตว์โลกย์เปนศุขได้  แม้นผู้นั้นจะปราถนาพระภาหาแห่งเราข้างหนึ่ง ก็อาจ์จตัษบริจากให้แก่ผู้นั้นได้ ด้วยความกรรุณาเปนความสัจฉนี้"



สอดคล้องกับในจดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวีที่ระบุว่ามีการซื้อข้าวแจกในช่าวหลังตีค่ายโพธิ์สามต้นได้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ไว้ว่าคงจะเอาเงินที่ได้จากค่ายโพธิ์สามต้นไปใช้ซื้อข้าว

"ไปตีโพสามต้นได้หม่อมเจ้ามิต หม่อมเจ้ากระจาด ได้ปืนใหญ่พะม่าเอาไปไม่ได้ค้างอยู่ ให้ระเบิดเอาทองลงสำเภา ซื้อเข้าถังละ ๖ บาทเลี้ยงคนโซไว้ได้กว่า ๑๐๐๐"


ในพงศาวดารที่ชำระสมัยหลังได้ขยายความว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสั่งซื้อข้าวสารจากสำเภาเมืองพุทไธมาศ และยังปรากฏในหลักฐานอื่นเช่นสังคีติยวงศ์ที่ระบุว่ามีการสั่งข้าวจากเมืองจีนเข้ามา


นอกจากนี้ยังปรากฏว่าช่วงเวลาเดียวกันพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงโปรยทานแก่ราษฎรในทุกวันพระ และมีการตั้งโรงทานสำหรับคนโซ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการแจกจ่ายข้าวหรือซื้อข้าวจากต่างประเทศก็ยังไม่เพียงพอ ยังพบว่าราษฎรในแถบภาคกลางยังคงมีปัญหาปากท้องไปอีกพักใหญ่ ดังที่ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของฝรั่งเศสว่าช่วง พ.ศ.๒๓๑๒  "ค่าอาหารการรับประทานในเมืองนี้แพงอย่างที่สุด เวลานี้ เข้าสารขายกันทนานละ ๒ เหรียญครึ่ง คนที่หาการเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างนั้นถึงจะหมั่นสักเพียงไร ก็จะหาเพียงซื้ออาหารรับประทานแต่ คนเดียวก็ไม่พอ"

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์วิธีการแก้ปัญหาของพระเจ้ากรุงธนุบุรีไว้ว่า

“..เหตุด้วยเวลานั้นเจ้ากรุงธนบุรีตั้งตัวเป็นเหมือนอย่างเถ้าแก๋ ฤากงสี คนทั้งปวงเหมือนกุลี เถ้าแก๋เป็นผู้หาข้าวหาปลาจำหน่ายให้แก่พวกกุลีแจกเลี้ยงกันกิน เงินจะได้มาทางใดไม่ว่า เจ้ากรุงธนบุรีเป็นผู้ซื้อข้าวมาแจกเฉลี่ยเลี้ยงชีวิตกันในเวลาขัดสน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน  ครั้นเมื่อได้ทำไร่ไถนาบริบูรณ์ขึ้นแล้วไม่ต้องแจกข้าว แต่เมื่อผู้ใดขุดทรัพย์ได้ก็ยังต้องถวายช่วยราชการแผ่นดิน ซื้อข้าวซื้อปลาซื้อเกลือขึ้นฉางเป็นเสบียงกองทัพซึ่งเป็นการป้องกันรักษาอันตรายทั่วกันหมดเหมือนกัน...”


นอกจากนี้ยังมีปัญหาธรรมชาติคือฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล มีแมลงมากินข้าวในท้องนา และมีปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุมไปทั่ว พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ต้องทรงแก้ปัญหาให้ขุนนางทั้งหลายช่วยกันทำนา ดังที่พงศาวดารระบุว่า

"อนึ่งในปลายปีฉลู เอกศกนั้น บังเกีดทุภิกขไภยเข้าแพง เข้าสานเปนเกวียนลสองชั่ง อณาประชาราษขัดสนกันดารด้วยอาหารนัก จึ่งทรงพระกรุณาสั่งให้ข้าทูลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย พร้อมกันทำนาปรังทุกแห่งทุกตำบล"

"ครั้นณเดือน ๕ หนูคนองกีนเข้าในยุงฉาง  แลกัดสิงฃองแลทรัพยทั้งปวงเสีย  จึ่งมีรับสั่งให้ข้าทูลออง ฯ แลราษฎรดักหนูมาส่งแก่กรมพระนะครบารหนูสงบหายไป"

ประชนชนต้องเอาด้วยรอดด้วยการเที่ยวขุดหาสมบัติตามพระสถูปเจดีย์ไว้มาขาย ตามที่บาทหลวงฝรั่งเศสกล่าวว่า "พวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต้องรับความเดือดร้อนต้องล้มตายวันละมาก ๆ เพราะอาหารการกินอัตคัดกันดารอย่างที่สุด ในปีนี้ได้มีคนตายมีจำนวนมากกว่าเมื่อครั้งพม่าเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เหตุที่คนตายมากนักนั้นก็คือ เพราะเงินทองที่บัญจุไว้ตามพระเจดีย์หมดเสียแล้ว เมื่อปีก่อนและในปีนี้ พวกจีนและไทยไม่ได้หากินอย่างอื่น นอกจากเที่ยวทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์ พวกจีนได้ทำให้เงินทองในเมืองไทยไหลไปเทมา และการที่ประเทศสยามกลับตั้งตัว ได้เร็วเช่นนี้ก็เพราะความหมั่นเพียรของพวกจีน ถ้าพวกจีนไม่ใช่เปน คนมักได้แล้ว ในเมืองไทยทุกวันนี้ก็คงไม่มีเงินใช้เปนแน่"



การประมูลสมบัติที่มีผู้ฝังไว้ก่อนเสียกรุงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจเวลานั้น โดยถ้าต้องการจะขุดทรัพย์ก็ต้องแจ้งแก่ข้าราชการในท้องถิ่นของตนไปคุมกำกับ ทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของใครขุดได้ก็ต้องแบ่งเข้าหลวงเพื่อใช้เป็นรายได้ในราชการต่อไป ซึ่งก็มีส่วนช่วยเหลือให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ดีขึ้น โดยปรากฏว่ายังคงมีการขุดสมบัติที่กรุงเก่ามาจนถึงปลายรัชกาล


อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องปากท้องของราษฎรน่าจะมีไปอีกพักใหญ่ เพราะได้รับผลกระทบจากกับสงครามกับพม่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายพื้นที่ปลูกข้าวเดิมในฝั่งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาหลายเมืองถูกรบกวนทำให้ขาดแคลนข้าว และมีการขาดแคลนแรงงานในการผลิตเนื่องจากการกวาดต้อนไพร่พลลงมาในภาคกลาง จนถึง พ.ศ.๒๓๑๘ ก็ยังพบในหลักฐานของบาทหลวงฝรั่งเศสว่าเมืองไทยยังคงมีค่าครองชีพที่สูงเพราะภัยสงครามครับ

จนเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๙ ก็ยังปรากฏในเรื่องตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชกล่าวว่า "อิกประการหนึ่งถ้าฝ่ายพระนครศรีอยุทธยาขัดข้องด้วยอาหารจะได้ พึ่งพาอาไศรยบ้าง" แสดงว่าปัญหาในเรื่องปากท้องยังคงมีมากอยู่

จนถึง พ.ศ.๒๓๒๒ ถึงปรากฏในหลักฐานของฝรั่งเศสว่า "เสบียงอาหารเข้าปลานาเกลือก็จับจะบริบูรณ์ขึ้นอีกแล้ว" แต่ก็สันนิษฐานว่ายังคงมีปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง ปรากฏในจดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวีว่าในงานฉลองสมโภชพระแก้วมรกตเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๓ ได้ใช้เงินในการทอพระไตรถึงไตรละ ๑ ชั่ง ซึ่งเป็นราคาแพงมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชวิจารณ์ว่า "การหาผ้าในเวลานั้นเหลือจะหา จึงต้องทอ ราคาก็แพงมากอยู่"
ความคิดเห็นที่ 7
นอกจากนี้ การค้าในระบบบรรณาการกับจีนก็มีปัญหาอยู่หลายปี เพราะในช่วงแรกของการครองราชย์ ราชสำนักต้าชิงยังไม่ได้ยอมรับพระเจ้ากรุธนบุรีเป็นพระเจ้าแผ่นดินอย่างเป็นทางการ เพิ่งได้รับอนญาตในช่วงหลัง

หลักฐานอ้างอิงชิ้นสำคัญคือเอกสารชิงสือลู่ (清實錄) หรือ "บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์ชิง" ซึ่งเป็นการรวบรวมหลักฐานต่างๆ ทั้งจดหมายเหตุพระราชกรณียกิจ กระแสพระราชดำรัสของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ที่จดบันทึกแบบวันต่อวัน เมื่อจักรพรรดิพระองค์นั้นสวรรคตแล้วก็จะเรียบเรียกเป็นบรรพหนึ่ง จึงจัดได้ว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นในการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยนั้นชิ้นหนึ่ง โดยเนื้อหาที่เกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกบันทึกไว้ใน บรรพต้าชิงเกาจงฉุนสือลู่ (大清高宗純皇帝) ซึ่งเป็นจดหมายเหตุในรัชกาลจักรพรรดิชิงเกาจง (清高宗) หรือจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆) ซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับพระเจ้ากรุงธนบุรี

ปัจจุบันถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในชื่อ “หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตอนว่าด้วยสยาม” โดยมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สามารถหามาศึกษาได้ครับ

ยังมีเอกสารชั้นต้นที่สำคัญคือ หนังสือกราบบังคมทูลของอุปราชมณฑลกว่างตง-กว่างซีที่ทูลเกล้าฯ ถวายจักรพรรดิเฉียนหลง ที่กล่าวถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีมีทั้งหมด ๑๗ ฉบับ ซึ่งหลายตอนถูกรวบรวมไว้ในชิงสือลู่ด้วย


เหตุที่ต้าชิงไม่ให้การยอมรับจากพระเจ้ากรุงธนบุรีในระยะแรกนั้น เพราะได้รับข่าวสารส่วนใหญ่มาจาก พระยาราชาเศรษฐีม่อซื่อหลิน (鄚士麟) หรือ ม่อเทียนซื่อ/หมักเทียนตื๊อ (鄚天賜) เจ้าเมืองพุทไธมาศ ซึ่งให้การอุปถัมภ์เชื้อพระวงศ์กรุงเก่าอยู่ ๒ องค์ คือ เจ้าจุ้ยโอรสเจ้าฟ้าอภัย และเจ้าศรีสังข์โอรสเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร จุดประสงค์จริงๆ ยังสรุปได้ยาก แต่เชื่อว่าคงจะหนุนขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด นอกจากนี้หมักเทียนตื๊อก็มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ไปยังราชสำนักต้าชิง


ราชสำนักต้าชิงในเวลานั้นให้ความเชื่อถือม่อซื่อหลินมากพอสมควร ทำให้ได้ข่าวสารเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีในแง่ลบจากม่อซื่อหลินอยู่มาก ประกอบด้วยยึดถือเรื่องคติความกตัญญูของลัทธิขงจื่อ ทำให้ต้าชิงมองว่าการที่พระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งเดิมเป็นเพียงขุนนางกับตั้งตนเป็นกษัตริย์แทนที่จะสนับสนุนเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าทำให้ไม่มีความชอบธรรมเพียงพอที่จะครองแผ่นดิน เพราะละเมิดคุณธรรมข้อสำคัญในสายตาของคนจีน และมองเห็นว่าเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าที่ยังมีพระชนม์อยู่ในเวลานั้น เช่น กรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าพิมาย เจ้าจุ้ย เจ้าศรีสังข์ มีความชอบธรรมสูงกว่า

ปรากฏในชิงสือลู่ระบุว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีและขอรับพระราชทานตราตั้งประจำตำแหน่งและตราคำหับสำหรับการค้าในระบบบรรณาการกับจีน (จิ้มก้อง) ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ คณะทูตเดินทางไปถึงกวางตุ้ง หลี่ซื่อเหยา (李侍堯)  ผู้เป็นเหลียงกว่างจ่งตู (兩廣總督) หรืออุปราชมณฑลกว่างตง-กว่างซี (กว้างตุ้ง-กวางสี) จึงได้ถวายพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นไปปักกิ่ง ราชสำนักต้าชิงซึ่งไม่พอในพระเจ้ากรุงธนบุรีได้วิจารณ์พระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ว่า

“หวังได้รับตราตั้งโดยมิชอบเพื่อเป็นเครื่องมือตั้งตนเหรือผู้อื่น มิได้สำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแลพระเมตตาของเจ้านายเก่า อีกทั้งมิได้สืบหาองค์รัชทายาท เพื่อกอบกู้ชาติแลโจมตีอริศัตรู ถือว่าผิดคุณธรรม จริยธรรม แลทำตนเกินศักดิ์”

จักรพรรดิเฉียนหลงจึงโปรดให้ตีกลับพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรี และมีพระราชโองการให้ จวินจีต้าเฉิน (軍機大臣) หรือเสนาบดีสภาของราชสำนักร่างหนังสือในนามของหลี่ซื่อเหยา ให้ส่งต่อไปถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อตำหนิการครองราชสมบัติเองแทนที่จะสนบสนุนเจ้าราชวงศ์เก่า มีความตอนหนึ่งว่า

“...พื้นเพท่านเป็นชาวจีนย่อมรู้ดีถึงคุณธรรม จริยธรรม อันเป็นธรรมะสูงสุด จักไม่เคยรู้หลักคำสอนเรื่องนามนิยมเลยหรือ จึงปรากฏว่า เสียซื่อลู่ (พิษณุโลก)  ลู่คุน (นครศรีธรรมราช)  เกาเลี่ย (โคราช)  รวม ๓ เมือง ต่างก็มีความเดือดเนื้อร้อนใจในศัตรูร่วมกัน อันเนื่องมาจากการที่ท่านตั้งตนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”



สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงหลัง พ.ศ. ๒๓๑๔ ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆ รวบรวมแผ่นดินกลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้เรียบร้อย ประกอบกับทรงยกทัพไปตีเมืองพุทไธมาศและปราบปรามม่อซื่อหลินได้ เจ้าจุ้ยถูกประหาร เจ้าศรีสังข์หนีไปในกัมพูชาแล้วหายสาบสูญไป ทำให้เชื้อสายกรุงเก่าหมดสิ้นลง ราชสำนักต้าชิงจึงเริ่มปล่อยเลยตามเลยกับพระเจ้ากรุงธนบุรี นอกจากนี้ต้าชิงไม่ได้เชื่อใจม่อซื่อหลินมากเท่าในอดีต เพราะเห็นว่าม่อซื่อหลินตั้งใจเชิดเจ้าจุ้ยเพื่อใช้เป็นช่องทางแสวงหาอำนาจ จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงวางเฉยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความขัดแย้งระหว่างสยามกับพุทไธมาศอีก


นอกจากนี้พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงเพียรพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับต้าชิง โดยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๓๑๔ พระองค์ได้ส่งเชลยศึกระดับนายทหารชื่อ เซี่ยตูเหยียนต๋าพร้อมเชลยพม่ารวม ๓๙ คนที่จับได้จากสงครามตีเมืองเชียงใหม่ไปที่กว่างโจว ทำให้ต้าชิงมีท่าทีในทางบวกต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีมากขึ้น จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระราชโองการมาถึงหลี่ซื่อเหยา จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระราชดำริกับหลี่ซื่อเหยาว่า หากพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการอีกก็ไม่ให้ปฏิเสธอีกต่อไป และให้มอบแพรต่วนเป็นรางวัล แต่โปรดให้มอบให้ในนามของหลี่ซื่อเหยาเท่านั้น และยังไม่มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ เพราะต้าชิงต้องการสังเกตท่าทีของพระเจ้ากรุงธนบุรีก่อนว่าต้องการจะส่งคณะทูตมากขนาดไหน


มีข้อสังเกตคือในหลักฐานจีนตั้งแต่เดือน ๘ ของศักราชเฉียนหลงที่ ๓๗ (พ.ศ. ๒๓๑๕) ได้เปลี่ยนการวิธีเรียกพระเจ้ากรุงธนบุรี จากเดิมที่เรียกว่า “หัวหน้าเผ่าชนอาณาจักรสยาม” หรือ “พระยาสิน” หรือ “กันเอินซื่อ” มาเรียกว่า เจิ้งเจา (鄭昭) แทน ซึ่งคำว่า เจา (昭) นั้นตรงกับภาษาไทยว่า "เจ้า" และเป็นคำนำหน้าของกษัตริย์อยุทธยารวมถึงเชื้อพระวงศ์หลายองค์ จึงมีการวิเคราะห์ว่าต้าชิงเริ่มให้การยอมรับพระเจ้ากรุงธนบุรีในฐานะพระเจ้าแผ่นดินแล้ว


ใน พ.ศ. ๒๓๑๘ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งชาวจีนชื่อ เฉินจุ้นชิง และ เหลียนซ่างเสวียน ชาวนาจากอำเภอไห่เฟิง มณฑลกวางตุ้งซึ่งตกค้างอยู่ที่พุทไธมาศพร้อมครอบครัวกลับภูมิลำเนาเพื่อแสดงความจริงใจต่อต้าชิง ในปีเดียวกันก็ทรงส่งนายทหารของมณฑลหยุนหนานชื่อ จ้าวเฉิงจัน พร้อมทหารอีก ๑๘ นายซึ่งถูกพม่าจับเป็นเชลยกลับเมืองจีน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๙ ก็ทรงส่ง หยางเฉาผิง และพ่อค้าจากหยุนหนานอีก ๓ คนกลับเมืองจีน และปีต่อมาคือ พ.ศ. ๒๓๒๐ ทรงส่ง เหอเคอะ และเชลยพม่า ๖ คนไปยังกวางตุ้งอีก

การทำสงครามกับพม่าซึ่งเป็นศัตรูกับจีนรวมถึงการส่งเชลยไปให้หลายครั้ง ทำให้ราชสำนักต้าชิงมีท่าทีในทางบวกมากขึ้น เห็นได้จากใน พ.ศ. ๒๓๒๐ ต้าชิงยอมอนุญาตขายกำมะถัน ๕๐ หาบและกระทะเหล็ก ๕๐๐ ใบ ซึ่งเป็นสิ่งค้าต้องห้ามให้สยามโดยไม่คิดมูลค่าจากเดิมที่เคยปฏิเสธ และใน พ.ศ. ๒๓๒๑ ก็ยังอนุญาตให้สยามซื้อกำมะถันได้ ๑๐๐ หาบตามที่ร้องขอ


หลังจากนี้ สยามจึงเริ่มคิดจะส่งบรรณาการไปเมืองจีนเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการอีกครั้ง โดยมีหลักฐานว่าในเดือน ๗ ศักราชเฉียนหลงที่ ๔๒ (พ.ศ. ๒๓๒๐) พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงส่งคณะทูตจำนวน ๓ นายเดินทางไปปักกิ่งเพื่อแจ้งให้ต้าชิงทราบว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต ราชสำนักต้าชิงจึงอนุญาตให้ดำเนินการได้

แต่ว่าสยามยังไม่ได้ส่งคณะทูตไปอีกหลายปี โดยใน พ.ศ. ๒๓๒๑ ได้ทรงส่ง “บิ้น” (稟) ซึ่งเป็นเอกสารทางการประเภทหนึ่งในสมัยราชวงศ์ชิง ใช้สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการติดต่อกับจีนแจ้งขอเลื่อนส่งบรรณาการที่แจ้งไว้ไปก่อนเพราะยังบอบช้ำสงครามกับพม่า

เอกสารนี้คือจดหมายที่ คห. 4 อ้างถึง ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานพระราชวังแห่งชาติ กรุงไทเป สาธารณรัฐจีน โดยส่งหลังจากได้รับพระบรมราชานุญาตจากจักรพรรดิเฉียนหลงให้มีการติดต่อทางการค้าเหมือนในอดีตแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับช่วงที่ยังมีปัญหากันอยู่แต่ประการใด และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความไม่พอพระทัยของจักรพรรดิเฉียนหลงว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ส่งบรรณาการให้แต่อย่างใด (เพราะแต่เดิมไม่ได้รับอนุญาตให้ส่ง เพิ่งได้รับอนุญาตในช่วงหลัง) จึงควรตรวจสอบบริบทและเนื้อหาของหลักฐานชิ้นนี้ให้ดีก่อนครับว่าเป็นเอกสารในสมัยใดและกล่าวถึงเรื่องใดบ้างครับ


จนสุดท้ายใน พ.ศ. ๒๓๒๔ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงจัดส่งคณะทูตนำไปเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการในที่สุด ประกอบด้วยเรือ ๑๑ ลำ บรรทุกสินค้าออกเดือนทางในเดือนพฤษภาคม มาถึงกวางตุ้งในเดือนกรกฎาคม โดยมีสินค้าและเครื่องบรรณาการจำนวนมาก พร้อมทั้งนำพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปถวายจักรพรรดิเฉียนหลงด้วย (ปัจจุบันมีสำเนาอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) แต่เมื่อคณะทูตกลับมาถึงเมืองไทยก็พบว่าผลัดแผ่นดินแล้วครับ


เรื่องความสัมพันธ์กับจีนในสมัยธนบุรีมีการศึกษาในวงวิชาการมาหลายสิบปีแล้ว  โดยมีงานศึกษาที่ชิ้นสำคัญเป็นที่รู้จักแพร่หลายคือ "ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงธนบุรี : ศึกษาจากเอกสารจีน (Thai History of Thonburi Period : Study from Chinese Document)" ของศาสตราจารย์ต้วนลี่เซิง (段立生) เคยมีสมาชิกท่านอื่นนำเนื้อหาบางตอนมาลงไว้ สามารถอ่านได้ตามลิ้งก์ด้านล่างครับ
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/03/K4204481/K4204481.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่