IELTS preparation in 3 months

จากกระทู้แรก https://pantip.com/topic/38348895 เกริ่นไปเยอะแล้วสำหรับตัวข้อสอบ
ครั้งนี้เราจะมาเล่า อย่างละเอียด ว่าเราแพลนการเตรียมตัวยังไงบ้าง

ก่อนอื่นต้องบอกว่า เรามีเวลา! คือเราทำตัวว่างงานเพื่อสิ่งนี้ เราโฟกัสได้เต็มที่ รวมถึงฟุ้งซ่านกับมันได้เต็มที่เช่นกัน เราไม่ได้บอกว่าจะต้องลาออกจากงานประจำเพื่อมาเตรียมสอบไอเอล แต่เราจะมาแชร์ให้ฟัง ว่าการฝึกฝนมันสำคัญยังไง และคิดว่าทุกคนสามารถเอาไปปรับใช้กับสถานการณ์ของตัวเองได้ไม่ยาก
.

สื่อการเรียนที่เราใช้หลักๆมีประมาณนี้

📚 แบบฝึกหักของ Cambridge ที่เราดาวน์โหลดมาทั้งหมด 13 เล่ม และแพลนจะทำให้หมดภายใน 3 เดือน
📚 YouTube เราไม่มี Channel ประจำ แต่ส่วนใหญ่จะเสิร์ชเอาเลยในเรื่องที่เราอยากจะรู้ เช่น Writing task 1 IELTS เป็นต้น อ้อ จริงๆเราฝึกฟังพวกวีดีโอ infographic ที่มีความ academic/ documentary จาก Youtube ด้วย (channel: kerzgetsnaz) เพื่อเสริมเรื่องที่เราไม่ถนัด อย่างน้อยให้เราพอรู้เรื่องคร่าวๆ ได้ยินศัพท์ผ่านๆหูมาบ้าง
📚 เว็บไซต์สอน IETLS ไว้ดูตัวอย่างข้อสอบและตัวอย่างคำตอบ (Model Essay) ส่วนใหญ่จะใช้เป็น ieltsliz.com (หลายๆคนอาจจะคุ้นเคย เรามองว่ามันช่วยเราในเรื่องของแนวคิดในสกิล writing ได้ค่อนข้างดี และคลายข้อสงสัยให้สกิล reading ค่อนข้างดี)
📚 คอร์สเรียนออนไลน์ (ฟรี) ของจุฬาฯ ที่เป็นเรื่อง Grammar ถึงแม้ว่า IELTS จะไม่ได้ทดสอบ Grammar เราตรงๆ แต่ทุกสกิลที่สอบ ล้วนแต่ต้องมีพื้นฐาน Grammar ที่ค่อนข้างเป๊ะ ไม่งั้นเราจะไม่สามารถพัฒนาสกิลตัวเองไปได้เลย

.

สำหรับ 3 เดือน ช่วงเดือนแรกเราลุยกับ Listening / Reading / Writing ค่อนข้างหนัก อย่างน้อยทำให้ครบ 3 สกิลในแต่ละวัน ส่วน Speaking เราพอจะมีโอกาสได้ฝึกในวันที่เรียนคอร์สไอเอลของจุฬาฯ

เราฝึก Listening กับ Reading จากแบบฝึกหัดของ Cambridge ตั้งแต่เล่ม 1 ฝึกมาจนถึงประมาณเล่ม 4 ก็เริ่มคิดได้ว่าน่าจะทำไม่ทัน หลังจากปรึกษาเพื่อนที่เพิ่งไปสอบมาได้ความว่าเล่มล่าสุดมีความใกล้เคียงกับข้อสอบมากๆ เราเลยมาเริ่มทำจากเล่ม 9 ไปจนถึงเล่ม 13
.

📚 Listening

ก่อนเริ่มทำข้อสอบ เทปจะอธิบายวิธีการทำ มีเวลาประมาณ 1-2 นาที ซึ่งเราจะใช้เวลานี้แหละในการอ่าน (go through) ข้อสอบให้ได้มากที่สุด วงกลมหรือขีดเส้นใต้ keyword และคาดเดาล่วงหน้าว่าคำตอบแต่ละข้อ จะต้องเป็นคำประเภทไหน เช่น noun adjective verb ตัวเลข หรือชื่อเฉพาะ ในส่วนของตัวเลขแนะนำให้ตอบเป็นตัวเลขเลย ไม่ใช่ word และชื่อเฉพาะก็ต้องอย่าลืมว่าจะต้องเป็นตัวพิมพ์ใหญ่

ส่วนตัวเรามีปัญหากับการฟังตัวเลข (เบอร์โทร วันที่ ราคา) บางครั้งเหมือนเราคิดไปเองว่าเทปพูดตัวเลขนี้ แต่จริงๆเป็นมันอีกเลขนึง ซึ่งในส่วนนี้เราพยายามฝึกบ่อยๆ ต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่าคิดไปเอง ต้องทำใจให้สบาย ทำสมองให้โล่ง เพื่อเปิดประสาทการฟัง แนะนำให้ฝึกฟังตัวเลขบ่อยๆ จนเวลาได้ยินแล้วเราไม่ต้องแปล แต่สามารถเขียนเป็นตัวเลขนั้นๆได้เลย

และอีกจุดคือ ชื่อที่อยู่ เราจะจับไม่ค่อยทัน เพราะส่วนมากจะเป็นตัวเลขแล้วตามด้วยชื่อเฉพาะ ตอนทำข้อสอบเราเลยจะวงกลมเน้นๆว่าจะต้องตั้งใจฟังในส่วนนี้ มีสติ และใจเย็นๆ พอได้ยินตัวเลขปุ้บ มือก็พร้อมเขียนเลย

ลักษณะข้อสอบของ Listening แบ่งเป็น

1. เติมคำในช่องว่าง
เหมือนจะง่าย เพราะคำตอบมันจะถูกเรียงลำดับไปเรื่อยๆ แต่ก็ยากตรงที่ เมื่อเราพลาดไปหนึ่งข้อ เราจะต้องรีบจับข้อที่เหลือให้ทัน อีกจุดที่สำคัญคือโจทย์จะมีเขียนว่า no more than ... words or a number ต้องทำตามโจทย์ ถ้าโจทย์บอกว่า 3 คำ ก็ต้องห้ามเกินนะจ้ะ ไม่มีข้อแม้ใดใด

2. ตาราง
บทสนทนากับคำตอบจะถูกเรียงไว้ตามลำดับ อย่าลืมดูเลขข้อให้ดีๆ ที่สำคัญคืออ่านตารางให้เข้าใจ ว่าแนวตั้งเป็นหัวข้ออะไร แนวนอนเป็นหัวข้ออะไร เทคนิคอีกอย่างของเราก็คือวงกลมคำหรือประโยคที่อยู่ข้างหน้าข้อคำตอบ เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่าเมื่อเราได้ยินคำหรือประโยคนั้นๆ จะต้องตั้งใจฟังให้ดีๆเพราะคำตอบกำลังจะมา อีกจุดที่เหมือนกับลักษณะข้อสอบแบบเติมคำในช่องว่าง คือโจทย์จะมีการกำหนดจำนวนคำไว้ให้ ต้องทำตามโจทย์จ้า

3. แบบตัวเลือก หรือ multiple choice
อันนี้ส่วนมากจะไม่สามารถเลือกคำตอบในทันทีที่ได้ยิน บทสนทนามักจะมีการหลอก พูดถึง choice ทั้งหมด แต่จะมีเพียงคำตอบเดียวที่ถูกต้อง เราจะต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจว่าคำถามคืออะไร choice แต่ละอันคืออะไร ซึ่งเรามีเทคนิคคือวงกลม keyword ทั้งในโจทย์ และใน choice เพื่อพอฟังปุ้บเราจะรู้เลยว่ามันใช่หรือไม่ใช่ สกิลที่ใช้หลักๆเลยจะเป็น paraphrase เราแนะนำว่าบางครั้งจับใจความอะไรได้ ให้จดโน้ตสั้นๆไว้

อ้อ ตอนเรียนจะมีเทคนิคให้ใส่เครื่องหมาย +, - ไว้สำหรับอะไรที่มีความ positive, negative มันจะทำให้เราเข้าใจและหาคำตอบได้ง่ายขึ้น

3. แบบจับคู่
ในส่วนนี้ค่อนข้างยาก บางครั้งจะยังเลือกไม่ได้ทันที แนะนำให้จดโน้ตสั้นๆไว้ สกิลที่ต้องใช้ก็จะมี paraphrase อีกเหมือนกัน ตัวอย่างที่เคยเจอจะเป็น เมเนเจอร์แนะนำที่ทำงานให้กับพนักงานใหม่ ข้อสอบจะให้เราเลือกจับคู่ระหว่างชื่อคน กับหน้าที่ลักษณะงาน เป็นต้น

4. แผนผังหรือแผนที่
ให้กวาดสายตาดูรูป และอ่านทุกคำที่อยู่ในรูป (คำจะมีไม่เยอะอยู่แล้ว) เพื่อให้เก็ทไอเดียของคำตอบ ถ้าเป็นแผนที่ให้หาจุดเริ่มต้น ส่วนมากจะเป็น entrance แล้วค่อยๆไล่สายตาไปตามคำอธิบายของเทป พยายามให้คุ้นเคยกับคำบุพบทเยอะๆ ทิศทาง ถ้าเป็นแผนผัง มันก็จะเรียงลำดับไปตามขั้นตอน โดยจะมีการอธิบายขยายแต่ละขั้นตอนนิดๆหน่อยๆ

** ข้อควรจำของ Listening คือ ถ้าหลุดไปหนึ่งข้อ ให้รีบตั้งสติและข้ามไปข้อต่อไป อย่าไปกังวลสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ค่อยมาเดาตอนช่วง transfer คำตอบ และอย่าลืมว่าเดาให้ได้ครบทุกข้อ ตอบผิดไม่เสียคะแนน แต่ถ้าไม่ตอบคือไม่มีคะแนนแน่ๆ **

📚 Reading

เทคนิคส่วนตัวของเราคือเปิดดูข้อสอบให้ครบ ให้สบายใจว่าวันนี้จะได้อ่านเรื่องอะไร แล้วก็เริ่มจากอ่านคำถามคร่าวๆ บางสถาบันจะแนะนำให้เริ่มจากอ่านโจทย์ บางสถาบันให้เริ่มจาก skimming เลย ซึ่งเรามองว่ามันแล้วแต่ความถนัดของคน และขึ้นอยู่กับลักษณะของโจทย์ด้วย

ลักษณะข้อสอบของ Reading จะมี

1. TRUE/ FALSE/ NOT GIVEN และ/หรือ YES/ NO/ NOT GIVEN
เป็นลักษณะข้อสอบที่เราผิดกระจุยกระจาย ทุกครั้งที่ทำเสร็จ จะต้องมานั่งกุมขมับคุยกันว่าทำไมข้อนี้ตอบแบบนี้ มาวงกันว่ามันมาจากจุดไหนในบทความ อย่างที่โบราณว่า สองหัวดีกว่าหัวเดียว แต่บางทีสองหัวก็เอาไม่อยู่ ต้องไปเสิร์ชหาคำอธิบายในอินเทอร์เน็ตมาช่วย

ที่ยากคือมันมี NOT GIVEN เข้ามา เทคนิคคือ ให้ทำข้อสอบบ่อยๆ จนเราจะพอจับทางได้ว่าแบบนี้แหละมันคือ NOT GIVEN

2. SHORT ANSWER
ข้อสอบแบบนี้ ตัวมันเองก็มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งเป็นเหมือนบทสรุปของเรื่องที่เราอ่านแล้วให้เติมคำในช่องว่าง เป็นแผนผังให้เติมคำ (ส่วนมากเป็น diagram / chart)

หลักๆของลักษณะข้อสอบแบบนี้คือต้องจับใจความเนื้อเรื่องให้ได้ หา keyword ได้ไว

3. MATCHING
เป็นลักษณะข้อสอบที่เหมือนจะง่าย แต่ไม่ง่ายนะจ้ะ
มีตั้งแต่จับคู่หัวข้อกับพารากราฟ จับคู่ใจความสำคัญกับพารากราฟ จับคู่ชื่อคนกับพารากราฟ

ส่วนตัวเรารู้สึกว่าต้องอ่านจับใจความให้เร็ว ใช้เทคนิค paraphrase ต้องระวังโดนหลอกมากๆเลย

** ข้อควรระวังสำหรับข้อสอบ Reading ของ IELTS คือ อย่าไปตกใจกับคำที่เราไม่เข้าใจ (เพราะมันจะมีเยอะมากๆ) เราพยายามท่องคำศัพท์ที่เป็นลิสสำหรับไอเอลไปเผื่อ ทำข้อสอบบ่อยๆให้ชินกับคำศัพท์ในบทความแต่ละสาขา เราจะท่องจำเป็นพิเศษสำหรับสาขาที่เราไม่ชิน พอไปเจอในข้อสอบ เราจะรู้สึกสบายใจขึ้น เหมือนกับเราเคยผ่านตามาบ้างแล้ว **

📚 Writing

ในช่วงแรกเราเขียนเยอะมาก เครียดมาก เจอโจทย์มาก็ไม่อยากทำบ้าง เรื่องอะไรไม่รู้ไม่น่าสนใจ ไม่เข้าใจโจทย์ จนบ้างครั้งมาคุยกันว่า ช่วยกันคิดคำตอบดีมั้ย แล้วค่อยมาลงมือเขียนกัน ถ้าเราไม่มีแก่นที่ดีก่อนจะเขียน เขียนไปก็มีแต่จะแย่ลง แถมรู้สึกโง่ลงไปอีก

บางครั้ง เราจะเสิร์ชดู Model Essay ก่อน เอาความคิดตัวอย่างมาลองเขียน สลับกันไปจะได้ไม่เบื่อและท้อ

ในส่วนของ Writing เราว่าคอร์สไอเอลของจุฬาฯช่วยได้ดีมาก เราได้ pattern ดีๆมาจากการเรียนคอร์สนั้น ซึ่งมันต้องเอามาปรับใช้ดีๆนะ ไม่ใช่ท่องอย่างเดียวแล้วก็เอาไปแปะ คือมันก็ต้องมีศิลปะในการใช้ pattern นิดนึง แต่มันจะช่วยลดระยะเวลาการเขียนได้ดีเลยทีเดียว และที่สำคัญคือเวลาเราเรียนคอร์ส ครูจะสามารถช่วยเราตรวจ Writing ได้ ซึ่งนี่คือสาเหตุหลักที่ทำไมต้องเรียน เพราะเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเราเขียนเป็นยังไง ถ้าไม่ได้คนตรวจที่ดี แต่ด้วยความที่เราเรียนคอร์สใหญ่ ครูก็จะตรวจให้เราได้แค่ 5 ชิ้นงาน ที่เหลือเราเลยต้องพึ่ง Grammarly ให้ช่วยตรวจให้เราหน่อย มันก็ไม่ 100% หรอก แต่ก็ช่วยเราดูแกรมม่าได้พอสมควรเลย

ช่วงเดือนสุดท้าย เราฝึกเขียนลงบนกระดาษให้ชิน ท้ังชินกับความเร็วในการเขียน กะจำนวนบรรทัดที่ต้องเขียน รวมถึงให้ชินกับคำศัพท์ที่ปกติไม่ค่อยได้เขียน จะได้ไม่ตะกุกตะกักเรื่องการสะกดในห้องสอบ เพราะเป็นจุดที่ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับมัน

นอกจากนี้ ก่อนสอบประมาณ 2 อาทิตย์ เราได้ทำสรุปเนื้อหาของ Writing ไว้ เพื่อมาทบทวนหลักต่างๆและ pattern ที่จำเป็นอีกครั้งก่อนเข้าสอบ อันนี้มีประโยชน์มากๆ ใครอยากได้ คอมเม้นไว้ได้เลย เดี๋ยวส่งให้นะ แต่ใครอยากทำเอง ก็แนะนำ เพราะตอนเราทำโน้ต มันก็จะช่วยให้เราจดจำได้ดีขึ้น

.

📚 Speaking

เรามาเริ่มลุยหนักๆช่วงเดือนสุดท้าย เอาแบบฝึกหัดของ Cambridge มาทำ อย่างที่บอกว่าโหลดมาทั้งหมด 13 เล่ม สุดท้ายฝึกไปประมาณ 4 เล่ม (ซึ่งมันก็ยังถือว่าเยอะมากๆเลยนะ) ผลัดกันถามผลัดกันตอบ มีจดโน้ตไว้ให้อีกคนตอนฝึก เพื่อพัฒนาในจุดด้อย หรืออย่างน้อยก็ระวังในจุดนั้นตอนเข้าห้องสอบ

เป็นอีกสกิลที่หลายคนอาจจะต้องพึ่งการเรียนในห้อง เพราะถ้าเราพูดคนเดียวไปเรื่อยๆ มันไม่มีทางรู้เลยว่าเรากำลังทำสิ่งที่ผิดซ้ำๆไปรึเปล่า ข้อดีของการไม่ได้ฝึกคนเดียว คือเรามีกำลังใจ และยิ่งเราเรียนกันมาคนละสาย คนนึงสายวิทย์ เทคโนโลยี อีกคนสายศิลป์ สังคม วัฒนธรรมก็มา มันช่วยได้มากๆ เราจะสามารถช่วยกันอธิบาย และเสริมข้อมูลให้อีกคนได้ จริงๆมันดีๆมากๆสำหรับทั้ง 4 สกิล บางทีเราไม่ต้องรู้ลึก แต่พอจะเข้าใจ ให้ความเห็น หรือเห็นภาพได้ มันก็เพียงพอสำหรับการทำข้อสอบแล้ว

เราเคยฝึกพูดแล้วก็อัดใส่โทรศัพท์ไว้ฟัง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ผลกับตัวเอง เพราะเราก็จะไม่แน่ใจว่าต้องแก้ตรงไหนอยู่ดี หลังๆเราเลยแบ่งกัน คนนึงพูด อีกคนฟังแล้วจด feedback วิธีนี้ค่อนข้างได้ผล คือเราจะตั้งใจฟังกันและกัน มองย้อนว่าตัวเองผิดพลาดในจุดเดียวกันบ้างมั้ย หาวิธีช่วยกันแก้ บางทีออกเสียงคำไหนไม่ถนัด ฝึกเท่าไรก็รู้สึกไม่มั่นใจ ตัดปัญหาหน้างานไปก่อนด้วยกันหาคำอื่นมาทดแทน

.

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ เราทำอย่างสม่ำเสมอ มีตบตีทะเลาะกันบ้าง วันไหนได้คะแนนน้อย ก็นอย หดหู่ วันไหนไม่อยากทำ ขี้เกียจ ก็ต้องฉุดลากกันขึ้นมาทำให้ได้ หรือถ้าใครลุยเดี่ยว อย่าท้อ ให้นึกถึงปลายทางที่เราตั้งไว้ พยายามมาแล้ว ลุยต่ออีกนิด เดี๋ยวมันก็ถึงเส้นชัย เหนื่อยก็พัก แล้วค่อยลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ แล้ววันที่ผลลัพธ์ของความพยายามมันมาถึง วันนั้นเราจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย

ช่วงนี้ใครเตรียมตัวสอบ ทักมาคุยกันได้ หรือใครอยากจะไปสอบ แล้วมีคำถาม ก็ถามเข้ามาได้นะ จริงๆทั้งหมดนี้ มันสามารถนำไปปรับใช้กับข้อสอบภาษาอังกฤษอื่นๆได้หมดเลยนะ

อ้อ สิ่งสำคัญที่สุดที่เราได้มาจากการฝึกฝน คือเราสามารถรับรู้ได้เลย ว่าสกิลของเรามันอัพเลเวลขึ้นจริงๆ ทั้ง 4 สกิลเลย ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คะแนนจะยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อย่างน้อย เรามีความสามารถในการใช้สกิลภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ทั้งในแบบชีวิตประจำวัน และในแบบ academic มันก็คุ้มค่าสุดๆแล้วล่ะ

#หาเรื่องสอบไอเอล

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่