มีคนพูดหลายคนค่ะว่า จขกท เป็นคนดื้อเอาแต่ใจ ซึ่งฉันก็เป็นเเบบนั้นจริงๆค่ะ เป็นคนที่อยากจะทำอยากเอาอะไรต้องเอาให้ได้ ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. จขกท เคยทำงานอยู่ที่ร้านค้า duty free อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ และที่นี่ทำให้ฉันมีโอกาสได้เจอกับพี่ผู้ชายคนนึง รูปร่างหน้าตาตรงสเป็กเลยทีเดียว ผิวขาว ตัวสูง ตาตี่ๆ อายุเราห่างกัน 4 ปีค่ะ ตอนที่รู้จักกันเเรกๆพี่เขาบอกยังไม่มีแฟน เราก็เเอบคิดว่าถ้าได้มีโอกาสคบกับพี่เขาน่าจะดีนะ แต่ตอนทำงานไม่ค่อยได้อยู่กะเดียวกับพี่เขาสักเท่าไหร่ ได้อยู่กะเดียวกันเเค่ไม่กี่วัน เช่น ฉันอยู่กะดึกแล้วพี่เขาอยู่กะเช้า ก็จะได้เจอกันเเค่ช่วงต่อรอบกันประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น ฉันก็เลยพยายามทำให้ตัวเองได้เจอได้คุยกับพี่เขานานที่สุด เท่าที่โอกาสและเวลาจะอำนวย เช่น เวลาฉันอยู่รอบดึกแล้วพี่เขาอยู่รอบเช้า ซึ่งคนอยู่รอบดึกจะกลับบ้านประมาณ 7 โมงเช้าและเป็นเวลาเดียวกันกับที่คนรอบเช้าจะมาต่อรอบพอดี ฉันก็จะออกจากร้านพร้อมกับคนสุดท้ายของรอบดึก จนบางทีรุ่นพี่ในร้านเเซวว่า "เธอมาแอบคอยใครหรือเปล่าเนี่ย" ตอนหลังฉันไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วโอกาสที่จะได้เจอกับพี่คนนี้ก็น้อยลง แต่ฉันก็ยังไปสนามบินทุกครั้งที่สบโอกาสถึงรู้ว่ามันไกลแต่ก็ยังจะไป ขอเพียงเเค่ได้เจอหน้าพี่เขาได้ทักพี่เขาบ้างถึงจะทำได้เเค่เดินสวนกันก็ยังดี เพราะว่าไม่สามารถเข้าพื้นที่การท่าได้เหมือนเเต่ก่อนแล้ว บ่อยมากเข้าพี่เขาเริ่มรู้ทันว่าที่เราเจอกันบ่อยๆนั้นฉันตั้งใจให้บังเอิญ จนมีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กันพี่เขาบอกว่า "ต่อไปไม่ต้องมาดักรอเจอพี่เเล้วนะมันเดินทางไกล ถ้าอยากคุยโทรมาคุยกันได้นะ แต่ถ้าช่วงไหนพี่มีลูกค้าก็รอก่อนเเล้วค่อยโทรมาใหม่" ต่อมาพี่คนนี้ก็มีแฟนและแต่งงานไปในที่สุด แฟนเขาสวยกว่าฉันหลายขุมมากจนฉันชิดซ้ายไปเลย ฉันเรียกเธอว่านางสีดา จนพี่เขาแต่งงานนี่แหละถึงตัดใจได้ หลังจากนั้นก็ไม่ไปที่สนามบินอีกเลยนอกจากมีธุระไปส่งเพื่อนหรือญาติเท่านั้น นี่ถ้าพี่เขาไม่แต่งงานฉันก็คงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะตายจากกัน
2. มีวันหยุดอยู่วันนึงจำไม่ได้เเล้วว่าเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ วันนั้นต้องการจะไปบริจาคเลือดทั้งๆที่มีรอบเดือนอยู่ แต่ที่ตัดสินใจไปเพราะปกติเวลามีรอบเดือนจะรู้สึกแค่เหนอะหนะกับไม่สบายตัวนิดหน่อยแต่ไม่ได้ถึงขนาดปวดท้อง วันนั้นวัดความดันได้ 102 ซึ่งความดันปกติต้องไม่เกิน 100 เจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้นบอกว่า "ความดันยังไม่ได้นะครับ นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยมาวัดใหม่นะครับ" แต่ฉันไม่ยอมค่ะคิดในใจว่าเรามาด้วยใจแล้วยังไงวันนี้ต้องบริจาคให้ได้ ความดันเกินมานิดเดียวไม่น่าจะเป็นไรมาก ก็เลยเอาลิขวิดลบเลข 2 แล้วเอาปากกาดำเขียนทับเป็นเลข 0 แล้วก็เอากระดาษใบเล็กๆแผ่นนั้นไปให้เจ้าหน้าที่ที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ ปรากฎว่าเนียนเลยเขาดูไม่ออก จากนั้นก็ไปเจาะเลือดดูความเข้มข้นของเลือดปรากฎว่าผ่าน แล้ววันนั้นก็ได้บริจาคเลือดสมใจอยาก บริจาคเสร็จก็ปกติเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมานะคะ แต่วันนั้นหลังจากออกมาจากสภากาชาดแล้วอากาศร้อนอบอ้าว ปรากฎว่าวูบไปนิดนึงรู้สึกคลื่นไส้และเหมือนจะเป็นลม ก็เลยหาที่นั่งพักแล้วหาน้ำดื่ม พออาการดีขึ้นแล้วก็เดินทางกลับบ้าน วันต่อมาก็พยายามกินอาหารที่มีธาตุเหล็กเยอะๆ จากนั้น 2-3 วันอาการก็ดีขึ้นกลับมาเป็นปกติค่ะ นี่ยังดีนะคะที่ไม่ได้เป็นหนักถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล บริจาคเลือดครั้งนั้นก็ถือเป็นบทเรียนไปละกัน
3. เสื้อผ้าที่ใส่จนเริ่มหลวมแล้วก็จะหาทางใส่มันจนได้ เช่น กางเกงนอนที่สภาพยางยืดเสื่อมแล้วก็จะเอาไม้หนีบมาหนีบที่เอวจนใส่ได้ ทั้งๆที่เเม่เคยบอกแล้วว่าให้ทิ้งไปเถอะหาตัวที่ดีๆใส่ก็ได้ แต่ฉันไม่เอาค่ะถ้าไม่ขาดจนถึงที่สุดก็จะไม่ยอมทิ้งเด็ดขาด จะทิ้งก็ต่อเมื่อดูสภาพเเล้วเน่าสนิทไม่ไหวจริงๆเท่านั้น
ก็เลยอยากจะถามเพื่อนๆว่าการที่เราเป็นคนอยากทำอะไร ต้องทำให้ได้และทำให้เต็มที่จนกว่ามันจะไปต่อไม่ได้เเล้ว เช่น ตัดใจจากคนที่ชอบได้เมื่อเขาแต่งงาน หรือทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุดถือว่าผิดปกติไหมคะ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคจิตหน่อยๆเลย ก็ยังนึกประหลาดใจตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะทำไมถึงเป็นคนแข็งได้มากขนาดนี้ แล้วถ้ามันผิดปกติมีวิธีไหนที่จะทำให้ดีขึ้นบ้างไหมคะ
การเป็นคนอยากทำอะไรต้องทำให้ได้ หรือทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุดถือว่าผิดปกติหรือเปล่า
1. จขกท เคยทำงานอยู่ที่ร้านค้า duty free อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ และที่นี่ทำให้ฉันมีโอกาสได้เจอกับพี่ผู้ชายคนนึง รูปร่างหน้าตาตรงสเป็กเลยทีเดียว ผิวขาว ตัวสูง ตาตี่ๆ อายุเราห่างกัน 4 ปีค่ะ ตอนที่รู้จักกันเเรกๆพี่เขาบอกยังไม่มีแฟน เราก็เเอบคิดว่าถ้าได้มีโอกาสคบกับพี่เขาน่าจะดีนะ แต่ตอนทำงานไม่ค่อยได้อยู่กะเดียวกับพี่เขาสักเท่าไหร่ ได้อยู่กะเดียวกันเเค่ไม่กี่วัน เช่น ฉันอยู่กะดึกแล้วพี่เขาอยู่กะเช้า ก็จะได้เจอกันเเค่ช่วงต่อรอบกันประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น ฉันก็เลยพยายามทำให้ตัวเองได้เจอได้คุยกับพี่เขานานที่สุด เท่าที่โอกาสและเวลาจะอำนวย เช่น เวลาฉันอยู่รอบดึกแล้วพี่เขาอยู่รอบเช้า ซึ่งคนอยู่รอบดึกจะกลับบ้านประมาณ 7 โมงเช้าและเป็นเวลาเดียวกันกับที่คนรอบเช้าจะมาต่อรอบพอดี ฉันก็จะออกจากร้านพร้อมกับคนสุดท้ายของรอบดึก จนบางทีรุ่นพี่ในร้านเเซวว่า "เธอมาแอบคอยใครหรือเปล่าเนี่ย" ตอนหลังฉันไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วโอกาสที่จะได้เจอกับพี่คนนี้ก็น้อยลง แต่ฉันก็ยังไปสนามบินทุกครั้งที่สบโอกาสถึงรู้ว่ามันไกลแต่ก็ยังจะไป ขอเพียงเเค่ได้เจอหน้าพี่เขาได้ทักพี่เขาบ้างถึงจะทำได้เเค่เดินสวนกันก็ยังดี เพราะว่าไม่สามารถเข้าพื้นที่การท่าได้เหมือนเเต่ก่อนแล้ว บ่อยมากเข้าพี่เขาเริ่มรู้ทันว่าที่เราเจอกันบ่อยๆนั้นฉันตั้งใจให้บังเอิญ จนมีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กันพี่เขาบอกว่า "ต่อไปไม่ต้องมาดักรอเจอพี่เเล้วนะมันเดินทางไกล ถ้าอยากคุยโทรมาคุยกันได้นะ แต่ถ้าช่วงไหนพี่มีลูกค้าก็รอก่อนเเล้วค่อยโทรมาใหม่" ต่อมาพี่คนนี้ก็มีแฟนและแต่งงานไปในที่สุด แฟนเขาสวยกว่าฉันหลายขุมมากจนฉันชิดซ้ายไปเลย ฉันเรียกเธอว่านางสีดา จนพี่เขาแต่งงานนี่แหละถึงตัดใจได้ หลังจากนั้นก็ไม่ไปที่สนามบินอีกเลยนอกจากมีธุระไปส่งเพื่อนหรือญาติเท่านั้น นี่ถ้าพี่เขาไม่แต่งงานฉันก็คงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะตายจากกัน
2. มีวันหยุดอยู่วันนึงจำไม่ได้เเล้วว่าเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ วันนั้นต้องการจะไปบริจาคเลือดทั้งๆที่มีรอบเดือนอยู่ แต่ที่ตัดสินใจไปเพราะปกติเวลามีรอบเดือนจะรู้สึกแค่เหนอะหนะกับไม่สบายตัวนิดหน่อยแต่ไม่ได้ถึงขนาดปวดท้อง วันนั้นวัดความดันได้ 102 ซึ่งความดันปกติต้องไม่เกิน 100 เจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้นบอกว่า "ความดันยังไม่ได้นะครับ นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยมาวัดใหม่นะครับ" แต่ฉันไม่ยอมค่ะคิดในใจว่าเรามาด้วยใจแล้วยังไงวันนี้ต้องบริจาคให้ได้ ความดันเกินมานิดเดียวไม่น่าจะเป็นไรมาก ก็เลยเอาลิขวิดลบเลข 2 แล้วเอาปากกาดำเขียนทับเป็นเลข 0 แล้วก็เอากระดาษใบเล็กๆแผ่นนั้นไปให้เจ้าหน้าที่ที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ ปรากฎว่าเนียนเลยเขาดูไม่ออก จากนั้นก็ไปเจาะเลือดดูความเข้มข้นของเลือดปรากฎว่าผ่าน แล้ววันนั้นก็ได้บริจาคเลือดสมใจอยาก บริจาคเสร็จก็ปกติเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมานะคะ แต่วันนั้นหลังจากออกมาจากสภากาชาดแล้วอากาศร้อนอบอ้าว ปรากฎว่าวูบไปนิดนึงรู้สึกคลื่นไส้และเหมือนจะเป็นลม ก็เลยหาที่นั่งพักแล้วหาน้ำดื่ม พออาการดีขึ้นแล้วก็เดินทางกลับบ้าน วันต่อมาก็พยายามกินอาหารที่มีธาตุเหล็กเยอะๆ จากนั้น 2-3 วันอาการก็ดีขึ้นกลับมาเป็นปกติค่ะ นี่ยังดีนะคะที่ไม่ได้เป็นหนักถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล บริจาคเลือดครั้งนั้นก็ถือเป็นบทเรียนไปละกัน
3. เสื้อผ้าที่ใส่จนเริ่มหลวมแล้วก็จะหาทางใส่มันจนได้ เช่น กางเกงนอนที่สภาพยางยืดเสื่อมแล้วก็จะเอาไม้หนีบมาหนีบที่เอวจนใส่ได้ ทั้งๆที่เเม่เคยบอกแล้วว่าให้ทิ้งไปเถอะหาตัวที่ดีๆใส่ก็ได้ แต่ฉันไม่เอาค่ะถ้าไม่ขาดจนถึงที่สุดก็จะไม่ยอมทิ้งเด็ดขาด จะทิ้งก็ต่อเมื่อดูสภาพเเล้วเน่าสนิทไม่ไหวจริงๆเท่านั้น
ก็เลยอยากจะถามเพื่อนๆว่าการที่เราเป็นคนอยากทำอะไร ต้องทำให้ได้และทำให้เต็มที่จนกว่ามันจะไปต่อไม่ได้เเล้ว เช่น ตัดใจจากคนที่ชอบได้เมื่อเขาแต่งงาน หรือทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุดถือว่าผิดปกติไหมคะ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคจิตหน่อยๆเลย ก็ยังนึกประหลาดใจตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะทำไมถึงเป็นคนแข็งได้มากขนาดนี้ แล้วถ้ามันผิดปกติมีวิธีไหนที่จะทำให้ดีขึ้นบ้างไหมคะ