JJNY : รสนาจวก รัฐไม่จริงจังวิกฤตฝุ่น เย้ยอยากทันสมัย แต่ไม่พัฒนาฯ/ วันนี้ฝุ่น 2.5 พุ่งปริ๊ด เกิน 24 สถานีฯ

กระทู้คำถาม
"รสนา"จวก รัฐไม่จริงจังวิกฤตฝุ่น เย้ย อยากทันสมัย แต่ไม่พัฒนา ห่างไกลไทยแลนด์4.0
https://www.matichon.co.th/politics/news_1334893

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตส.ว.กรุงเทพฯ และอดีตสมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตฝุ่น ระบุว่า

“ประเทศไทยทันสมัยแต่ไม่พัฒนา พาคุณภาพชีวิตตกต่ำท่ามกลางหมอกฝุ่นจิ๋วอย่างที่เห็นและเป็นอยู่”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ ปยุตโต) เคยกล่าวว่ามีฝรั่งวิจารณ์ประเทศไทยว่า “ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา” ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อดูมาตรฐานการบริโภคของไทย เราได้ใช้ข้าวของเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยเหมือนกับฝรั่งตะวันตก แต่เราเป็นผู้เสพมากกว่าผู้สร้าง ไม่ค่อยพึ่งตัวเอง ผลิตอะไรเองไม่เป็น สินค้าเกษตรก็ไม่ได้พัฒนาต่อยอดให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่นยางพาราก็ทำแค่เป็นแผ่นยางดิบส่งขายเป็นวัตถุดิบ ยางรถยนต์ก็ไม่เคยคิดผลิตขึ้นมาใช้เอง อย่าคิดไกลไปถึงรถยนต์ เป็นต้น

การไม่พึ่งตัวเอง ทำให้ไทยหวังแต่เงินลงทุนจากภายนอก และมักผ่อนปรนให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษ จนละเลยมาตรฐานคุณภาพชีวิตของประชาชน เห็นได้จาก ความไม่ใส่ใจในคุณภาพของอาหาร น้ำ ที่ภาครัฐปล่อยให้สารเคมีจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าปนเปื้อนในพืชผัก และอาหาร รวมทั้งปนเปื้อนในน้ำ เพราะรัฐให้ความสำคัญกับธุรกิจสารเคมีของเอกชนมากกว่าความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน จนท้ายสุดมาถึงเรื่องอากาศที่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะทุกคนต้องหายใจจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้อากาศเป็นพิษ

เมื่อฝุ่นPM 2.5 เกิดวิกฤติขึ้นมา รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการอะไรมารองรับในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิผล นอกจากการฉีดน้ำ และการทำฝนเทียม ยิ่งกว่านั้น ก็ยังไม่มีมาตรการแก้ปัญหาระยะสั้น ระยะยาวอะไรที่เห็นมรรคเห็นผล

ในต่างประเทศ มีการประกาศหยุดโรงเรียน ลดราคารถขนส่งสาธารณะเพื่อจูงใจให้คนใช้รถสาธารณะแทนรถส่วนตัว ห้ามรถเข้าในเขตชั้นในของเมือง การควบคุมการปล่อยมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม การส่งเสริมรถไฟฟ้า โดยใช้มาตรการทางภาษี เป็นต้น

แต่ประเทศไทย ไม่ได้ประกาศมาตรการเร่งด่วนในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่างการไม่ประกาศให้โรงเรียนในเขตอากาศวิกฤติหยุดเรียน แต่ปล่อยแต่ละโรงเรียนตัดสินใจกันเอาเอง ปล่อยให้ประชาชนวิ่งหาซื้อหน้ากากกันฝุ่นที่ขาดตลาดและราคาแพงโดยไม่มีมาตราการใดๆมาช่วยเหลือ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีมาตราการใดที่รัฐบาลประกาศออกมาเพื่อลดปริมาณฝุ่นจากรถยนต์ในช่วงวิกฤตินี้

ในการแก้ปัญหาคุณภาพอากาศ เป็นภารกิจที่ต่อเนื่อง ประเทศเพื่อนบ้านตื่นตัวเรื่องแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ มีการกำหนดเป้าหมายด้วยมาตราการต่างๆ เช่นการควบคุมมาตรฐานของโรงงานอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง ส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพอากาศเป็นต้น แต่ประเทศไทยไม่ขยับมาตรฐานปรับเพดานการวัดมลพิษเลย ตามที่กล่าวในบทความว่า 9ปีที่ผ่านมา ไทยไม่ได้ขยับเพดานในการวัดฝุ่นจิ๋ว 2.5 ไมโครกรัมให้น้อยลงให้ใกล้เคียงกับมาตราฐานขององค์การอนามัยโลกโดยที่ข้ออ้างของฝ่ายบริหารมักมองว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นอุปสรรคของการพัฒนา

นโยบายไทยแลนด์ 4.0 เรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งเรื่องอาหาร น้ำ อากาศ บริสุทธิ์ต้องเป็นเป้าหมายแรกๆในการบรรลุถึง ไม่ใช่คิดแต่เรื่องเศรษฐกิจการก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางเท่านั้น หากไม่มีการกำหนดเป้าหมายคุณภาพชีวิตอย่างจริงจัง ก็คงยากที่ประเทศไทย จะเป็นได้ทั้งประเทศทันสมัยและพัฒนา

อาจารย์ฝรั่งในมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งที่มีลูกเล็ก ปรารภกับลูกชายดิฉันว่า “คงต้องกลับอเมริกาสักพัก จนกว่าเรื่องฝุ่นจะคลายวิกฤติ รัฐบาลไทยสนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ไม่สนใจเรื่องคุณภาพชีวิต”

น่าจะเป็นบทสะท้อนความจริงที่ว่าหากผู้บริหารไทยสนใจแต่ความทันสมัย แต่ไม่พัฒนา คงยากจะไปถึงเป้าหมายไทยแลนด์ 4.0


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่