เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว (ปี61) เรากับแฟนวางแผนกันไว้ว่าจะไปเที่ยวที่กาญฯวันอาทิตย์ และหาโรงแรมนอนค้างที่นั่น
เพราะแฟน จขกท มีธุระที่กาญฯวันจันทร์พอดี
พอเที่ยวเสร็จประมาณ 4โมงเย็นเราก็เปิดกูเกิ้ลดูว่ามีโรงแรมไหนใกล้กับที่แฟนเราจะไปทำธุระในวันพรุ่งนี้บ้าง
และในที่สุดเราก็เจอโรงแรมนั้นดูใหญ่ ห้องดูน่านอน เราเลยตกลงกันว่าไปโรงแรมนี้แหละ
พอไปถึงโรงแรมนั้นรู้สึกว่าเหมือนจะเป็นโรงแรมเก่าแต่เค้ามีการปรับปรุงใหม่ ทาสีใหม่เลยดูโอเค โรงแรมถือว่าใหญ่และดูดีเลยแหละ
เราก็เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจะเปิดห้อง
พนง. : "สวัสดีค่ะ ได้จองไว้หรือยังคะ"
แฟน : "ไม่ได้จองครับ"
พนง : "ตอนนี้ห้องพักเราเหลือชั้น1 กับชั้น2 นะคะ คุณลูกค้าต้องการชั้นไหนคะ"
แฟน : "ต้องการชั้น 1 ครับ ขอเป็นเตียงเดี่ยวครับ"
(พนักงานที่คุยกับแฟนเราหันไปมองหน้าเพื่อนพนักงานอีกคนพร้อมกัน และทำสีหน้าแปลกๆ)
พนง : "ชั้น 1 เป็นเตียงคู่ได้ไหมคะ เตียงเดี่ยวเต็มแล้วค่ะ"
(เรา 2 คนมองหน้ากันเหมือนรู้ใจว่ายังไงก็อยากจะนอนเตียงเดี่ยว และตัวเราเองชอบชั้น 1 มากกว่าเพราะมันใกล้กับทุกๆอย่าง)
แฟน : "ไม่มีเลยเหรอครับ คือผมต้องการเตียงเดี่ยวชั้น 1"
พนง : "งั้นรอสักครู่นะคะ" (พนักงานเดินห่างออกไปจากเคาน์เตอร์โทรหาใครสักคน สักพักก็เดินกลับมาที่เดิม)
พนง : "ได้ค่ะ เหลือห้องเดียวพอดี"
เรารู้สึกดีใจมาก ไม่คิดว่าจะได้ห้องที่เป็นห้องสุดท้ายพอดี
พอเราเดินเข้าไปในห้อง ทุกอย่างปกติ ห้องกว้างใหญ่ สะอาดดูดี คือน่านอนมาก บรรยากาศไม่น่ากลัวเลย
และพอตกดึกเราก็นอนกันไวมากด้วยความเพลียจากการเที่ยวทั้งวันตั้งแต่เช้า และแฟนก็ต้องไปทำธุระในวันพรุ่งนี้แต่เช้าด้วย
.
.
.
.
.
.
.
และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่ามันจะมีอยู่ในห้องนี้ก็เกิดขึ้น
เรารู้สึกว่าเราหนักตัวมาก อยากจะลุกก็ลุกไม่ขึ้น ขยับตัวไม่ได้ อยากจะตะโกนว่าช่วยด้วยแต่เสียงมันไม่ออกมา
เรานอนตะแคงทางซ้าย(เพราะแฟนนอนซ้ายมือเรา) เรารู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น
ลืมตาได้ครึ่งเดียวก็เห็นว่าแฟนไม่อยู่ที่ห้องแล้ว น่าจะออกไปทำธุระแล้ว
เรากลัวมากเพราะมันขยับไม่ได้เลย เราดิ้นๆๆจนเหนื่อย สักพักก็ขยับตัวได้ ตัวเบาลง แต่มันเหนื่อยมาก และยังรู้สึกง่วงมาก เราเลยเผลอหลับไปอีกรอบ
.
.
.
มันยังไม่จบแค่นั้นค่ะ เรารู้สึกเหมือนเดจาวูอีกรอบ ตัวมันหนัก แขนหนักอีกแล้ว เราดิ้นสู้ จะตะโกนก็ไม่มีเสียงออกมา เราเลยฝืนลืมตาทั้งๆที่ลืมไม่ค่อยขึ้น พอลืมตาเท่านั้นแหละค่ะ เห็นหน้าฝรั่งเป็นผู้ชายวัยรุ่น ตาสีฟ้า ผมสีบอร์นทองทรงสกินเฮด ดวงตาแข็งมากมองมาที่เรา คือจ้องหน้าเราเลย ตอนนั้นเรากลัวมาก อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ขยับตัวก็ไม่ได้ เราเลยหลับตาปี๋สักพักได้ยินเสียงคนแก่ผู้หญิงพูดข้างๆหูเราเสียงแบบแหบแห้งมากเป็นภาษาอีสาน
".....ส่ำนี่..กะบ่ไหวแล้วบ่" (แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรอ)
เราได้ยินคือแบบอยากจะกรี๊ดมาก แต่คือมันกรี๊ดไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ มีอย่างเดียวที่ลุกได้ตอนนี้คือขนหัวลุกค่ะ
เรานึกได้ในใจก็เลยสวดมนต์ทุกบทเท่าที่นึกได้ แล้วมันก็ได้ผลค่ะ พอขยับตัวได้ลุกขึ้นได้เรารีบวิ่งไปเปิดไฟและวิ่งไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำ
ขนเราลุกอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าหันไปมองที่เตียงเลย พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรารีบวิ่งออกจากห้องพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วย
เราไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่ล๊อบบี้และโทรหาแฟนแต่โทรไม่ติดเพราะแฟนน่าจะติดธุระอยู่ เราเลยโทรไปเล่าให้พี่สาวฟัง พี่สาวก็ได้แต่ปลอบใจ
และบอกให้นั่งรอแฟนที่ล๊อบบี้จนกว่าแฟนจะกลับมานะ เรานั่งรอแฟนนานมากจนเที่ยงมันได้เวลาเช็คเอาท์แล้วเราเลยกลั้นใจกลับไปที่ห้องเพราะยังไม่ได้เก็บของเลย .
.
.
.
กลับไปที่ห้อง บรรยากาศมันรู้สึกหลอนไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่เจอผี ขนาดเปิดไฟทุกดวงแล้วยังรู้สึกว่ามันก็ยังน่ากลัวอยู่
เรากลั้นใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ในขณะที่เราก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อผ้าอยู่ เรารู้สึกได้ถึงลมเบาๆวูบผ่านหน้าไป
ทั้งๆที่ห้องนั้นไม่ได้เปิดหน้าต่าง แอร์ก็ปิดไปแล้วเพราะมันหนาวมาก แล้วลมมาจากไหน ?
ตอนนั้นสติไม่อยู่ที่ตัวแล้ว เพราะหน้าฝรั่งที่เราเห็นมันติดตาเราตลอดเวลา เสียงยายแก่ๆก็ยังก้องที่หูอยู่ เราเลยวิ่งออกจากห้องอีกรอบ
และรอให้แฟนมาเก็บของส่วนที่เหลือ
.
.
.
.
หลังจากนั้นพอกลับจาก กทม เราก็ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ จนตอนนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเขาต้องการอะไร
เจอผีในโรงแรมที่กาญฯ
เพราะแฟน จขกท มีธุระที่กาญฯวันจันทร์พอดี
พอเที่ยวเสร็จประมาณ 4โมงเย็นเราก็เปิดกูเกิ้ลดูว่ามีโรงแรมไหนใกล้กับที่แฟนเราจะไปทำธุระในวันพรุ่งนี้บ้าง
และในที่สุดเราก็เจอโรงแรมนั้นดูใหญ่ ห้องดูน่านอน เราเลยตกลงกันว่าไปโรงแรมนี้แหละ
พอไปถึงโรงแรมนั้นรู้สึกว่าเหมือนจะเป็นโรงแรมเก่าแต่เค้ามีการปรับปรุงใหม่ ทาสีใหม่เลยดูโอเค โรงแรมถือว่าใหญ่และดูดีเลยแหละ
เราก็เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจะเปิดห้อง
พนง. : "สวัสดีค่ะ ได้จองไว้หรือยังคะ"
แฟน : "ไม่ได้จองครับ"
พนง : "ตอนนี้ห้องพักเราเหลือชั้น1 กับชั้น2 นะคะ คุณลูกค้าต้องการชั้นไหนคะ"
แฟน : "ต้องการชั้น 1 ครับ ขอเป็นเตียงเดี่ยวครับ"
(พนักงานที่คุยกับแฟนเราหันไปมองหน้าเพื่อนพนักงานอีกคนพร้อมกัน และทำสีหน้าแปลกๆ)
พนง : "ชั้น 1 เป็นเตียงคู่ได้ไหมคะ เตียงเดี่ยวเต็มแล้วค่ะ"
(เรา 2 คนมองหน้ากันเหมือนรู้ใจว่ายังไงก็อยากจะนอนเตียงเดี่ยว และตัวเราเองชอบชั้น 1 มากกว่าเพราะมันใกล้กับทุกๆอย่าง)
แฟน : "ไม่มีเลยเหรอครับ คือผมต้องการเตียงเดี่ยวชั้น 1"
พนง : "งั้นรอสักครู่นะคะ" (พนักงานเดินห่างออกไปจากเคาน์เตอร์โทรหาใครสักคน สักพักก็เดินกลับมาที่เดิม)
พนง : "ได้ค่ะ เหลือห้องเดียวพอดี"
เรารู้สึกดีใจมาก ไม่คิดว่าจะได้ห้องที่เป็นห้องสุดท้ายพอดี
พอเราเดินเข้าไปในห้อง ทุกอย่างปกติ ห้องกว้างใหญ่ สะอาดดูดี คือน่านอนมาก บรรยากาศไม่น่ากลัวเลย
และพอตกดึกเราก็นอนกันไวมากด้วยความเพลียจากการเที่ยวทั้งวันตั้งแต่เช้า และแฟนก็ต้องไปทำธุระในวันพรุ่งนี้แต่เช้าด้วย
.
.
.
.
.
.
.
และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่ามันจะมีอยู่ในห้องนี้ก็เกิดขึ้น
เรารู้สึกว่าเราหนักตัวมาก อยากจะลุกก็ลุกไม่ขึ้น ขยับตัวไม่ได้ อยากจะตะโกนว่าช่วยด้วยแต่เสียงมันไม่ออกมา
เรานอนตะแคงทางซ้าย(เพราะแฟนนอนซ้ายมือเรา) เรารู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น
ลืมตาได้ครึ่งเดียวก็เห็นว่าแฟนไม่อยู่ที่ห้องแล้ว น่าจะออกไปทำธุระแล้ว
เรากลัวมากเพราะมันขยับไม่ได้เลย เราดิ้นๆๆจนเหนื่อย สักพักก็ขยับตัวได้ ตัวเบาลง แต่มันเหนื่อยมาก และยังรู้สึกง่วงมาก เราเลยเผลอหลับไปอีกรอบ
.
.
.
มันยังไม่จบแค่นั้นค่ะ เรารู้สึกเหมือนเดจาวูอีกรอบ ตัวมันหนัก แขนหนักอีกแล้ว เราดิ้นสู้ จะตะโกนก็ไม่มีเสียงออกมา เราเลยฝืนลืมตาทั้งๆที่ลืมไม่ค่อยขึ้น พอลืมตาเท่านั้นแหละค่ะ เห็นหน้าฝรั่งเป็นผู้ชายวัยรุ่น ตาสีฟ้า ผมสีบอร์นทองทรงสกินเฮด ดวงตาแข็งมากมองมาที่เรา คือจ้องหน้าเราเลย ตอนนั้นเรากลัวมาก อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ขยับตัวก็ไม่ได้ เราเลยหลับตาปี๋สักพักได้ยินเสียงคนแก่ผู้หญิงพูดข้างๆหูเราเสียงแบบแหบแห้งมากเป็นภาษาอีสาน
".....ส่ำนี่..กะบ่ไหวแล้วบ่" (แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรอ)
เราได้ยินคือแบบอยากจะกรี๊ดมาก แต่คือมันกรี๊ดไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ มีอย่างเดียวที่ลุกได้ตอนนี้คือขนหัวลุกค่ะ
เรานึกได้ในใจก็เลยสวดมนต์ทุกบทเท่าที่นึกได้ แล้วมันก็ได้ผลค่ะ พอขยับตัวได้ลุกขึ้นได้เรารีบวิ่งไปเปิดไฟและวิ่งไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำ
ขนเราลุกอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าหันไปมองที่เตียงเลย พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรารีบวิ่งออกจากห้องพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วย
เราไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่ล๊อบบี้และโทรหาแฟนแต่โทรไม่ติดเพราะแฟนน่าจะติดธุระอยู่ เราเลยโทรไปเล่าให้พี่สาวฟัง พี่สาวก็ได้แต่ปลอบใจ
และบอกให้นั่งรอแฟนที่ล๊อบบี้จนกว่าแฟนจะกลับมานะ เรานั่งรอแฟนนานมากจนเที่ยงมันได้เวลาเช็คเอาท์แล้วเราเลยกลั้นใจกลับไปที่ห้องเพราะยังไม่ได้เก็บของเลย .
.
.
.
กลับไปที่ห้อง บรรยากาศมันรู้สึกหลอนไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่เจอผี ขนาดเปิดไฟทุกดวงแล้วยังรู้สึกว่ามันก็ยังน่ากลัวอยู่
เรากลั้นใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ในขณะที่เราก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อผ้าอยู่ เรารู้สึกได้ถึงลมเบาๆวูบผ่านหน้าไป
ทั้งๆที่ห้องนั้นไม่ได้เปิดหน้าต่าง แอร์ก็ปิดไปแล้วเพราะมันหนาวมาก แล้วลมมาจากไหน ?
ตอนนั้นสติไม่อยู่ที่ตัวแล้ว เพราะหน้าฝรั่งที่เราเห็นมันติดตาเราตลอดเวลา เสียงยายแก่ๆก็ยังก้องที่หูอยู่ เราเลยวิ่งออกจากห้องอีกรอบ
และรอให้แฟนมาเก็บของส่วนที่เหลือ
.
.
.
.
หลังจากนั้นพอกลับจาก กทม เราก็ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ จนตอนนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเขาต้องการอะไร