ตามหาคน

สวัสดีคะ อ่านหัวข้อแล้วดูจะซ้ำ ๆ กับหลาย ๆ โพสต์ในนี้นะคะ

แต่อาการแบบนี้เป็นมานานแล้วและไม่หายซักที

เวลาที่เรารู้สึกดีมาก ๆ หรือรู้สึกท้อมาก ๆ เราจะคิดถึงคนคนนึง ถึงกับเอาไปฝันว่าได้เจอเค้าก็รู้สึกดีมาก ๆ จนไม่อยากตื่นเลยค่ะ เราลองมาทบทวนตัวเองหลายครั้งแล้วนะคะว่าทำไมถึงหาเหตุผลที่จะหยุดคิดถึงเค้าไม่ได้สักที

ตอนเด็ก ๆ เรามีเพื่อนต่างเพศชั้นเดียวกันเนี่ยแหละค่ะ เรียกว่าเป็นป็อปปี้เลิฟก็ว่าได้ รู้จักกันมาสมัยประถม จนกระทั่งเรียนจบจะต่อชั้นมัธยมก็ยังคุยโทรศัพท์กันอยู่เลยค่ะ คุยกันทุกวัน แต่ไม่เคยคุยกันเชิงชู้สาวเลยนะคะ จะออกแนวกระหนุงกระหนิงเป็นพี่ชายน้องสาวแบบสนิทมาก ๆ มากกว่า ปรึกษากันทุกเรื่อง ส่วนใหญ่พี่เค้าจะรับฟังและเราก็จะเป็นส่วนบ่น ๆ ๆ มากกว่า (ฮ่าๆ) (เค้าเรียนชั้นเดียวกันแต่เกิดก่อนเราปีนึงค่ะ) ก่อนที่จะเลิกติดต่อ เค้าเคยชวนเราไปงานบวชเค้าที่สระแก้ว ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยนะคะว่าเค้าจะชวนเราไปงานสำคัญแบบนั้น คือเราก็รู้อยู่แล้วว่าพี่เค้าเป็นคนเจ้าชู้ และคงแค่คุยกับเราเล่น ๆ แต่เราก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้คุยกัน ยิ่งเค้ามาชวนเราอย่างนี้อีก เรายิ่งฟินเลยค่ะ รู้สึกแบบเราเป็นคนสำคัญในชีวิตเค้าไรงี้ (มโนเก่งมาก ฮ่า ๆ) เค้าให้แม่เค้าขับรถมารับเราที่หน้าหมู่บ้านเลยค่ะ บอกว่าเป็นทางผ่านไม่ต้องกังวลไปกับผู้ใหญ่ แม่เค้าก็มารับจริง ๆ ค่ะ ...

จริง ๆ ครอบครัวของเราทั้งคู่ไม่ได้สมบูรณ์เท่าไหร่ เหมือนโลกเหวี่ยงคนขาด ๆ เกิน ๆ ให้มาเจอกัน ตอนอยู่ที่โรงเรียน เค้าจะเปรียบเสมือนฮีโร่ที่คอยปกป้องเราเลยค่ะ เพราะเราเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนอื่น (เด็กคนอื่นเค้าเรียนกันมาตั้งแต่อนุบาล เราเพิ่งย้ายเข้ามาตอนป. 1 เทอม 2) เค้าเป็นเด็กผู้ชาย สูง ขาว ตี๋ ผมฟู ๆ เป็นที่เคารพของเด็กคนอื่น ๆ กลิ่นหอมด้วย (แรดตั้งแต่เด็กเลยเรา) เราไม่เคยคิดอ่อนไหวเลยนะคะ แต่พอนาน ๆ เข้า ความมีเสน่ห์ของเค้าบวกกับความเอาใจใส่ มันค่อย ๆ ทำให้เรามองเค้าเป็นคนที่พึ่งพาได้ ส่วนตัวเราเป็นพี่สาวคนโตค่ะ มีน้องชาย 2 คน และน้องต่างแม่อีก 3 คน ตอนนั้นพ่อเรามีเมียหลายคน เราก็เลยจะไม่ค่อยไว้ใจผู้ชายเจ้าชู้น่ะค่ะ (เหรอ?) ที่บ้านเราไม่ค่อยจะอบอุ่นเท่าไหร่ แต่เราตั้งใจเรียนมากเลยนะคะ สอบได้ที่ 1 เป็นประจำ ตกต่ำสุดก็ท็อป 3 ทำงานเสร็จก่อนเพื่อน เป็นเด็กกิจกรรม ทั้งดนตรีไทย ทั้งภาษาอังกฤษ เข้ารายการแข่งขันศิลปะ เชิญธงชาติ นำร้องเพลงหน้าเสาธง บลา ๆ ๆ ฯลฯ คือแบบถ้าไม่มาซักประวัติเราก็ไม่มีใครรู้อะค่ะว่าที่บ้านเป็นเด็กมีปัญหา สำหรับเราการได้ไปโรงเรียนคือสิ่งที่มีความสุขมากที่สุด เหมือนการได้เป็นที่ยอมรับน่ะค่ะ เราได้เป็นรองหัวหน้าห้อง ส่วนพี่เค้าเรียนไม่ค่อยเก่งแต่ได้เป็นหัวหน้าห้องเพราะพี่เค้าคุมเด็กคนอื่น ๆ ได้ อารมณ์ประมาณหัวหน้าแก๊ง จำได้วีรกรรมที่เค้าปกป้องเรา คือตอน ป.4 มันจะเป็นช่วงที่แบบเด็ก ๆ ทุกคนจะเริ่มมีแฟน จะเริ่มโดนแซวใครชอบใคร เราก็แบบรู้นะ ว่าเรียนอยู่ยังไม่เหมาะที่จะมีแฟน บวกกับที่เค้าเป็นคนเจ้าชู้ไม่เสี่ยงดีกว่า เลยทำไดอารี่ไปบอกเค้าสารภาพรักแต่แบบขอเป็นพี่น้องอะค่ะ โอ้ยยยยยย จิกกก หมอนนน พิมไปเขินไป... โมเม้นนั้นนน ย๊ากกก จุดพีคคือ เค้าตอบตกลง! ละพีคยิ่งกว่าพีคคือ คนอื่นขอเค้าไม่ให้ แต่เค้าให้เราแค่คนเดียว! >////////////////< หลังจากนั้นเราก็เป็นพี่ชาย+น้องสาวที่แสนดีต่อกันเสมอมา  เวลาที่เราไปลานกิจกรรมต้องคอยไล่เด็ก ๆ ขึ้นห้องเรียนตามเวลาเรียน แล้วบางทีก็จะไปเจอเด็กดื้อบ้าง (คือ จินตนาการตามนะคะ เราเป็นเด็กผู้หญิงตัวท้วม ๆ ห้าว ๆ ออกแนวกวนตีน ๆ หน่อยแต่เป็นที่รักของคุณครู แล้วใส่ป้ายสีแดงที่แขนทำหน้าที่ต้อนเด็กทุกคนเข้าชั้นเรียนตอนกริ่งดังหมดเวลาพัก) แล้วเด็กดื้อที่เจอเนี่ย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กหัวโจก ตัวสูงกว่าเรามาก ประมาณว่าเป็นหัวหน้าแก๊งของอีกห้องนึง ละเหมือนเค้าไม่ฟังเรา ไม่ยอมเราก็จะบวกกับเราไรงี้ กลางสนามบาสเลยนะคะ พี่ชายที่แสนดีของเราก็วิ่งลงมาอยู่ตรงกลางหน้าระหว่างเรากับเค้าและบอก "อย่าทำอะไรน้องกู" >[]< ............. อย่างงี้เรียกว่ารักได้หรือยังคะ T^T มีอีกตอนนึงตอนเราต้องไปตจว.กับที่บ้าน ตอนนั้นเรายังไม่มีโทรศัพท์ใช้กันทั้ง 2 คน ก็จะมีครูประจำชั้นให้โทรตามผู้ปกครองเราว่าเราไปไหนไปกี่วันจะกลับมาเมื่อไหร่ ครูเค้าก็โทรเข้าเบอร์คุณแม่เรา จำได้แม่นเลยค่ะตอนนั้นกำลังนั่งเรือข้ามฟากไปเกาะสีชัง เสียงโทรศัพท์แม่ดังขึ้นละมีเด็กผู้หญิงในสายบอกว่าขอคุยกับเรา ก็คุยตามปกติค่ะ และเพื่อนผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่ามีคนอยากคุยด้วย เราก็ "อืม.. ฮัลโหล" "ไง อยู่ไหน... ทำอะไร.. กลับมาเมื่อไหร่" >______________< เสียงผู้ชายปลายสายคือเสียงพี่เค้าค่ะ จำได้เลย ท่ามกลางทะเลตอนนั้นไม่มีกลิ่นเค็มเลยค่ะ มีแต่ไอหวานจากโทรศัพท์ โอ่ยยยยยยย เคลิ้ม พอคุยกับเค้าไม่กี่คำเสร็จ เพื่อนผู้หญิงก็กลับมาคุยกับเราต่อ "แหม คุยกันนานเลยนะ คุยอะไรกันอะ".... ทริปนั้นทั้งทริปญาติเราบอก ใจเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลอยข้ามฟากทะลุชลบุรีไปยังกรุงเทพฯแล้วค่ะ จำได้เลยเพลงริงโทน Missed call ของ Senorita พอจบทริปก็จะมีช่วงที่คุณแม่ไปส่งที่โรงเรียน สงสัยคุณแม่เค้าอยากรู้มั้งคะว่าผู้ชายคนนั้นที่ทำให้เรายิ้มหน้าบานเป็นใคร เราเลยชี้ให้คุณแม่ดู เค้ามาสวัสดีคุณแม่หน้าโรงเรียนด้วยคะ (หรือฉันมโนไปเอง ฟินไปหมดแล้ว) ..

เรื่องราวความหวานของเราสองคนใกล้จะจบแล้วหล่ะค่ะ ตอนแรกแค่คิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องปกติ ถ้าต่างคนต่างเรียนจบละต้องแยกย้ายกันไป แต่เค้ากลับต้องย้ายโรงเรียนก่อนเรียนจบปีนึง จำได้ไหมคะที่เล่าให้ฟังว่าครอบครัวเราสองคนก็ไม่ได้สมบูรณ์เท่าไหร่ จริง ๆ เราเข้าใจว่าพี่เค้าปกติดีทุกอย่าง เพราะเค้าช่างเป็นคนเอาใจใส่เหลือเกิน เค้าช่างเป็นพี่ชายที่แสนดี เป็นผู้นำที่พึ่งพาได้ อาจจะติดตรงแค่เช้าชู้ไปหน่อย ... ตอนเค้าย้ายไป เราแทบจะไม่ได้คุยกันเท่าไหร่เลยคะ เอาจริง ๆ ความทรงจำส่วนนั้นเราก็แทบจะจำไม่ได้แม่นสักเท่าไหร่ เพราะชีวิตส่วนตัวเราก็มีปัญหากับพ่อเลี้ยงคนใหม่ มันแทบจะไม่เหลือความทรงจำดีดีที่อยากจะเก็บมาจำไว้เลย แต่ตอนที่เราใกล้จะจบป. 6 เราได้ข่าวว่าเค้ากลับมาเยี่ยมรร.เรา แต่เราโชคไม่ดีที่ไม่ได้เจอเค้า แต่ในความโชคไม่ดีก็มีความโชคดีอยู่บ้าง เราได้เบอร์โทรเค้ามา ก็ตัดสินใจโทรหาเค้าเลยคะ เค้าก็ถามว่าวันนั้นที่เค้าไปเยี่ยมเราไปอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่ได้เจอเรา เราได้ยินคำนี้น้ำตาแทบไหลเลยค่ะ นึกว่าเค้าจะลืมเราไปซะแล้ว เค้าก็คุยกับเราทุกวัน ทุกเย็นหลังเลิกเรียน คุยกันทุกวันก่อนนอน เราไม่เคยเล่าเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราให้เค้าฟัง จะเน้นบ่นเรื่องทั่วไปมากกว่า โทรถามไถ่ ว่าเค้าอยู่ยังไง สบายดีไหม ดูแลสุขภาพด้วย ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราอยู่กับแม่เลี้ยงแล้วหละค่ะ ก่อนเปิดเทอม ม. 1 บอกตามตรงเลย ว่าเค้าเป็นคนเดียวที่เราสามารถคุยได้ คือเค้าเป็นเซฟโซนที่แท้ทรู เรารู้สึกได้เลยว่าเค้าจะไม่มีวันทำร้ายเรา ทั้งทางความรู้สึก และทางกาย ... มันเป็นความรู้สึกดีที่บริสุทธิ์มาก ๆ จริง ๆ นะคะ เค้าเคยเล่าให้ฟังอยู่บ้างว่าบ้านที่เค้าย้ายไปที่สระแก้ว เป็นบ้านพ่อเค้า พอดีพ่อเค้าเป็นตำรวจเลยต้องย้ายมารับตำแหน่งที่นั่น เค้าเลยต้องย้ายตามมาแต่แม่ไม่ได้อยู่ด้วย...

...พอถึงวันที่แม่เค้ามารับนั่นแหละค่ะ แม่เค้าสาวมาก สวยมาก แต่งตัวเช้งกระเดะ แต่... มีผู้ชายคนอื่นนั่งอยู่ฝั่งคนขับ... นี่คงจะเป็นเรื่องร้าย ๆ ที่เค้าคงไม่อยากเล่าให้เราฟังเหมือนกันละมั้งคะ แต่เราไม่ได้ถามจุกจิกอะไรคะ แค่สวัสดีผู้ใหญ่และขึ้นไปนั่งด้านหลัง ตอนขึ้นไปนั่งก็เกือบช็อกคะ เพราะเห็นวัยรุ่นสาวคนนึง ในใจเราก็ตกใจหรือจะเป็นแฟนพี่เค้า เราก็สวัสดีคะตามมารยาท แอบนอย ๆ นิด ๆ นึกว่าเราเป็นคนพิเศษ แต่ให้แม่ไปรับผู้หญิงแทบทุกคนเลยสินะ เค้าก็โทรมาพอดีคะ ถามว่าเราขึ้นรถหรือยัง เจอแม่เค้าหรือยัง เจอใครในรถบ้าง เจอพี่สาวเค้าหรือยัง เราก็แบบ เอ้า! มีพี่สาวก็ไม่บอก ปล่อยให้เราเข้าใจผิดตั้งแปปนึง เค้าเล่าให้ฟังในโทรศัพท์บนรถว่าเป็นพี่สาวต่างพ่อ เราก็ดีใจค่ะ ชมไปอีกว่าพี่สาวสวยมาก (เข้าใจอารมณ์เด็กอ้วนขี้อิจฉาไหมค้า) เราก็ฟินต่อ เราเป็นคนสำคัญสำหรับพี่เค้าจริง ๆ สินะ แล้วพี่เค้าก็วางสาย และเราก็ร่วมเดินทางกับอีก 3 ชีวิตบนรถนั่นแหละคะ มีถามสิ่งที่เราเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ฮ่า ๆ ดูทุกคนพยายามที่จะมีความสุข เหมือนกำลังเตรียมรับมือจะไปเจออะไรบางอย่างที่ปลายทาง บางช่วงมีหัวเราะแบบขมขื่น บางช่วงมีหัวเราะแบบเจ็บปวด คือ.. เราไม่รู้รายละเอียดอะไรจริง ๆ เลยค่ะ เพราะพี่เค้าไม่เคยเล่าให้เราฟัง ที่เราสังเกตพี่สาวเค้าใส่หูฟังแทบจะตลอดทาง แต่งตัวสวยวัยรุ่นมากคะ แม่เค้าก็มีถามเราบ้างว่าเคยไปสระแก้วไหม ตอบเต็มปากเลยค่ะว่า "ไม่เคยค่ะ" ฝั่งคนขับเค้าก็มีแซว ๆ "ต้องสนิทกันมาก ๆ นะเนี่ย ถึงไว้ใจมาตจว.ด้วยกันขนาดนี้" มีแอบกลัว ๆ อยู่บ้างแต่คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ จนในที่สุดก็ถึงสระแก้วสักที เราก็จำได้ไม่แม่นหรอกคะ ว่าเรานั่งรถกันไปที่บ้านเค้าก่อนหรือไปที่วัดก่อน แต่น่าจะไปที่บ้านเค้าก่อนนะคะ เอากระเป๋าไปเก็บ เป็นบ้านชั้นเดียว มืด ๆ มีห้องน้ำกับห้องครัวอยู่ด้านหลัง ละเราก็เดินทางต่อไปที่วัดคะ เจอพี่เค้าสักที ดีใจมาก แต่ไม่ได้กอดเลยคะ เพราะพี่เค้าจะบวชแล้ว แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จากช่วงเวลาที่เรามีความสุขมาก ๆ แค่ได้จ้องตากัน แต่มีผู้ชายเดินออกมาจากรถ เหมือนมาคอยดัก เดินเข้ามาต่อยหน้าผู้ชายที่ขับรถมากับแม่พี่เค้าล้มลง และแม่พี่เค้าก็เข้ามาห้าม ทั้ง 2 คนด่ากันแรงมาก "กล้าพาไอเ_ี้ยนี่มาที่นี่หรอ ?" "พามันไปที่บ้านกูมาใช่ไหม ?" ฉากตอนนั้นยังจำได้ติดตา มันเป็นภาพแม่พี่เค้ากำลังจะโดนผู้ชายคนนั้นตบอีกเป็นครั้งที่ 2 แล้วพี่เค้าก็วิ่งเข้าห้ามทั้ง 2 คนและยกมือไว้ "พอได้แล้ว... หยุดเถอะ.. ตงขอนะ... วันนี้วันบวชตง... ตง..." .... ... .. . . . . . . . . . . . . . น้ำ.. ตา.. ไหล.. ออก.. มา.. แบบ.. ไม่.. รู้.. ตัว.. . . . . พี่ชายที่แสนดีของน้อง วันนี้พี่ช่างอ่อนแอเหลือเกิน... น่าสงสารจับใจ.. เจ็บปวดที่สุด.. ที่ผ่านมาพี่ช่างเข้มแข็งเหลือเกิน.. น้องคนนี้... จะช่วยพี่ยังไงได้บ้าง... ที่พี่ไม่เคยบอก... เพราะพี่รู้ว่า.. ไม่มีอะไร.. ที่น้องจะช่วยได้เลยใช่ไหม...

... เรายืนอึ้งน้ำตาไหล จนพี่สาวเค้าต้องพาเราไปหลบและบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีเอง เราเหลือบตาไปมอง พี่เค้าพาพ่อแยกออกไป ต่างคนต่างไปสงบสติอารมณ์คนละทาง ละก็ถึงพิธีโกนผม... ท่ามกลางผู้คนหลายร้อย พี่เค้านั่งอยู่ตรงนั้นเปลือยท่อนบนบนเก้าอี้ขาวของวัด เสียงพระสวด พี่เค้าถือใบบัว แม่เค้าก็แกมร้องไห้อาจจะซาบซึ้งที่ลูกบวชให้ หรือเจ็บปวดเรื่องอื่นในใจไม่มีใครรู้ได้ แม่เค้าบรรจงตัดผมลูกชายออกละวางไว้บนใบบัวที่อยู่บนตักพี่เค้า ตามคิวกันมาก็จะมีพ่อเค้า น้องชายเค้า พี่สาวเค้า แล้วก็เรา... เราได้ตัดผมโกนพี่เค้าด้วยนะคะ แต่ไม่กล้าตัดเยอะเพราะไม่เคยเข้าพิธีแบบนี้ แต่ได้ตัด เค้าก็ยิ้ม เราก็ยิ้มปนน้ำตา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าที่ผ่านมาพี่เค้าจะเจออะไรบ้าง ... พอเสร็จพิธีก็ถ่ายรูปคู่กันคะ แต่ไม่ได้โดนตัวกันนะคะเพราะพี่เค้ากำลังจะบวชเช้าวันถัดไป เย็นวันนั้นเรากลับมาบ้านชั้นเดียวหลังนั้นแหละค่ะ แต่ผู้ชายที่เค้าขับรถมาตอนแรกไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ไปที่ไหน กลับมาถึงที่บ้านเสร็จพี่เค้าก็เหมือนภูมิใจ แนะนำบ้านตัวเอง "นี่บ้านพี่นะ.. นี่ห้องที่พี่นอน.. นี่ห้องน้ำ.. นั่นห้องครัว.. เราน่ะนอนห้องนี้กับพี่สาวนะ ส่วนพี่พี่จะไปนอนอีกห้อง.." ... จนถึงป่านนี้แล้ว พี่เค้ายังไม่ปริปากสักคำกับเรื่องที่เกิดขึ้น พี่เค้าเดินตรงดิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า หาหมวกมาใส่แต่งตัวเยอะมาก พี่สาวเค้าบอกเราว่าคนต่างจังหวัดชอบแต่งตัวเยอะ ก่อนออกจากบ้านพี่เค้าขยี้หัวเราแกมเอ็นดูทีนึง เรารู้สึกดีมาก ละเย็นวันนั้นเราก็ไปเที่ยวตลาดนัดกัน ตลอดทางที่เดินออกจากซอยบ้านไปตลาดนัดพี่เค้ามีคนรู้จักไปทั่ว เจอใครใครก็ทัก พี่เค้าก็คงจะเป็นหัวหน้าแก๊งของที่นี่ในระดับนึงหล่ะนะ เหมือนพี่เค้ากำลังแสดงให้เห็นว่าอยู่ที่นี่พี่เค้าสบายดีไม่ต้องห่วง .... ละเค้าก็ไปขยี้หัวผู้หญิงอีกคน มันหมายความว่ายังไง.... (ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่