บางทีการมองคนที่ชีวิตแย่กว่าเราก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว

วันนี้​ มีน้องคนหนึ่ง​ มาระบายถึงความลำบากที่เขาได้เจอในปัจจุบัน​ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่สำคัญมากๆ​ ของผม

ตอนนั้น​ ผมก็ทำงานเป็นวิศวกรจนๆ​ คนหนึ่ง
ด้วยเงินเดือน​ หมื่นกลางๆ​
ที่ต้องใช้หนี้ที่ลงทุนธุรกิจผิดพลาดและล้มเหลว
มีหนี้บ้าน​ หนี้รถ​ หนี้บัตร​ หนี้เงินกู้​ สารพัดหนี้
มีแม่ที่ป่วยเป็นโรคทางระบบประสาท

หนี้หลักล้าน​
แต่ทรัพย์สินมีแค่​หลักแสน


วันหนึ่ง​ ผมตกรถเมล์ฟรี​ เที่ยวสุดท้าย
เพราะมันไม่จอด​ป้าย​ ที่ผมยืนอยู่
และผมคงไม่มีทางเลือกอื่นใด
นอกจากเดินกลับบ้าน
ที่ห่างจากโรงงานไป​ 6 กิโลเมตร​
ตอน​ 4 ทุ่ม

วันนั้น​ มันเป็นวันที่แย่มากในชีวิต
เงินเดือนจะออกวันรุ่งขึ้น
เงินทั้งตัว​ มีไม่พอสำหรับค่ารถเมล์ธรรมดา
จึงต้องเดินกลับบ้าน

ผมได้เดินไป ได้สังเกตุเห็นชีวิตผู้คนมากมาย
ที่ผมไม่เคยได้สังเกตุ

มีทั้งคนขายของ​ พนักงานออฟฟิต
นักศีกษา​ คนทำงานกลางคืน
พนักงานเก็บขยะ​ คนบ้า​
คนไร้บ้าน

ระหว่างที่ผมเดิน​ และโทษโชคชะตา​ โทษเทวดา
โทษตัวเอง​ โทษเจ้านาย​ โทษนั้น​ โทษนี้

ผมก็เห็นคนไร้บ้าน​ เดินรื้อถังขยะ
ซักพัก​ เขาคงเหนื่อย
เลยกอดถุงนั้นล้มลงนอนอยู่ข้างถนน
ถุงนั้นเต็มไปด้วยขวดพลาสติก

เขากอดมันไว้แน่น​  และหลับไป

มันทำให้ผมคิดได้ว่า อย่างน้อย
ผมเหนื่อย​ ผมลำบาก​ ผมต้องเดินกลับบ้าน
หลายกิโล​ ฝนก็ตก​ เหนื่อยก็แสนเหนื่อย
แต่ผมก็ยังมีบ้านให้กลับ
มีน้ำให้อาบ​ มีชุดให้เปลี่ยน​
มีเตียงนอนนุ่มๆ​ ผ้าห่มอุ่นๆ​
ผมจะเสียมันไปไม่ได้
ถ้าผมยอมแพ้​ ผมหนีไป​
ผมอาจจะหนีไปบวชไกลๆ​ หนีหนี้​
หรือจะไปเป็นแรงงานเถื่อน​ เริ่มชีวิตใหม่
แต่แม่จะอยู่ยังไง​ แม่จะไปนอนที่ไหน
ใครจะดูแลแก​

หลังจากวันนั้น​ ผมทำงาน​ โดยลืมไปเลย
ว่าความลำบาก​ มันเป็นยังไง
รู้แต่ว่าต้องทำให้มากขึ้น​
เพื่อที่จะหลุดจากสภาพนั้นให้ได้

ผมใช้เวลา​ 7​ ปี​ ในการล้างหนี้บ้าน​ รถ
และ​ 10 กว่าปี​ ในการล้างหนี้ส่วนอื่นทั้งหมด
ในวันที่มีเงินไม่พอค่ารถเมล์​ 7​ บาท
กับวันนี้ที่มีเงิน 7​ หลัก

ชีวิตในวันนั้น​ มันเหมือนเรื่องตลก
และที่ตลกที่สุดก็คือ
ในวันที่เราคิดว่า​ เหนื่อย​ ลำบาก​ ชีวิตมันแย่

จริงๆ​ แล้ว​ การเอาชีวิต​ ขึ้นมาจากก้นเหว
มันเหนื่อย​ ลำบาก​ และแย่​ กว่านั้นอีกหลายเท่า

ผมว่าไอ้วันที่​ผมต้องขอข้าวเพื่อนกิน​ ต้องเดินกลับบ้าน​ ต้องไปห้ามแม่ไม่ให้ทำร้ายคนข้างบ้าน​ ต้องเดินไปขอโทษ​ และบอกคนข้างบ้านว่าจะพยายามหาเงินมาชดใช้​ ทรัพย์สินที่เสียหายจากการกระทำของคุณแม่​
ต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้เขาปล่อยตัวแม่

ทั้งหมดรวมกัน​ มันเป็นความลำบาก​ แค่​ 10% ของความลำบากที่ผมต้องเผชิญ​ ในการต่อสู้ดิ้นรน​ เพื่อจะกลับมา​ เลิกเป็นคนตกต่ำ และก้าวไปให้ดีขึ้นอีก

ผมก็มานั่งคิด​ ว่าทำไมมันเหนื่อยกว่า​ ลำบากกว่า​ ยากกว่า​ การเป็นไอ้ขี้แพ้​ แต่ทำไมเราถึงทนทำมันได้​ ทั้งๆ​ที่​ ตอนเป็นไอ้ขี้แพ้​ มีแต่อยากตาย​ อยากหนี​ อยากเป็นบ้า​ จะได้ไม่ต้องทนอยู่ในสภาพนั่นอีกต่อไป


ผมก็มานั่งคิด
เหตุผลหลักๆ​ คือ

1. เรามีตัดสินใจ​ อย่างแน่วแน่
2. การตัดสินใจ​นั่น ไม่ใข่เพียงผิวเผิน​ แต่เป็นการตัดสินใจในระดับจิตใจ​
3. เป้าหมาย​ มีความยิ่งใหญ่พอที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง​ และทุ่มเท​ เอาชนะ
4. เป้าหมายมีความเป็นไปได้​ และเราเชื่อว่ามันทำได้​
5. ไม่เลิกทำให้ได้ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะโดนดูถูก​หรือยากลำบากแค่ไหน

ดังนั้น​ สิ่งที่สำคัญในการออกจาก​ ชีวิตที่บัดซบ​
คือการตัดสินใจ​ และมุ่งมั่น​ ที่จะทำจริงๆ
ไม่ย่อท้อ​ และจะไม่เลิกทำ

เพราะพลังที่จะเปลี่ยนชีวิตจริงๆ​
คือการกระทำที่ประสบความสำเร็จ

และการที่เกิดการกระทำ​ขึ้นมาได้ คือความหวัง​ ความเชื่อ​ และพลังใจ

และการกระทำที่ประสบความสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้จาก​การทำอย่างต่อเนื่อง​ ไม่ย่อท้อ​ แต่ไม่ใช่ทำอย่างเดิมซ้ำๆ​ ไปเรื่อยๆ​ มันต้องทำ​ แล้ว​ ตรวจสอบ มีการแก้ไขปรับเปลี่ยน​วิธีการ​ ให้ตรงตามเป้าหมาบของเราด้วย

ดังนั้น​ อยากออกจากหุบเหว​ ต้อง
1. เชื่อ​
2. มุ่งมั่น
3. ศึกษา
4. ทำ
5. วิเคราะห์​ ความสำเร็จ​ จากการกระทำ​ ความล้มเหลว​ จุดอ่อน​ จุดแข็ง​ โอกาส​ และภัยอันตราย
6. ศึกษาเพิ่มเติม​ ปรับเปลี่ยน​ แก้ไข
7.​ ทำ​อย่างไม่ย่อท้อ วิเคราะห์​ ศึกษา​ ปรับเปลี่ยน​
8. พบแนวทางแห่งความสำเร็จ
9. อีกนิดก็จะสำเร็จ​ ทำต่อไป​อย่าท้อ
10.​ ประสบความสำเร็จ

ชีวิต​ 10 กว่าปี​ จากล้มเหลว​ สู่สำเร็จ​ มีบ้านให้แม่อยู่​ มีรถ  พาไปเที่ยว​ไปกิน  ได้ทุกที่ๆ​ แกอยากไป​ ดูแลจนแม่อาการดีขึ้น​ มาก​ ไม่ทำร้ายคนอื่น​ และทำร้ายตัวเอง

สรุป​ ได้​ 10​ ข้อแค่นี้​ ถ้าคุณลำบากอยู่​ และอยากหลุดพ้นความยากลำบาก​ คุณต้องลำบากให้มากขึ้น​ ถึงจะประสบความสำเร็จ​ ขอให้โชคดีกันทุกคนครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่