ขอบคุณภาพของเสือพูม่าตะวันออกจากวิกิพีเดีย
“10 year challenge” สิบปีที่ผ่านมากับสปีชีส์ที่หายไป
ไม่แน่ชัดว่าใครเป็นคนริเริ่ม “10 year challenge” แคมเปญบนโลกออนไลน์ที่ขณะนี้กำลังได้รับความนิยม และเป็นกระแสสุดๆ ทั้งในไทย และในต่างประเทศ ง่ายแสนง่ายเพียงนำภาพถ่ายปัจจุบัน และภาพถ่ายของอดีตเมื่อสิบปีก่อนมาวางจับคู่เปรียบเทียบกัน เราจึงมีโอกาสได้เห็น “10 year challenge” ของบรรดาคนดัง และเพื่อนฝูงบนโลกโซเชียลที่ทยอยเผยแพร่กันออกมาเรื่อยๆ นัยหนึ่งชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงตลอดทศวรรษ ส่วนอีกนัยสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เรารู้จักกันมานานเป็นสิบปี
สิบปีนั้นนานพอที่หลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลง และในที่นี้รวมไปถึงธรรมชาติด้วยเช่นกัน ภาพถ่ายมากมายของภูเขาน้ำแข็ง, แนวปะการัง และป่าไม้ที่หดหายจึงถูกผนวกรวมอยู่ในแคมเปญนี้ด้วย ตอกย้ำถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากกิจกรรมของมนุษย์ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 วารสาร Biological Conservation เผยแพร่รายงานน่าสนใจ เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่ามีสายพันธุ์นกถึง 8 สายพันธุ์ ที่น่าจะสูญพันธุ์ไปตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก BirdLife International องค์กรไม่แสวงผลกำไร หลังทำการศึกษาวิจัยนาน 8 ปี กับนกที่มีความเสี่ยงสูญพันธุ์จำนวน 51 สปีชีส์ ทีมวิจัยพบว่ามีนกจำนวน 4 สายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ส่วนอีก 4 สายพันธุ์กำลังจะเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือนกสปิกซ์มาคอว์ (Spix’s macaw) นกที่ถูกใช้เป็นต้นแบบในการสร้างตัวละครนกแก้วสีน้ำเงิน ตัวละครหลักในภาพยนตร์ Rio เมื่อปี 2011 พวกมันสูญพันธุ์ไปหมดแล้วในธรรมชาติ แต่ยังคงเหลืออีกราว 70 ตัว ในกรงเลี้ยง
ภาพนกสปิกซ์มาคอว์ (Spix’s macaw)
ขอบคุณภาพจาก
https://www.birdlife.org/worldwide/news/spixs-macaw-heads-list-first-bird-extinctions-set-be-confirmed-decade
สาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้บรรดาสัตว์นานาชนิดต้องสูญพันธุ์คือ การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจของบริษัทใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ป่า ไปจนถึงการทำลายโดยชาวบ้านท้องถิ่นเอง กองทุนสัตว์ป่าโลกสากลประมาณการณ์ไว้ว่า ตั้งแต่ปี 2001 – 2012 ผืนป่าแอมะซอนสูญสิ้นพื้นที่สีเขียวไปแล้วราว 170,000 ตารางกิโลเมตร ด้านนักวิทยาศาสตร์เผย หากผืนป่าแอมะซอนยังคงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง และเสียพื้นที่ไป 40% จากทั้งหมด เชื่อกันว่าระบบนิเวศของป่าแอมะซอนจะไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก
ทั้งนี้มีบางกรณีที่สัตว์บางชนิดซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กลับพบประชากรของพวกมันในธรรมชาติราวกับปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อปี 2017 มีรายงานพบเห็นลิงซากิ Vanzolini เป็นครั้งแรกในรอบ 80 ปี ข่าวดีเช่นนี้ต้องอาศัยการศึกษาวิจัย และลงพื้นที่เป็นเวลานาน กว่าจะสามารถยืนยันการสูญพันธุ์ได้ และสำหรับนกเพียงแค่ 8 สายพันธุ์ที่หายไปอาจดูเล็กน้อย ทว่ากลับส่งผลกระทบต่อผืนป่ามากกว่าที่คิด เพราะนกคือผู้ช่วยกระจายพันธุ์เมล็ดพืชและเกสรดอกไม้ เมื่อจำนวนประชากรนกในป่าลดน้อยลง นั่นหมายความถึงโอกาสที่ผืนป่าจะฟื้นคืนกลับมาก็จะลดน้อยถอยลงตามไปด้วย และไม่ใช่แค่นกเท่านั้น รายนามเหล่านี้คือบรรดาสัตว์อื่นๆ ที่สูญพันธุ์ไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา น่าเศร้าที่ “10 year challenge” ของพวกมันมีเพียงรูปอดีต ปราศจากรูปปัจจุบัน…
เสือลายเมฆฟอร์โมซา (Formosan Clouded Leopard)
ภาพเขียนของเสือลายเมฆฟอร์โมซา (Formosan Clouded Leopard) ในปี 1862
ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย
เสือลายเมฆสายพันธฺุ์เฉพาะที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะไต้หวันเท่านั้น ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา การล่าและการรุกรานถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันโดยมนุษย์ส่งผลให้จำนวนประชากรของเสือลายเมฆฟอร์โมซาลดน้อยลงจนไม่ถูกพบเห็น และในที่สุดพวกมันก็ถูกประกาศสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2013 หลังความพยายามตลอด 13 ปีในการค้นหาเสือชนิดนี้ในธรรมชาติล้มเหลว
อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ทางไต้หวันยังคงพยายามพิจารณาสถานะของพวกมันใหม่อีกครั้ง ด้วยความหวังว่าอาจจะยังมีเสือลายเมฆฟอร์โมซาหลงเหลืออยู่ในผืนป่า ในปี 2014 มีรายงานวิจัยว่าหากทดลองนำเสือลายเมฆสายพันธุ์ญาติๆ ของมันที่มีถิ่นอาศัยในเอเชียมาปล่อยยังผืนป่าของไต้หวัน อาจช่วยสนับสนุนให้เสือพันธุ์พื้นเมืองเพิ่มประชากรมากขึ้นได้ ในกรณีที่พวกมันยังคงหลงเหลือ
เต่ายักษ์เกาะพินตา (Pinta Tortoise)
“Lonesome George” เต่ายักษ์เกาะพินทาตัวสุดท้าย
ขอบคุณภาพจาก
https://www.learnaboutnature.com/animals/tortoises/pinta-island-tortoise/
“Lonesome George” คือฉายาของเต่ายักษ์สายพันธุ์เกาะพินตา ในหมู่เกาะกาลาปากอสตัวสุดท้าย มันตายลงเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน ปี 2012 ในอุทยานแห่งชาติกาลาปากอส หลังใช้ชีวิตมามากกว่า 100 ปี โดยผู้ดูแลมันมากกว่า 40 ปี เป็นผู้พบร่างของมันนอนตายอยู่ในบ่อเลี้ยง ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ความพยายามจับคู่ให้มันผสมพันธุ์กับเต่าเพศเมียชนิดใกล้เคียงกันจากเกาะอิสซาเบลลา ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นความตายของมันจึงหมายถึงการสูญสิ้นสายพันธุ์เต่ายักษ์พินตาไปจากโลกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ยังคงมีความหวังเล็กๆ เมื่อในปีเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์พบประชากรเต่ายักษ์อย่างน้อย 17 ตัว ในบริเวณหมู่เกาะกาลาปากอส ที่มีพันธุกรรมคล้ายกับ George เป็นไปได้ว่าเต่ายักษ์พินตาอาจจะยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกนี้
ค้างคาวเกาะคริสต์มาส (Christmas Island Pipistrelle)
ค้างคาวเกาะคริสต์มาส
ขอบคุณภาพจาก
https://www.iucnredlist.org/species/136769/518894
รายงานจากไอยูซีเอ็น สายพันธุ์ของค้างคาวขนาดเล็กที่มีถิ่นอาศัยเฉพาะแค่บนเกาะคริสต์มาสของออสเตรเลียนี้ เดิมมีสถานะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ จนกระทั่งทางเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียออกมาประกาศการสูญพันธุ์เองในปี 2009 โดยมีสาเหตุมาจากโรคระบาดที่ถูกนำมาจากสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น อันที่จริงตลอด 20 ปีที่ผ่านมาก่อนการประกาศ นักวิทยาศาสตร์เองก็ทราบถึงจำนวนประชากรของพวกมันที่ลดลงมาเรื่อยๆ ทว่ากฎระเบียบที่ยุ่งยากของหน่วยงาน และรัฐบาลช่วงเวลานั้นส่งผลให้ค้างคาวเกาะคริสต์มาสไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควร ทั้งนี้การสูญพันธุ์ดังกล่าว ยังถือว่าเป็นการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าครั้งแรกในรอบ 60 ปี ของทวีปออสเตรเลียอีกด้วย
รายงานจากไอยูซีเอ็นที่เคยเผยเมื่อปี 2004 ระบุว่าอัตราการสูญพันธุ์โดยมนุษย์กำลังพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว 100 – 1,000 เท่า เมื่อเทียบกับการสูญพันธุ์ในครั้งก่อนๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยหลากหลายตั้งแต่การสิ้นสุดของยุคน้ำแข็ง, การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในมหาสมุทร, อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ไปจนถึงการพุ่งชนโดยอุกกาบาต
แรดดำตะวันตก (West African Black Rhinoceros)
กะโหลกศีรษะของแรดดำตะวันตกที่ถูกยิงตายเมื่อปี 1911
ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย
แรดดำตะวันตกคือสายพันธุ์ย่อยของแรดดำ ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนาของแอฟริกากลาง ภัยคุกคามจากการล่าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของพวกมันอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์รายงาน ตั้งแต่ปี 1960 – 1995 มีแรดดำตำวันตกถูกฆ่าไปมากถึง 98% และในที่สุดพวกมันก็ถูกประกาศสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในปี 2011 หลังการลงพื้นที่สำรวจแล้วไม่พบแรดดำตะวันตกหลงเหลืออยู่ในธรรมชาติ
ปัจจัยสำคัญมาจากความนิยมในนอแรด ที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรแผนจีน ส่งผลให้นอแรดมีราคาสูงมากในตลาดเอเชีย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ทางแอฟริกาจะมีมาตรการป้องกัน และอนุรักษ์ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งวงจรการล่าสัตว์แบบผิดกฎหมายที่ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องได้ ปี 2018 แรดขาวเหนือตัวผู้ตัวสุดท้ายในโลกตายลง หลังทุกข์ทรมานอย่างหนักจากอาการติดเชื้อที่ขาหลังด้านขวา เหลือเพียงแรดขาวเหนือสองตัวซึ่งเป็นตัวเมียทั้งคู่ สร้างความกังวลว่าสายพันธุ์นี้อาจเป็นสายพันธุ์ต่อไปที่จะเผชิญกับการสูญพันธุ์ในอนาคต หากเซลล์สืบพันธุ์ของตัวผู้ที่ถูกเก็บเอาไว้ ไม่สามารถผสมเทียมได้
เสือพูม่าตะวันออก (Eastern Cougar)
ภาพเขียนเมื่อปี 1830 แสดงภาพเสือพูม่าตะวันออกกำลังล่าเหยื่อตามธรรมชาติ
ขอบคุณภาพจาก
https://www.flickr.com/photos/internetarchivebookimages/14781856915/
สถานะการมีตัวตนของเสือพูม่าตะวันออกเป็นที่ถกเถียงมาโดยตลอด จนกระทั่งถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ เมื่อปี 2015 โดยสำนักประมงและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐฯ พวกมันเป็นสัตว์หากินกลางคืนที่มีฉายาว่า “แมวผี” จากความสามารถในการพรางตัวตามธรรมชาติที่ดีเยี่ยม นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ถูกยกขึ้นมาถกเถียงจากผู้ที่เชื่อว่าเสือพูม่าตะวันออกยังคงไม่สูญพันธุ์ ทั้งนี้ตลอดการลงพื้นที่สำรวจที่ผ่านมาพบร่องรอยหลายอย่าง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่สามารถระบุถึงการมีอยู่ของเสือพูม่าชนิดนี้ได้ คาดกันว่าสาเหตุหลักมาจากการที่มนุษย์บุกรุกถิ่นอาศัยของมันเพื่อตั้งถิ่นฐาน ทว่าเจ้าแมวใหญ่ที่สามารถรอดพ้นการสูญพันธุ์ของสัตว์ตระกูลแมวในช่วงท้ายของยุคไพลโตซีนในอเมริกาเหนือมาได้นี้ยังไม่สูญสิ้นไปเสียทีเดียว ปัจจุบันยังคงหลงเหลือเสือพูม่าอีกหลายสายพันธุ์ที่กำลังได้รับการปกป้อง ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ และในอเมริกาใต้
นับตั้งแต่ปี 1500 เป็นต้นมามีบันทึกสายพันธุ์สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วราว 869 ชนิด จากทั้งหมดของความหลากหลายราว 5 – 30 ล้านสายพันธุ์ทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 3% เท่านั้นที่ได้รับสถานะการอนุรักษ์อย่างจริงจัง
นกเป็ดผีอเลโอทรา (Alaotra Grebe)
แม้จะหน้าตาคล้ายเป็ด แต่อันที่จริงนกในวงศ์นกเป็ดผีเหล่านี้เป็นนกน้ำที่เป็นญาติกับนกฟลามิงโก สำหรับนกเป็ดผีสายพันธุ์อเลโอทรา พวกมันมีถิ่นอาศัยบนเกาะมาดากัสการ์ เอกลักษณ์คือปีกขนาดเล็กที่ไม่สามารถใช้บินเป็นระยะทางไกลๆ พวกมันมักใช้ชีวิตอยู่กับน้ำตลอดเวลา เพื่อจับปลาเป็นอาหาร ชื่อสามัญว่า “นกเป็ดผี” มาจากพฤติกรรมที่มักผลุบหายลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปโผล่อีกจุดหนึ่งซึ่งมักอยู่ห่างออกไปรวดเร็วราวกับผี นักวิทยาศาสตร์รายงานการพบเห็นนกเป็นผีอเลโอทราครั้งสุดท้าย เมื่อทศวรรษ 1980 ก่อนจะประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในปี 2010 สาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การถูกจับด้วยแหโดยชาวประมงระหว่างการหาปลา ไปจนถึงถูกมุ่งเป้าล่าเป็นอาหาร
ในปี 2010 ไอยูซีเอ็นเผยรายชื่อของสิ่งมีชีวิตจำนวน 208 สายพันธุ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะสูญพันธุ์ไปแล้ว ในจำนวนนี้มีบางชนิดที่ไม่ถูกพบเห็นในธรรมชาติมากกว่า 10 ปี และมีอีกหลายหมื่นสายพันธุ์ที่กำลังถูกคุกคาม ในการประกาศนี้รวมถึงสัตว์ที่มีสถานะล่อแหลมเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่าง อุรังอุตังบอร์เนียว, ไพกา, นากยักษ์, เสือดาวอามูร์, เฟอเรทเท้าดำ, แรดสุมาตรา, แร้งเทาหลังขาว, ตัวนิ่ม, ซาวลา และ โลมาวากีตา เหล่านี้คือรายชื่อของสัตว์ที่อาจกลายเป็นเรื่องเศร้าในแคมเปญ “10 year challenge” แห่งอนาคต มิรวมถึงการสูญเสียชนิดพันธุ์พืช, พื้นที่ป่า, ธารน้ำแข็ง ไปจนถึงอุณหภูมิโลก, ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิบปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากจริงๆ
“10 year challenge” สิบปีที่ผ่านมากับสปีชีส์ที่หายไป
“10 year challenge” สิบปีที่ผ่านมากับสปีชีส์ที่หายไป
ไม่แน่ชัดว่าใครเป็นคนริเริ่ม “10 year challenge” แคมเปญบนโลกออนไลน์ที่ขณะนี้กำลังได้รับความนิยม และเป็นกระแสสุดๆ ทั้งในไทย และในต่างประเทศ ง่ายแสนง่ายเพียงนำภาพถ่ายปัจจุบัน และภาพถ่ายของอดีตเมื่อสิบปีก่อนมาวางจับคู่เปรียบเทียบกัน เราจึงมีโอกาสได้เห็น “10 year challenge” ของบรรดาคนดัง และเพื่อนฝูงบนโลกโซเชียลที่ทยอยเผยแพร่กันออกมาเรื่อยๆ นัยหนึ่งชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงตลอดทศวรรษ ส่วนอีกนัยสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เรารู้จักกันมานานเป็นสิบปี
สิบปีนั้นนานพอที่หลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลง และในที่นี้รวมไปถึงธรรมชาติด้วยเช่นกัน ภาพถ่ายมากมายของภูเขาน้ำแข็ง, แนวปะการัง และป่าไม้ที่หดหายจึงถูกผนวกรวมอยู่ในแคมเปญนี้ด้วย ตอกย้ำถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากกิจกรรมของมนุษย์ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 วารสาร Biological Conservation เผยแพร่รายงานน่าสนใจ เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่ามีสายพันธุ์นกถึง 8 สายพันธุ์ ที่น่าจะสูญพันธุ์ไปตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก BirdLife International องค์กรไม่แสวงผลกำไร หลังทำการศึกษาวิจัยนาน 8 ปี กับนกที่มีความเสี่ยงสูญพันธุ์จำนวน 51 สปีชีส์ ทีมวิจัยพบว่ามีนกจำนวน 4 สายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ส่วนอีก 4 สายพันธุ์กำลังจะเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือนกสปิกซ์มาคอว์ (Spix’s macaw) นกที่ถูกใช้เป็นต้นแบบในการสร้างตัวละครนกแก้วสีน้ำเงิน ตัวละครหลักในภาพยนตร์ Rio เมื่อปี 2011 พวกมันสูญพันธุ์ไปหมดแล้วในธรรมชาติ แต่ยังคงเหลืออีกราว 70 ตัว ในกรงเลี้ยง
ขอบคุณภาพจาก https://www.birdlife.org/worldwide/news/spixs-macaw-heads-list-first-bird-extinctions-set-be-confirmed-decade
สาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้บรรดาสัตว์นานาชนิดต้องสูญพันธุ์คือ การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจของบริษัทใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ป่า ไปจนถึงการทำลายโดยชาวบ้านท้องถิ่นเอง กองทุนสัตว์ป่าโลกสากลประมาณการณ์ไว้ว่า ตั้งแต่ปี 2001 – 2012 ผืนป่าแอมะซอนสูญสิ้นพื้นที่สีเขียวไปแล้วราว 170,000 ตารางกิโลเมตร ด้านนักวิทยาศาสตร์เผย หากผืนป่าแอมะซอนยังคงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง และเสียพื้นที่ไป 40% จากทั้งหมด เชื่อกันว่าระบบนิเวศของป่าแอมะซอนจะไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก
ทั้งนี้มีบางกรณีที่สัตว์บางชนิดซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กลับพบประชากรของพวกมันในธรรมชาติราวกับปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อปี 2017 มีรายงานพบเห็นลิงซากิ Vanzolini เป็นครั้งแรกในรอบ 80 ปี ข่าวดีเช่นนี้ต้องอาศัยการศึกษาวิจัย และลงพื้นที่เป็นเวลานาน กว่าจะสามารถยืนยันการสูญพันธุ์ได้ และสำหรับนกเพียงแค่ 8 สายพันธุ์ที่หายไปอาจดูเล็กน้อย ทว่ากลับส่งผลกระทบต่อผืนป่ามากกว่าที่คิด เพราะนกคือผู้ช่วยกระจายพันธุ์เมล็ดพืชและเกสรดอกไม้ เมื่อจำนวนประชากรนกในป่าลดน้อยลง นั่นหมายความถึงโอกาสที่ผืนป่าจะฟื้นคืนกลับมาก็จะลดน้อยถอยลงตามไปด้วย และไม่ใช่แค่นกเท่านั้น รายนามเหล่านี้คือบรรดาสัตว์อื่นๆ ที่สูญพันธุ์ไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา น่าเศร้าที่ “10 year challenge” ของพวกมันมีเพียงรูปอดีต ปราศจากรูปปัจจุบัน…
เสือลายเมฆฟอร์โมซา (Formosan Clouded Leopard)
ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย
เสือลายเมฆสายพันธฺุ์เฉพาะที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะไต้หวันเท่านั้น ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา การล่าและการรุกรานถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันโดยมนุษย์ส่งผลให้จำนวนประชากรของเสือลายเมฆฟอร์โมซาลดน้อยลงจนไม่ถูกพบเห็น และในที่สุดพวกมันก็ถูกประกาศสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2013 หลังความพยายามตลอด 13 ปีในการค้นหาเสือชนิดนี้ในธรรมชาติล้มเหลว
อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ทางไต้หวันยังคงพยายามพิจารณาสถานะของพวกมันใหม่อีกครั้ง ด้วยความหวังว่าอาจจะยังมีเสือลายเมฆฟอร์โมซาหลงเหลืออยู่ในผืนป่า ในปี 2014 มีรายงานวิจัยว่าหากทดลองนำเสือลายเมฆสายพันธุ์ญาติๆ ของมันที่มีถิ่นอาศัยในเอเชียมาปล่อยยังผืนป่าของไต้หวัน อาจช่วยสนับสนุนให้เสือพันธุ์พื้นเมืองเพิ่มประชากรมากขึ้นได้ ในกรณีที่พวกมันยังคงหลงเหลือ
เต่ายักษ์เกาะพินตา (Pinta Tortoise)
ขอบคุณภาพจาก https://www.learnaboutnature.com/animals/tortoises/pinta-island-tortoise/
“Lonesome George” คือฉายาของเต่ายักษ์สายพันธุ์เกาะพินตา ในหมู่เกาะกาลาปากอสตัวสุดท้าย มันตายลงเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน ปี 2012 ในอุทยานแห่งชาติกาลาปากอส หลังใช้ชีวิตมามากกว่า 100 ปี โดยผู้ดูแลมันมากกว่า 40 ปี เป็นผู้พบร่างของมันนอนตายอยู่ในบ่อเลี้ยง ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ความพยายามจับคู่ให้มันผสมพันธุ์กับเต่าเพศเมียชนิดใกล้เคียงกันจากเกาะอิสซาเบลลา ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นความตายของมันจึงหมายถึงการสูญสิ้นสายพันธุ์เต่ายักษ์พินตาไปจากโลกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ยังคงมีความหวังเล็กๆ เมื่อในปีเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์พบประชากรเต่ายักษ์อย่างน้อย 17 ตัว ในบริเวณหมู่เกาะกาลาปากอส ที่มีพันธุกรรมคล้ายกับ George เป็นไปได้ว่าเต่ายักษ์พินตาอาจจะยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกนี้
ค้างคาวเกาะคริสต์มาส (Christmas Island Pipistrelle)
ขอบคุณภาพจาก https://www.iucnredlist.org/species/136769/518894
รายงานจากไอยูซีเอ็น สายพันธุ์ของค้างคาวขนาดเล็กที่มีถิ่นอาศัยเฉพาะแค่บนเกาะคริสต์มาสของออสเตรเลียนี้ เดิมมีสถานะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ จนกระทั่งทางเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียออกมาประกาศการสูญพันธุ์เองในปี 2009 โดยมีสาเหตุมาจากโรคระบาดที่ถูกนำมาจากสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น อันที่จริงตลอด 20 ปีที่ผ่านมาก่อนการประกาศ นักวิทยาศาสตร์เองก็ทราบถึงจำนวนประชากรของพวกมันที่ลดลงมาเรื่อยๆ ทว่ากฎระเบียบที่ยุ่งยากของหน่วยงาน และรัฐบาลช่วงเวลานั้นส่งผลให้ค้างคาวเกาะคริสต์มาสไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควร ทั้งนี้การสูญพันธุ์ดังกล่าว ยังถือว่าเป็นการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าครั้งแรกในรอบ 60 ปี ของทวีปออสเตรเลียอีกด้วย
รายงานจากไอยูซีเอ็นที่เคยเผยเมื่อปี 2004 ระบุว่าอัตราการสูญพันธุ์โดยมนุษย์กำลังพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว 100 – 1,000 เท่า เมื่อเทียบกับการสูญพันธุ์ในครั้งก่อนๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยหลากหลายตั้งแต่การสิ้นสุดของยุคน้ำแข็ง, การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในมหาสมุทร, อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ไปจนถึงการพุ่งชนโดยอุกกาบาต
แรดดำตะวันตก (West African Black Rhinoceros)
ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย
แรดดำตะวันตกคือสายพันธุ์ย่อยของแรดดำ ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนาของแอฟริกากลาง ภัยคุกคามจากการล่าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของพวกมันอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์รายงาน ตั้งแต่ปี 1960 – 1995 มีแรดดำตำวันตกถูกฆ่าไปมากถึง 98% และในที่สุดพวกมันก็ถูกประกาศสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในปี 2011 หลังการลงพื้นที่สำรวจแล้วไม่พบแรดดำตะวันตกหลงเหลืออยู่ในธรรมชาติ
ปัจจัยสำคัญมาจากความนิยมในนอแรด ที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรแผนจีน ส่งผลให้นอแรดมีราคาสูงมากในตลาดเอเชีย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ทางแอฟริกาจะมีมาตรการป้องกัน และอนุรักษ์ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งวงจรการล่าสัตว์แบบผิดกฎหมายที่ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องได้ ปี 2018 แรดขาวเหนือตัวผู้ตัวสุดท้ายในโลกตายลง หลังทุกข์ทรมานอย่างหนักจากอาการติดเชื้อที่ขาหลังด้านขวา เหลือเพียงแรดขาวเหนือสองตัวซึ่งเป็นตัวเมียทั้งคู่ สร้างความกังวลว่าสายพันธุ์นี้อาจเป็นสายพันธุ์ต่อไปที่จะเผชิญกับการสูญพันธุ์ในอนาคต หากเซลล์สืบพันธุ์ของตัวผู้ที่ถูกเก็บเอาไว้ ไม่สามารถผสมเทียมได้
เสือพูม่าตะวันออก (Eastern Cougar)
ขอบคุณภาพจาก https://www.flickr.com/photos/internetarchivebookimages/14781856915/
สถานะการมีตัวตนของเสือพูม่าตะวันออกเป็นที่ถกเถียงมาโดยตลอด จนกระทั่งถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ เมื่อปี 2015 โดยสำนักประมงและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐฯ พวกมันเป็นสัตว์หากินกลางคืนที่มีฉายาว่า “แมวผี” จากความสามารถในการพรางตัวตามธรรมชาติที่ดีเยี่ยม นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ถูกยกขึ้นมาถกเถียงจากผู้ที่เชื่อว่าเสือพูม่าตะวันออกยังคงไม่สูญพันธุ์ ทั้งนี้ตลอดการลงพื้นที่สำรวจที่ผ่านมาพบร่องรอยหลายอย่าง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่สามารถระบุถึงการมีอยู่ของเสือพูม่าชนิดนี้ได้ คาดกันว่าสาเหตุหลักมาจากการที่มนุษย์บุกรุกถิ่นอาศัยของมันเพื่อตั้งถิ่นฐาน ทว่าเจ้าแมวใหญ่ที่สามารถรอดพ้นการสูญพันธุ์ของสัตว์ตระกูลแมวในช่วงท้ายของยุคไพลโตซีนในอเมริกาเหนือมาได้นี้ยังไม่สูญสิ้นไปเสียทีเดียว ปัจจุบันยังคงหลงเหลือเสือพูม่าอีกหลายสายพันธุ์ที่กำลังได้รับการปกป้อง ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ และในอเมริกาใต้
นับตั้งแต่ปี 1500 เป็นต้นมามีบันทึกสายพันธุ์สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วราว 869 ชนิด จากทั้งหมดของความหลากหลายราว 5 – 30 ล้านสายพันธุ์ทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 3% เท่านั้นที่ได้รับสถานะการอนุรักษ์อย่างจริงจัง
นกเป็ดผีอเลโอทรา (Alaotra Grebe)
แม้จะหน้าตาคล้ายเป็ด แต่อันที่จริงนกในวงศ์นกเป็ดผีเหล่านี้เป็นนกน้ำที่เป็นญาติกับนกฟลามิงโก สำหรับนกเป็ดผีสายพันธุ์อเลโอทรา พวกมันมีถิ่นอาศัยบนเกาะมาดากัสการ์ เอกลักษณ์คือปีกขนาดเล็กที่ไม่สามารถใช้บินเป็นระยะทางไกลๆ พวกมันมักใช้ชีวิตอยู่กับน้ำตลอดเวลา เพื่อจับปลาเป็นอาหาร ชื่อสามัญว่า “นกเป็ดผี” มาจากพฤติกรรมที่มักผลุบหายลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปโผล่อีกจุดหนึ่งซึ่งมักอยู่ห่างออกไปรวดเร็วราวกับผี นักวิทยาศาสตร์รายงานการพบเห็นนกเป็นผีอเลโอทราครั้งสุดท้าย เมื่อทศวรรษ 1980 ก่อนจะประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในปี 2010 สาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การถูกจับด้วยแหโดยชาวประมงระหว่างการหาปลา ไปจนถึงถูกมุ่งเป้าล่าเป็นอาหาร
ในปี 2010 ไอยูซีเอ็นเผยรายชื่อของสิ่งมีชีวิตจำนวน 208 สายพันธุ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะสูญพันธุ์ไปแล้ว ในจำนวนนี้มีบางชนิดที่ไม่ถูกพบเห็นในธรรมชาติมากกว่า 10 ปี และมีอีกหลายหมื่นสายพันธุ์ที่กำลังถูกคุกคาม ในการประกาศนี้รวมถึงสัตว์ที่มีสถานะล่อแหลมเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่าง อุรังอุตังบอร์เนียว, ไพกา, นากยักษ์, เสือดาวอามูร์, เฟอเรทเท้าดำ, แรดสุมาตรา, แร้งเทาหลังขาว, ตัวนิ่ม, ซาวลา และ โลมาวากีตา เหล่านี้คือรายชื่อของสัตว์ที่อาจกลายเป็นเรื่องเศร้าในแคมเปญ “10 year challenge” แห่งอนาคต มิรวมถึงการสูญเสียชนิดพันธุ์พืช, พื้นที่ป่า, ธารน้ำแข็ง ไปจนถึงอุณหภูมิโลก, ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิบปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากจริงๆ