รักที่เป็นรักแท้ อย่างไรก็คือรักแท้(แค่อยากระบาย ไม่ได้ต้องการความคิดเห็นใดๆ)


(ขอลงภาพตุ๊กตาตัวนึงซึ่งเป็นความทรงจำระหว่างเราและเขา)

... เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นผู้หญิงคนนึงที่ได้มาทำงานในรีสอร์ทแห่งนึงใกล้บ้านและพบกับเขาที่เป็นตำนานรักในชีวิตของเรา (ขออนุญาตเรียกตำนานเพราะเขาจะเป็นคนแรกและคนเดียวในชีวิตนี้ที่เรารักมากและจะรักตลอดไป)

  ค่ะ..คนทุกคนย่อมมีจุดเปลี่ยนในชีวิต ย่อมมีจุดหักเห ย่อมมีความคิดรักโลภ โกรธ และหลง ตามแต่ละสถานการณ์หรือความเป็นไปของชีวิต.ถ้าจิตใจไม่หนักแน่นพอ ก็จะเป็นเหมือน จขกท...

เราจำได้ วันแรกที่เราทำงานที่นี่วันที่ 5/12/2011 เราตื่นเต้นกับงานที่สุด เพราะถือว่าเป็นงานแรกที่เราทำตั้งแต่เรียนจบ ไม่นับงาน Part time อีเว้นท์ทั่วไป ชีวิตการทำงานสนุก มีความสุข เจอเพื่อนร่วมงานมากมาย ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่เฟคต่อกัน มีความเป็นบ้านๆ เราชอบ เพราะตจว.ก็คือ ตจว. มันมีเสน่์ตรงนี้  

งานก็มีความเหนื่อยมากถึงมากที่สุดแต่เราก็อดทน ต้องเข้างานตั้งแต่ตี 4ตี 5 เลิกงาน 3 ทุ่ม 4 ทุ่มก็มี เพราะรีสอร์ทใกล้จะเปิดตัว ทุกอย่างจึงยังไม่พร้อกนัก เรียกได้ว่าเราเป็นรุ่นแรกของพนักงานที่นี่เลยก็ว่าได้ เราทำงานส่วนของหน้า Front คอยบริการต้อนรับลูกค้า

ในทุกๆวันก็จะมีพนักตบเท้าเข้ามาใหม่กันอย่างต่อเนื่องทุกแผนก เพราะความต้องการพนักงานสูง..
และวันนั้น .. ในโรงอาหาร หรือ Cantene พนักงาน ที่ตอนนั้นยังใช้เป็นสถานที่ชั่วคราวอยู่ เป็นโรงเล็กๆ โล่งอยู่ตรงกลาง.จะมีห้องที่เป็นออฟฟิสแต่ละแผนกอยู่ด้วยเช่นแผนก front office และ house keeping  

วันนึงกินข้าวเสร็จ พนักงานจะต้องเดินเอาจานไปล้างเองทุกครั้ง ขณะที่กำลังล้างจานอยู่ ก็มีพี่ที่เป็นแม่บ้านยืนล้างอยู่ด้วยเรายังจำชื่อได้เสมอ ก็ยืนคุยกัน พี่ที่เป็นแม่บ้านบอกว่าเนี่ยย..เด่วจะมีน้องชายพี่มาสมัครเป็น Bell .. สายตาเราก็แพลนไปหาผู้ชายคนนึงตัวเล็กๆ ท่ามกลางพนักงานมาใหม่ไม่คุ้นหน้าตาหลายคน แต่คนนี้จะสะดุดเพราะหน้าจะขาวมาก 555 เหมือนพอกครีมกันแดดมาเยอะ ประมานว่าเพิ่งมาจากกทม.แล้วกลัวหน้าดำ ..5555

เราก็คิดในใจว่าอ๋อ..คนนี้แน่น้องชายที่พี่ว่า เลยชี้ให้ดู พี่เค้าบอกไม่ใช่ๆจ้ะ ยังไม่มา เราก็อ่าว หรอ 555หน้าแตก แต่นั่นคือโมเม้นท์แรกในชีวิตที่เราเห็นเค้า เรายังจำได้ติดตา เค้าเดินถือถาดที่ตักอาหารแล้วกำลังจะเดินไปนั่งทานที่โต้ะ..

ก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษหรือหวือหวาอะไรกับผู้ชายคนนี้ เพราะในใจตอนนั้นเราเพิ่งจะคล้ายๆฟูมฟายกับผู้ชายคนก่อนที่เค้าทิ้งเราไป มาทำงานที่นี่บางทีเรายังเล่าให้คนอื่นๆฟังถึงอยู่เลย  

  คนๆนี้เป็นผู้ชายตัวเล็กๆ ดูภายนอกจะเป็นคนกวนๆ ติ๊งต๊อง ปากจัด(ชอบปะทะคารมกับเพื่อนร่วมงานบ้าง)555 แต่เรากับเค้าสนิทกันได้เร็ว เพราะด้วยวัยเดียวกัน เลยคุยกันง่าย สนิทกันเป็นเพื่อนคู่คิดกัน ถึงขั้นเราชอบตบหัวกันบ่อยๆ ซึ่งไม่ดีนะ แค่ตอนนั้นด้วยอารมณ์ความเป็นเพื่อน มันเลยจะสนิทกันง่าย สไตล์เราเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน และซิทคอมก็ขอบเหมือนกันคือ เรื่อง "เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร" ปกติหาคนอินกะตัวละครในซิทคอมแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆนะคะ นอกจากคนจริตแบบเดียวกัน 5555++

เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นๆ ถึงตอนนี้เองเรายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารักเค้าไปตอนไหน รู้แต่ว่ามีเค้าที่ไหนต้องมีเรา มีเราต้องมีเค้า ความสัมพันธ์ของเรามันไปไกลจนวันนึงมันก็เกินเลยจากคำว่าเพื่อนไปเป็นคนรัก เราจำได้ว่าวันนั้นวันที่ 3 กค.2012 เพราะหลังจากนั้นอีกเดือนนึงเราก็ลาออกจากที่นั่น เพราะมีผู้ใหญ่ใจดีมาชวนไปทำงานที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง

เราและเค้ารักกัน เรารักเค้ามาก มากจนเราก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงรักได้มากมายขนาดนี้ เราเป็นคนที่เห็นแก่ตัวตลอดในเรื่องความรักที่ผ่านๆมา เพราะเรามีแต่ได้รับเสมอ ผู้ชายที่ผ่านเข้ามาทุกคนคือจะรักเราแบบถวายหัวที่สุด เราเลยักจะคุ้นชินกับการได้รับความรักมากกว่าที่จะรักออกไป

แต่กับคนนี้ที่เราว่าคือรักแท้ เพราะเราเคยบอกเค้าไป ไม่รู้ว่าเค้าจำได้หรือเปล่าว่า ถ้าวันนึงเค้าหมดรักเราและจะขอไปรักคนอื่นเราก็พร้อมที่จะให้ไปโดยที่เราพร้อมจะยินดีในความสุขของเค้าอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ เรียกง่ายๆว่า ถ้าเธอทำอะไรแล้วมีความสุข เราสุขยิ่งกว่า ... เราลองพิจารณาใจตัวเองทุกครั้ง คำตอบคือเหมือนเดิม เราไม่ได้หลง เราไม่ได้สร้างภาวะยินยอมปลอมๆในใจ เราพร้อมจะให้เค้าไปถ้าใจเขาต้องการ
เราเลยขอเรียกเค้าว่า..รักแท้ของเราในชาตินี้ ที่มันมีเพียงคนเดียว เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้ของเราที่เราเฝ้าตามหามาตลอด..

อ่านมาดูจะสวยงาม ใช่ค่ะ..เรารักกันมาอย่างราบเรียบแต่ราบรื่น เค้าเป็นคนไม่หวือหวา ไม่เว่อร์วัง ไม่พิเศษ ไม่เซอร์พรส์ เหมือนคนก่อนๆที่ผ่านมา .. แค่เรากลับอิ่มเอมในหัวใจกับความเรียบง่ายแบบนี้ ที่วันหยุดเราก็ใช้ชีวิตด้วยกัน ไปดูหนัง กินข้าวกันบ้างเล็กๆน้อย เราตั้งใจที่จะเก็บเงินเพื่ออนาคตของเราทั้งคู่  เค้าเข้ากับทางบ้านของเราได้ดีมาก เพราเค้าเป็นคนน่ารัก สุภาพ อ่อนโยน และใจเย็น ต่างจากเราที่อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย เขื่อไหมคะ ..ตั้งแต่คบกับเขาเราใจเย็นลงเยอะ มีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น ขนาดหัวเราะจากที่เคยขำดังๆก็เปลี่ยนเป็นขำค่อยๆเบาๆ โดยที่ไม่รู้ตัว จนคนรอบข้างยังแซว แต่เชื่อไหมมันไม่ใช่ความฝืน

.. เรามองเห็นเค้าในอนาคตที่ยืนอยู่บนบ้านที่เราสร้างด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน ซึ่งเราไม่เคยมองเห็นแบบนี้กับใครมาก่อน ภายนอกบุคลิกเค้าจะเป็นคนติดเล่น ไม่ดูเป็นผู้นำ แต่ขัดกับเราซึ่งจะดูห้าว ดูลุยกว่า แต่ไม่ใช่ค่ะ .. เราเป็นผู้นำทางกาย ส่วนเค้าเป็นผู้นำทางจิตใจของเรา ยามเรามีปัญหา เค้าเป็นปรึกษาที่เยี่ยมยอดที่สุดคนนึง เค้าเป็นคนที่ระงับความร้อนในใจเราให้เย็นสุดๆ เค้าคอยเตือนสติเราทุกครั้งที่เราพลาดพลั้งเผลอ .. ยามเราเครียดจากการทำงาน เค้าก็จะพาเราไปสงบสติอารมณ์หรือพูดให้แง่คิด ครั้งนึงเรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานมาก แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ อึดอัดในใจเป็นที่สุด เราเลิกงานพร้อมกัน เค้าเลยบอกว่าจะพาเราไปปลดปล่อย ให้กรี๊ดสุดพลังเลย 5555++ เค้าพาเราไปที่ที่เราชอบมาก นั่นคือธรรมชาติ ไปดูภูเขากับเขื่อน เรารู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ทุกวันนี้เวลาเราไปสถานที่แห่งนั้นยังจำได้เสมอ น้ำตามันก็จะไหลตลอดเวลา เค้ากับเราชอบไปเที่ยวที่แบบนี้ เราชอบภูเขามาก เค้าก็คงชอบเหมือนกัน

เฮ้อ..มันดีไปหมด สวยงามไปหมด จนรู้สึกว่าแบบ..เคยมั้ยคะ เหมือนเพลงๆนึงที่ว่า ทุกอย่างมันดีจนกลัว กลัวการเลิกกัน กลัวการไม่เหมือนเดิม กลัวจะไม่มีเค้าแล้ว กลัวเหลือเกินน เพราะมันสุข จนกลัวทุกข์จะเข้ามา หาไม่ได้ง่ายนะคะ กับการที่รักคนๆนึงแล้วเราจะสบายใจ วางใจ ไม่ระแวงต่อกัน เข้ากันได้ทุกอย่าง ทุกๆอณูของชีวิตเลยก็ว่าได้

เขียนแล้วอยากให้จบแบบนี้เลยได้ไหม ก็ไม่ได้ไง .. ใช่ค่ะ .. มันไม่ได้จบสวยอย่างที่คิด เริ่มต้นเพราะเรา..เราเองทั้งหมดที่เป็นคนพังความรักที่เราตามหามาทั้งชีวิตเพราะเราเอง พิมพ์ไปก็ปวดใจนะคะ

หลังจากออกจากที่ทำงานคือรีสอร์ทเก่า เราก็ได้ทำงานที่ใหม่คือสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เราได้มีโอกาสทำในตำปหน่งเลขาผู้บริหาร งานทุกวันเกี่ยวกับเอกสาร เจอคนเพียง1 คนคือพี่ที่ทำมาก่อนเรานั่นเอง จากคนที่เคยพบปะผู้คนมามากตอนทำรีสอร์ทก็ต้องมาเครียดกับงาน งานคือไม่ได้เครียดอะไรนะคะ เครียดที่มันบบรยากาศทำงานเงียบเหงาเศร้ามาก 55  วันนึงที่ทำงานมีบริจาคทำบุญสร้างรูปปั้นพระพุทธเจ้าภาคเด็กที่ประเทศอินเดีย เค้าว่าบุญใหญ่นัก เราจึงทำบุญไปในใจอธิษฐานว่าขอให้ได้มีความรักกับคนๆนี้ตลอดไป

เราทำงานไปสักพักนึงก็มีความคิดอยากต่อปริญญาโท เพื่อเราจะได้เอาวุฒิสอบเข้าที่ทำงานอีกแห่งนึงในอนาคตที่มั่นคงและได้โบนัสดีกว่านี้ ด้วยความที่เราเป็นคนทะเยอทะยานนี้เอง จึงทำให้เราเสียอะไรไปโดยไม่รู้ตัว เรามุ่งมั่นจะเรียนป.โท  และเค้าก็ช่วยเราในเรื่องขอค่าเทอมด้วย ตอนนั้นเค้าก็ลาออกจากรีสอร์ทมาทำงานที่กทม.แล้วนะคะ เราก็ทั้งเรียนทั้งทำงาน

.จ-ศ เราทำงาน พอเย็นวันศุกร์เราก็เข้ากทม.ไปหาเค้าที่หอพัก ไปพักด้วยกันตอนเราเรียนป.โท // ถึงแม้ว่าเค้าจะจบแค่ ป.6 แต่ความรู้เค้ามากกว่าเราเยอะ เค้าเป็นชอบอ่านหนังสือค่ะ ยิ่งพวกประวัติศาสตร์เล่มหนาละด้วยยิ่งชอบไปใหญ่ เราเห็นละท้อแทน 55+ อย่สงที่บอกค่ะ ภายนอกที่คนอื่นมองเห็นคือคนขี้เล่นสนุกสนาน แต่เราเห็นเพชรที่มีค่าในตัวเค้า ที่มันอยู่ในสมองในความคิดของผู้ชายคนนี้ เราถึงรักเค้ามากไง ในตอนนั้นไม่ว่าใครเข้ามาเราก็ปิดประตูตายหมด แม้กระทั่งผู้ชายที่หน้าทีาการงานดีคนนึงพยายามจีบ เค้าเป็น นนร.ที่กำลังจบ อนาคตไกล แต่เราก็ไม่สนใจนะคะ เรากับเค้าช่วยกันทำงานเก็บเงิน แต่ด้วยมาตราฐานสังคมรอบตัวอย่างที่รู้ๆกัน มักจะตัดสินคนจากภายนอกมากกว่า

เราและเค้าดำเนินมาเรื่อยๆเข้าปีที่ 2 เราชอบเอาอกเอาใจเค้า ดูแลเค้า ก็อย่างที่บอกค่ะเค้าจะเรียบๆง่ายๆ ตามสไตล์ ไม่หวือหวา ที่สำคัญเอาใจใครไม่เป็น แต่ผญ.ก็อ่ะนะ มันก็อยากจะได้บ้าง นิดหน่อยก็ยังดี เราจำได้ว่าเย็นวันศุกร์วันนึงที่ทำให้เราเสียความรู้สึกกับเขา ก็วันนั้นเราซื้อแหนมเนืองจากที่ทำงานเรานั่งรถตู้เข้ามากทม.พร้อมแบกหนังสือที่ต้องเรียนป.โทด้วยอีก หนักค่ะ เราก็ถามเค้าว่ามารับเราหน่อยได้ไหมที่ลงรถตู้ เค้าก็บอกให้เรานั่งวินไป ในใจเราก็ฮึ มันไกลนะ ..นั่งวิน 100 บาทถือว่าไกลไหมคะ กับต้องแบกอาหารข้างนึง กระเป๋าหนังสือข้างนึง พอหลังจากถึงหอพัก เค้าก็ไม่ลงมารับ บอกให้เรารอคนมีคีย์การ์ดจะได้ขึ้นห้องไปเอง พอขึ้นห้องไปได้ เค้านั่งดูทีวีไม่สนใจเราเลย เราก็จัดแจงเตรียมอาหาร ไม่พอต้องมาป้อนให้อีก ก็คุณชายเล่นไม่ละสายตาจากทีวีเลย 55 เสร็จแล้วเราก็เก็บล้าง คือ ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ เราก็กรุ่นๆในใจ แต่จุดพีคที่ทำให้มือที่ 3 เข้ามาได้ก็คือ วันนึงเราทะเลาะกัน เถียงกันว่า เราบอกให้เค้าและเราเก็บเงินเพิ่มขึ้น เราเริ่มคิดถึงเรื่องแต่งงาน เรื่องการมีครอบครัวแล้ว แต่เค้ายังดูลัลล้ากับงานใหม่กับเพื่อนใหม่ของเค้า เราเถียงกันไม่เข้าใจ เค้าวางสายไป 3 วันค่ะไม่คุยกันเลย อกมันแตก เราเป็นคนที่ทะเลาะแล้วต้องเคลียร์ไม่งั้นมันจะค้างคาใจ เรานอนแทบบ้า ตอนนั้นต้องจากบ้านมาทำงานต่างถิ่นอยู่คนเดียวก็อารมณ์เหงาค่ะ ประจวบกับนนร.คนที่กล่าวไปยังติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ เราก็พลาดไปใจอ่อนคุยกับเขาเอง จากแรกๆก็ตกลงเป็นเพื่อนกัน คุยแก้เหงา คลายเครียด เพราะเค้าตลก มีสีสันมาก เป็นคนฮาได้กะทุกเรื่อง มันเลยทำให้ใจแกว่ง อย่างที่บอกไปแรก ถ้าใจไม่แข็งพอ..เราก็จะแพ้

ใช่ค่ะ ..ดิฉันแพ้ทางเค้า นนร. เราแอบนัดเจอกัน เค้าเป็นสุภาพบุรุษ ถือกระเป๋าให้ จากเราที่ห้าวๆก็กลายเป็นอ่อนแอ เดินข้ามทางม้าลายเค้าก็วิ่งมาบังรถ กินข้าวก็หยิบช้อน ตักน้ำให้ ทำทุกอย่างให้เรากลายเป็นผญ.ที่รู้สึกพิเศษ มันก็ไม่ยากที่จะตกหลุม แต่เราไม่มีอะไรเกินเลยกัน ถึงแม้เค้าจะเจ้าชู้นะคะ หลังๆก็จับได้ว่าเค้าไม่ได้คุยกับเราคนเดียวก็เลิกราไป จนเรากลับมาทำงานที่จังหวัดใกล้บ้าน เค้าคนนั้นกับเราก็ยังคุยกันคบกันอยู่ แต่เราเป็นคนพยายามออกห่างจากเค้า เราพยายามไม่พูดคุยติดต่อ ช่วงเวลานี้ดิฉันเรียกได้ว่ามันเหมือนกับตาบอดมองไม่เห็นเค้าเลยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่