จิตลับ...คนอำมหิต (ตอนที่1)
เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้าของวันถัดมาจักรพงษ์ตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่หัวหนักอึ้งเล็กน้อย รู้สึกมึนๆอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆที่เขาจำได้ว่าเมื่อเย็นวานนี้เขารู้สึกปวดหัวและเพลียมากหลังจากการทำงาน หรืออาการแทรกซ้อนบางอย่างเหมือนคนที่ร่างกายอ่อนแอ แล้วผล็อยหลับไปในตอนนั้น หากหลับตั้งแต่เย็นขนาดนั้นจนถึงช่วงเช้าจนเกือบจะสายของวันนี้ เขาต้องรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าสิ... แต่เหตุใดเล่าถึงรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายได้สูญเสียพลังงานไปมากมายซะขนาดนี้!!!??
ชายหนุ่มเกาหัวแกรกๆแล้วลดมือลงสะบัดหน้าแรงๆไล่อาการอันตึงหนึบอยู่ในสมองนั้นออก เดินไปชงกาแฟฉีกซองเทผงใส่แก้วแล้วกดน้ำร้อนตาม คนให้เข้ากัน วกกลับมานั่งลงที่โซฟาหน้าโทรทัศน์พลางจิบกาแฟนิดหนึ่ง มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบรีโมทมากดเปิดดูช่องทีวีช่องโปรดที่มักไม่ค่อยจะเปลี่ยนไปไหนเพราะชอบดูอยู่เป็นประจำ พอภาพที่หน้าจอปรากฏขึ้นจักรก็ต้องจับจ้องรับชมรับฟังเนื้อหาของข่าวสารอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่านผู้ชมคะ...สำหรับข่าวใหญ่ที่น่าอนาถและสยดสยองในวันนี้นะคะ เป็นข่าวการพบศพของหญิงสาวรายหนึ่ง ที่บ่งบอกได้ชัดว่าถูกฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหด ณ สวนสาธารณะใกล้สถานศึกษาเขตในเมืองนะคะ โดยศพถูกพบเมื่อตีห้าของวันนี้จากการให้ปากคำของพลเมืองดีที่ไปวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้าได้ให้ข้อมูลมาค่ะ....
คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมง ซึ่งก็มาทราบข้อมูลภายหลังว่าผู้ตายนั้นชื่อ “นางสาววิภาวัลย์ สุวรรณโสภา” ค่ะ เธอมีอาชีพเป็นครูสอนอยู่ที่สถานศึกษาใกล้ที่เกิดเหตุ สภาพศพของเธอนั้น เปลือยกาย มีรอยถูกของมีคมเชือดเฉือนไปตลอดทั้งร่าง ดวงตายังคงเปิดและปากยังอ้าค้างเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก พบเสื้อผ้าที่เธอสวมมาถูกกองไว้ด้านอกของดงต้นอ้อ บริเวณข้างสระน้ำในสวนฯ สภาพขาดออกไม่เหลือชิ้นดี คงจะเป็นผลมาจากการต่อสู้ขัดขืนของเหยื่อ หรือไม่ก็เกิดจากการฉีกกระชากและตั้งใจที่จะฟันออกของตัวฆาตกร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เหยื่อนั้นอาจถูกทำร้ายจนเสียชีวิตจากทางด้านนอกของกออ้อ แล้วจากนั้นก็ถูกลากศพนำมาอำพรางไว้ที่ดงอ้อด้านในอีกทีหนึ่ง และอาจจะเป็นเพราะความรีบร้อนฆาตกรจึงลืมที่จะเก็บเศษเสื้อผ้าและทำลายหลักฐาน เช่นรอยเลือด รอยของการลากศพไปด้วย แต่นั่นก็เป็นการดีที่จะมีหลักฐานมัดตัวฆาตกรและสาวให้ถึงโดยเร็วที่สุด และล่าสุดก็มีรายงานแจ้งมาว่าทางฝ่ายชันสูตรพลิกศพนั้น นอกจากจะพบร่องรอยการถูกทำร้ายแล้วนะคะ ยังพบอีกว่าศพของเหยื่อมีร่องรอยของการถูกข่มขืน และมีคราบของน้ำอสุจิของฆาตกรปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดด้วยค่ะ
โดยทางเจ้าหน้าที่ก็ได้บอกนะคะว่า นี่คือหลักฐานสำคัญ ที่จะสามารถหาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้โดยง่ายหลังจากที่ผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอต่างๆออกมาแล้วว่าเป็นของใคร ดังนั้นแล้วก็เชื่อมั่นได้ว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถจับตัวฆาตกรมาได้โดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ..”
ทันทีที่นักข่าวสาวรายงานจบ จักรพงษ์ก็ถึงกับตาเบิกกว้าง ปล่อยแก้วกาแฟให้หล่นร่วงลงจากมือที่ตอนนี้สั่นเทาราวกับคนเป็นไข้ หัวใจของเขาแตกสลาย แทบไม่เชื่อสายตาและหูของตนเอง และไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าข่าวที่เขากำลังดูอยู่นี้มันจะเป็นความจริง เขา...เขาต้องฝันไปแล้วแน่ๆ... ใช่...มันคือความฝัน.... ตื่นสิวะไอ้จักรตื่น!! แต่....ทุกคนล้วนหนีความจริงไปไม่ได้ ชายหนุ่มรู้ดีและชัดเจนที่สุดแล้วว่ามันคือความจริง ซึ่งเขารับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง คนที่ตายไม่อยากจะให้เป็นวิภาวัลย์เลย เป็นความผิดของเขาแท้ๆที่ไม่ไปวิ่งเป็นเพื่อนกันกับเธอเมื่อเย็นวาน เพราะความรู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจของตัวเองแท้ๆ บัดซบเอ้ย!!! ถ้าหากเขาไปวิ่งเป็นเพื่อนกับหญิงสาวตั้งแต่แรกเหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เขาจะปกป้องเธอให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน
ทั่วร่างของชายหนุ่มชาดิกสั่นสะท้าน ดวงใจเจ็บแปลบปลาบดั่งถูกใครเอามีดคมๆมาค่อยๆเชือดเฉือน ให้มันเกิดเป็นแผลลึก
น้ำตาแห่งความเสียใจและสูญเสียหลั่งรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง แก้วกาแฟที่ตกลงแตกบนพื้นจนทำให้น้ำกาแฟร้อนๆไหลมาสัมผัสไปทั่วเท้าทั้งหน้าและหลัง แต่...ไม่เลย เขามิได้มีความรู้สึกเจ็บปวดจากภายนอกเลยทั้งสิ้น เพราะบัดนี้มันได้ถูกกลบกลืนลบเลือนจากความรู้สึกที่ปวดร้าวภายในอย่างแสนทรมานจนมิอาจจะบรรยายได้
“ไม่....!!!! วิภาวัลย์....!!! วิภาวัลย์!!!!”
ชายหนุ่มปล่อยตัวให้เลื่อนจากโซฟา ทรุดลงคุกเข่า มีอาการเหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง ดวงตาเหม่อลอยดั่งไร้ชีวิตชีวา แหกปากเรียกแต่ชื่อของหญิงสาวที่เคยเป็นแฟนกันเมื่อครั้งสมัยเรียนดังลั่น มือสองข้างกำหมัดแน่น แต่สั่นระริกด้วยความเจ็บแค้นระคนเสียใจ ใคร...?ใคร...เป็นคนฆ่าวิภาวัลย์...? มันเป็นใคร!!!???? จักรโพล่งลั่นอยู่ในห้วงของความคิด เขาเสียวิภาวัลย์ไปก็เหมือนเสียคนที่รักที่สุดคนหนึ่งไปอย่างไม่มีอะไรจะมาเทียบเทียมทดแทนได้ ทำไม...? ทำไมต้องเป็นเธอ...?!!!
ผู้ที่ร่ำร้องอยู่แทบคลั่ง นอนลงตัวงอขดเป็นกุ้ง ตะเกียกตะกายปัดข้าวของที่วางอยู่บนพื้นจนกระจัดกระจายไปทั่ว น้ำกาแฟเลอะเปรอะเปื้อนเสื้อและร่างกายเหนียวเหนอะหนะไปหมด... เขาคร่ำครวญหาแต่หญิงคนรัก... ร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจอยู่เช่นนั้น น้ำตาแทบจะหลั่งออกมาเป็นสายเลือด น้ำเสียงก็แห้งแหบเครือครางคร่ำอย่างน่าเวทนา.... โอ้หนอ.....ชีวิตจักรพงษ์เอ๋ย......
ภาพแห่งความทรงจำที่สุดแสนจะลึกซึ้งสวยงามระหว่างวิภาวัลย์กับเขาปรากฏขึ้นมาในหัว ราวกับจะตอกย้ำให้หัวใจยิ่งโทมนัสเข้าไปอีกเพิ่มพูนคูณทวีหลายเท่า น้ำตาลูกผู้ชายที่สูญเสียคนที่รักสุดดวงใจไหลอาบแก้มเป็นทาง เมื่อนึกถึงรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และภาพอันน่าประทับใจของเธอกับเขาเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา และปัจจุบันอันเป็นเวลาที่แสนสั้นนับตั้งแต่ที่เขาได้พบกับเธอ มันเร็วเกินไป.... เขายังไม่อยากเห็นเธอตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ในอนาคตหากเป็นไปได้เธอจะร่วมเคียงข้างตายไปกับเขาเมื่อยามแก่เฒ่า หรืออย่างน้อยหากเธอมีอายุมากขึ้นและแก่ตัวลง เธอจะเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่เข้ามากล้ำกรายเขาก็ไม่ปฏิเสธและเต็มใจที่จะต้องยอมรับความจริง แต่ในวันนี้.... เขาอยากให้มันเป็นเพียงฝันร้าย...
แค่ฝันร้ายเท่านั้น... เขาแทบจะไม่อยากให้มันมีเหตุการณ์เช่นนี้ มันทรมานหัวใจของเขาเหลือเกิน
จักรพงษ์รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้าง ทัศนียภาพรอบด้านเริ่มกลายเป็นสีเหลือง บ้างก็กระตุกๆ กลายเป็นสีเทาๆ มีแสงสีขาววูบวาบสาดปะทะเข้ากับสายตาเสียจนเวียนหัว เขารู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว อาการเช่นนี้แหละที่ทำให้เมื่อวานเขาไม่ได้ไปพบกับวิภาวัลย์จนเกิดเหตุร้ายกับเธอ สมองทุกอย่างเหมือนถูกสั่งการจากใครบางคนที่ไม่ใช่เขา ชายหนุ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจเต้นถี่เร็วแรง แต่ลมหายใจกับแผ่วเบาราวกับจะขาดสะบั้นลงในนาทีนั้น จักรไม่รู้ว่ามันเป็นอาการของโรคอะไร เหมือนมันแทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย รวมไปถึงจิตใจของเขาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขากำลังจะปิด ม่านตาเริ่มพร่ามัวเห็นอะไรได้เพียงแค่รางๆ หัวสมองปวดหนึบเต้นอยู่ตุ้บๆ เขาเป็นอะไรกันแน่... เจ้าอาการของโรคประหลาดนั่นเล่นงานเขาอีกแล้ว และก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยหายไปนั้นเอง เหมือนสายตาที่สลัวรางของชายหนุ่มมองไปเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่าง ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มันมีลักษณะเป็นปลายเท้าของมนุษย์ที่แนบชิดกันในกิริยาการยืนที่เหยียดตรง เขาเห็นแค่เพียงเป็นเท้าและข้อเท้าบางส่วนยาวขึ้นไปเท่านั้น แต่มันเป็นเหมือนแค่กลุ่มพลังงานที่มีลักษณะลอยคลุ้งราวกับเป็นอากาศธาตุสีดำทะมึนเป็นรูปร่างอยู่ภายในห้อง สายตาที่พร่ามัวทำให้เขามองเห็นได้เท่านี้ แล้วก็ค่อยๆรู้สึกราวกับว่ากำลังตกจากที่สูงลงไปสู่ที่ต่ำ ข้างล่างนั้นคงเป็นก้นเหวลึก และแล้วทุกอย่างที่มีอาการอยู่นั้นก็พลันดับวูบมืดมิดลงไปในที่สุด
จักรพงษ์ไม่รู้สึกตัวอีกเลยจนตลอดเวลานั้น.... หรือ...จนกว่าเขาจะฟื้นคืนสติตื่นขึ้นมาอีกครั้งนั่นแหละจึงจะรู้ว่าเขาตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่.....
เวลาสายของช่วงวันภายในบ้านของนิดา ในวันนี้เธอแต่งกายด้วยชุดที่สวมใส่สบายเพื่อที่จะทำงานบ้านได้สะดวก เธอเปิดโทรทัศน์ฟังซีรี่ย์เรื่องโปรดแทนการรับชม เพราะต้องหันหลังใส่หน้าจอ หันหน้าเข้าครัวเพื่อล้างจานชามที่มีกองอยู่ในอ่างนับสิบๆใบ จานเซรามิกและพลาสติกใบแล้วใบเล่าที่ถูกนำขึ้นมาขัดถูจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ถูกชำระล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วนำไปวางบนตะแกรงชั้นวางจานชามอย่างเป็นระเบียบด้วยมือของหญิงสาว ซึ่งดูเหมือนจะคล่องงานเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีอยู่ได้ไม่น้อย และในขณะที่นิดากำลังดำเนินกิจวัตรภายในบ้านด้วยอาการที่เป็นปกติอยู่นั้นเอง
เธอก็กลับรู้สึกว่าภายในบ้านของเธอตอนนี้มิได้มีแต่เธออยู่เพียงผู้เดียว!!!
หญิงสาวคล้ายๆกับว่าเธอจะได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูอย่างช้าๆ แล้วเดินเข้ามาในบ้าน หากนั่นไม่ใช่เพราะเสียงที่เกิดจากโทรทัศน์ที่กำลังเปิดอยู่ในขณะนี้ หรือเธอก็อาจจะหูแว่วไปเองก็เป็นได้ ในวินาทีนั้นเธอตัดสินใจวางจานที่กำลังใช้ฟองน้ำขัดถูทำความสะอาดอยู่ลงในอ่าง แล้วหันขวับกลับไปมองทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องตัดสินใจยอมรับความจริง เพราะไม่มีอะไรหรือสิ่งใดอยู่ด้านหลังของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่....เพื่อความแน่ใจ หญิงสาวเดินไปเช็ดไม้เช็ดมือให้แห้งกับผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่ข้างฝาผนังของห้องครัว แล้วไปทำการกดปิดโทรทัศน์ลง และเมื่อหันไปมองยังประตูของบ้านด้านขวามือ หัวใจของเธอก็เต้นระทึกแทบไม่เป็นจังหวะ คุณพระช่วย..!!! ประตูถูกเปิดเข้ามาจริงๆด้วย
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเธอได้ปิดมันไว้เองกับมือ โดยไม่ได้ล็อคลูกบิดประตู แล้ว...แล้วใครเป็นคนเปิดมันเข้ามา?
หรือเพราะเธอรีบและสะเพร่าเองถึงลืมดูว่าปิดสนิทหรือยัง.... เป็นไปไม่ได้.... นี่บ้านของเธอเองเธอรู้ดีว่าเธอทำอะไรอย่างไรกับของหรือสิ่งต่างๆภายในบ้าน ลูกบิดประตูไม่มีทางมีปัญหาอย่างเด็ดขาด และเธอเองก็ไม่ได้สะเพร่าปิดไม่สนิทด้วย แค่เพียงไม่ได้ล็อคมันไว้ก็เท่านั้น....
หัวใจของนิดาเต้นระทึกตึกตัก เสียวสันหลังแปลกๆเมื่อรู้สึกว่ามี “ใครคนหนึ่ง” กำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธอโดยนิ่งเงียบไม่มีปฏิกิริยาอาการใดๆที่แสดงให้รู้ว่า แขกไม่ได้รับเชิญนั้นจะประสงค์ดีเลยสักนิด เธอใจหายวาบ... พลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆอยู่ในลำคอดังมาจากทางด้านนั้น และทันทีที่เธอหันหลังกลับไปพบเข้า หญิงสาวก็ต้องแหกปากร้องลั่นออกมาก้องไปทั่วทั้งบ้าน เพราะเบื้องหน้าของเธอบัดนี้ มีร่างอันสูงใหญ่กว่าเธอยืนจังก้าอยู่ ลักษณะเป็นชาย
เครื่องแต่งกายนั้นมิดชิด สวมหมวกแก๊ปสีดำไว้บนศีรษะ สวมแว่นตาดำและมีหน้ากากอนามัยซึ่งโทนสีไม่ต่างกันอำพรางใบหน้า เจ้าของร่างในชุดยีนและกางเกงวอร์ม รองเท้าหนังสีทะมึนนั่น ยืนนิ่งราวกับหุ่นปั้น มันดูน่ากลัวและลึกลับเสียเหลือเกิน ชั่วอึดใจมันก็ชักมีดปลายแหลมเล่มขนาดแล่เนื้อหมูได้ ออกมาจากฝักที่เหน็บไว้กับเข็มขัดด้านข้างเอว
คมมีดวาววับน่าขนลุก นิดาร้องขึ้นมาอีกครั้งอย่างสุดเสียง เธอแทบจะสิ้นสติลงในบัดนั้น ผงะถอยกรูดสะดุดกับโต๊ะวางแจกันตัวเล็กกลางห้องจนล้มลงหลายผลึ่ง ข้าวของตกแตกกระจายระเนระนาด ทันกันนั้น ชายในชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเปรียบดั่งมัจจุราชที่มาเพื่อคร่าชีวิต ก็เดินเข้ามาหาเธอที่ล้มนอนหงายอยู่อย่างใจ(และเลือด)เย็น มันครางแฮ่... ในลำคอราวกับปีศาจ พร้อมกับใช้เท้าเหยียบอกกดเธอไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่สุดจะขัดขืนได้ ดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว... เธอกำลังจะถูกฆ่า!!!
ในขณะที่ร่างสูงใหญ่นั้นเงื้อมีดขึ้น ปลายอันแหลมคมชี้ลงมายังเบื้องล่าง นิดากรีดร้องเสียงหลงเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต และแล้วด้วยความกลัวระคนตกใจนั่นเอง สติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลงไปโดยไม่ทันรู้เลยด้วยซ้ำว่า ไอ้เจ้าฆาตกรโรคจิตในชุดปกคลุมกายสีดำทั้งชุดนั้น มันจะทำอย่างไรกับร่างกายอันบอบบางของผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอบ้าง......
จิตลับ...คนอำมหิต ตอนที่3 โดย:ธีร์ วรรณกร "ใจจักรพงษ์แทบแตกสลาย...มัจจุราชปริศนามันได้พรากชีวิตคนรักของเขาไป!!!"
เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้าของวันถัดมาจักรพงษ์ตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่หัวหนักอึ้งเล็กน้อย รู้สึกมึนๆอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆที่เขาจำได้ว่าเมื่อเย็นวานนี้เขารู้สึกปวดหัวและเพลียมากหลังจากการทำงาน หรืออาการแทรกซ้อนบางอย่างเหมือนคนที่ร่างกายอ่อนแอ แล้วผล็อยหลับไปในตอนนั้น หากหลับตั้งแต่เย็นขนาดนั้นจนถึงช่วงเช้าจนเกือบจะสายของวันนี้ เขาต้องรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าสิ... แต่เหตุใดเล่าถึงรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายได้สูญเสียพลังงานไปมากมายซะขนาดนี้!!!??
ชายหนุ่มเกาหัวแกรกๆแล้วลดมือลงสะบัดหน้าแรงๆไล่อาการอันตึงหนึบอยู่ในสมองนั้นออก เดินไปชงกาแฟฉีกซองเทผงใส่แก้วแล้วกดน้ำร้อนตาม คนให้เข้ากัน วกกลับมานั่งลงที่โซฟาหน้าโทรทัศน์พลางจิบกาแฟนิดหนึ่ง มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบรีโมทมากดเปิดดูช่องทีวีช่องโปรดที่มักไม่ค่อยจะเปลี่ยนไปไหนเพราะชอบดูอยู่เป็นประจำ พอภาพที่หน้าจอปรากฏขึ้นจักรก็ต้องจับจ้องรับชมรับฟังเนื้อหาของข่าวสารอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่านผู้ชมคะ...สำหรับข่าวใหญ่ที่น่าอนาถและสยดสยองในวันนี้นะคะ เป็นข่าวการพบศพของหญิงสาวรายหนึ่ง ที่บ่งบอกได้ชัดว่าถูกฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหด ณ สวนสาธารณะใกล้สถานศึกษาเขตในเมืองนะคะ โดยศพถูกพบเมื่อตีห้าของวันนี้จากการให้ปากคำของพลเมืองดีที่ไปวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้าได้ให้ข้อมูลมาค่ะ....
คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมง ซึ่งก็มาทราบข้อมูลภายหลังว่าผู้ตายนั้นชื่อ “นางสาววิภาวัลย์ สุวรรณโสภา” ค่ะ เธอมีอาชีพเป็นครูสอนอยู่ที่สถานศึกษาใกล้ที่เกิดเหตุ สภาพศพของเธอนั้น เปลือยกาย มีรอยถูกของมีคมเชือดเฉือนไปตลอดทั้งร่าง ดวงตายังคงเปิดและปากยังอ้าค้างเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก พบเสื้อผ้าที่เธอสวมมาถูกกองไว้ด้านอกของดงต้นอ้อ บริเวณข้างสระน้ำในสวนฯ สภาพขาดออกไม่เหลือชิ้นดี คงจะเป็นผลมาจากการต่อสู้ขัดขืนของเหยื่อ หรือไม่ก็เกิดจากการฉีกกระชากและตั้งใจที่จะฟันออกของตัวฆาตกร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เหยื่อนั้นอาจถูกทำร้ายจนเสียชีวิตจากทางด้านนอกของกออ้อ แล้วจากนั้นก็ถูกลากศพนำมาอำพรางไว้ที่ดงอ้อด้านในอีกทีหนึ่ง และอาจจะเป็นเพราะความรีบร้อนฆาตกรจึงลืมที่จะเก็บเศษเสื้อผ้าและทำลายหลักฐาน เช่นรอยเลือด รอยของการลากศพไปด้วย แต่นั่นก็เป็นการดีที่จะมีหลักฐานมัดตัวฆาตกรและสาวให้ถึงโดยเร็วที่สุด และล่าสุดก็มีรายงานแจ้งมาว่าทางฝ่ายชันสูตรพลิกศพนั้น นอกจากจะพบร่องรอยการถูกทำร้ายแล้วนะคะ ยังพบอีกว่าศพของเหยื่อมีร่องรอยของการถูกข่มขืน และมีคราบของน้ำอสุจิของฆาตกรปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดด้วยค่ะ
โดยทางเจ้าหน้าที่ก็ได้บอกนะคะว่า นี่คือหลักฐานสำคัญ ที่จะสามารถหาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้โดยง่ายหลังจากที่ผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอต่างๆออกมาแล้วว่าเป็นของใคร ดังนั้นแล้วก็เชื่อมั่นได้ว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถจับตัวฆาตกรมาได้โดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ..”
ทันทีที่นักข่าวสาวรายงานจบ จักรพงษ์ก็ถึงกับตาเบิกกว้าง ปล่อยแก้วกาแฟให้หล่นร่วงลงจากมือที่ตอนนี้สั่นเทาราวกับคนเป็นไข้ หัวใจของเขาแตกสลาย แทบไม่เชื่อสายตาและหูของตนเอง และไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าข่าวที่เขากำลังดูอยู่นี้มันจะเป็นความจริง เขา...เขาต้องฝันไปแล้วแน่ๆ... ใช่...มันคือความฝัน.... ตื่นสิวะไอ้จักรตื่น!! แต่....ทุกคนล้วนหนีความจริงไปไม่ได้ ชายหนุ่มรู้ดีและชัดเจนที่สุดแล้วว่ามันคือความจริง ซึ่งเขารับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง คนที่ตายไม่อยากจะให้เป็นวิภาวัลย์เลย เป็นความผิดของเขาแท้ๆที่ไม่ไปวิ่งเป็นเพื่อนกันกับเธอเมื่อเย็นวาน เพราะความรู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจของตัวเองแท้ๆ บัดซบเอ้ย!!! ถ้าหากเขาไปวิ่งเป็นเพื่อนกับหญิงสาวตั้งแต่แรกเหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เขาจะปกป้องเธอให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน
ทั่วร่างของชายหนุ่มชาดิกสั่นสะท้าน ดวงใจเจ็บแปลบปลาบดั่งถูกใครเอามีดคมๆมาค่อยๆเชือดเฉือน ให้มันเกิดเป็นแผลลึก
น้ำตาแห่งความเสียใจและสูญเสียหลั่งรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง แก้วกาแฟที่ตกลงแตกบนพื้นจนทำให้น้ำกาแฟร้อนๆไหลมาสัมผัสไปทั่วเท้าทั้งหน้าและหลัง แต่...ไม่เลย เขามิได้มีความรู้สึกเจ็บปวดจากภายนอกเลยทั้งสิ้น เพราะบัดนี้มันได้ถูกกลบกลืนลบเลือนจากความรู้สึกที่ปวดร้าวภายในอย่างแสนทรมานจนมิอาจจะบรรยายได้
“ไม่....!!!! วิภาวัลย์....!!! วิภาวัลย์!!!!”
ชายหนุ่มปล่อยตัวให้เลื่อนจากโซฟา ทรุดลงคุกเข่า มีอาการเหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง ดวงตาเหม่อลอยดั่งไร้ชีวิตชีวา แหกปากเรียกแต่ชื่อของหญิงสาวที่เคยเป็นแฟนกันเมื่อครั้งสมัยเรียนดังลั่น มือสองข้างกำหมัดแน่น แต่สั่นระริกด้วยความเจ็บแค้นระคนเสียใจ ใคร...?ใคร...เป็นคนฆ่าวิภาวัลย์...? มันเป็นใคร!!!???? จักรโพล่งลั่นอยู่ในห้วงของความคิด เขาเสียวิภาวัลย์ไปก็เหมือนเสียคนที่รักที่สุดคนหนึ่งไปอย่างไม่มีอะไรจะมาเทียบเทียมทดแทนได้ ทำไม...? ทำไมต้องเป็นเธอ...?!!!
ผู้ที่ร่ำร้องอยู่แทบคลั่ง นอนลงตัวงอขดเป็นกุ้ง ตะเกียกตะกายปัดข้าวของที่วางอยู่บนพื้นจนกระจัดกระจายไปทั่ว น้ำกาแฟเลอะเปรอะเปื้อนเสื้อและร่างกายเหนียวเหนอะหนะไปหมด... เขาคร่ำครวญหาแต่หญิงคนรัก... ร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจอยู่เช่นนั้น น้ำตาแทบจะหลั่งออกมาเป็นสายเลือด น้ำเสียงก็แห้งแหบเครือครางคร่ำอย่างน่าเวทนา.... โอ้หนอ.....ชีวิตจักรพงษ์เอ๋ย......
ภาพแห่งความทรงจำที่สุดแสนจะลึกซึ้งสวยงามระหว่างวิภาวัลย์กับเขาปรากฏขึ้นมาในหัว ราวกับจะตอกย้ำให้หัวใจยิ่งโทมนัสเข้าไปอีกเพิ่มพูนคูณทวีหลายเท่า น้ำตาลูกผู้ชายที่สูญเสียคนที่รักสุดดวงใจไหลอาบแก้มเป็นทาง เมื่อนึกถึงรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และภาพอันน่าประทับใจของเธอกับเขาเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา และปัจจุบันอันเป็นเวลาที่แสนสั้นนับตั้งแต่ที่เขาได้พบกับเธอ มันเร็วเกินไป.... เขายังไม่อยากเห็นเธอตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ในอนาคตหากเป็นไปได้เธอจะร่วมเคียงข้างตายไปกับเขาเมื่อยามแก่เฒ่า หรืออย่างน้อยหากเธอมีอายุมากขึ้นและแก่ตัวลง เธอจะเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่เข้ามากล้ำกรายเขาก็ไม่ปฏิเสธและเต็มใจที่จะต้องยอมรับความจริง แต่ในวันนี้.... เขาอยากให้มันเป็นเพียงฝันร้าย...
แค่ฝันร้ายเท่านั้น... เขาแทบจะไม่อยากให้มันมีเหตุการณ์เช่นนี้ มันทรมานหัวใจของเขาเหลือเกิน
จักรพงษ์รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้าง ทัศนียภาพรอบด้านเริ่มกลายเป็นสีเหลือง บ้างก็กระตุกๆ กลายเป็นสีเทาๆ มีแสงสีขาววูบวาบสาดปะทะเข้ากับสายตาเสียจนเวียนหัว เขารู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว อาการเช่นนี้แหละที่ทำให้เมื่อวานเขาไม่ได้ไปพบกับวิภาวัลย์จนเกิดเหตุร้ายกับเธอ สมองทุกอย่างเหมือนถูกสั่งการจากใครบางคนที่ไม่ใช่เขา ชายหนุ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจเต้นถี่เร็วแรง แต่ลมหายใจกับแผ่วเบาราวกับจะขาดสะบั้นลงในนาทีนั้น จักรไม่รู้ว่ามันเป็นอาการของโรคอะไร เหมือนมันแทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย รวมไปถึงจิตใจของเขาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขากำลังจะปิด ม่านตาเริ่มพร่ามัวเห็นอะไรได้เพียงแค่รางๆ หัวสมองปวดหนึบเต้นอยู่ตุ้บๆ เขาเป็นอะไรกันแน่... เจ้าอาการของโรคประหลาดนั่นเล่นงานเขาอีกแล้ว และก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยหายไปนั้นเอง เหมือนสายตาที่สลัวรางของชายหนุ่มมองไปเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่าง ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มันมีลักษณะเป็นปลายเท้าของมนุษย์ที่แนบชิดกันในกิริยาการยืนที่เหยียดตรง เขาเห็นแค่เพียงเป็นเท้าและข้อเท้าบางส่วนยาวขึ้นไปเท่านั้น แต่มันเป็นเหมือนแค่กลุ่มพลังงานที่มีลักษณะลอยคลุ้งราวกับเป็นอากาศธาตุสีดำทะมึนเป็นรูปร่างอยู่ภายในห้อง สายตาที่พร่ามัวทำให้เขามองเห็นได้เท่านี้ แล้วก็ค่อยๆรู้สึกราวกับว่ากำลังตกจากที่สูงลงไปสู่ที่ต่ำ ข้างล่างนั้นคงเป็นก้นเหวลึก และแล้วทุกอย่างที่มีอาการอยู่นั้นก็พลันดับวูบมืดมิดลงไปในที่สุด
จักรพงษ์ไม่รู้สึกตัวอีกเลยจนตลอดเวลานั้น.... หรือ...จนกว่าเขาจะฟื้นคืนสติตื่นขึ้นมาอีกครั้งนั่นแหละจึงจะรู้ว่าเขาตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่.....
เวลาสายของช่วงวันภายในบ้านของนิดา ในวันนี้เธอแต่งกายด้วยชุดที่สวมใส่สบายเพื่อที่จะทำงานบ้านได้สะดวก เธอเปิดโทรทัศน์ฟังซีรี่ย์เรื่องโปรดแทนการรับชม เพราะต้องหันหลังใส่หน้าจอ หันหน้าเข้าครัวเพื่อล้างจานชามที่มีกองอยู่ในอ่างนับสิบๆใบ จานเซรามิกและพลาสติกใบแล้วใบเล่าที่ถูกนำขึ้นมาขัดถูจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ถูกชำระล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วนำไปวางบนตะแกรงชั้นวางจานชามอย่างเป็นระเบียบด้วยมือของหญิงสาว ซึ่งดูเหมือนจะคล่องงานเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีอยู่ได้ไม่น้อย และในขณะที่นิดากำลังดำเนินกิจวัตรภายในบ้านด้วยอาการที่เป็นปกติอยู่นั้นเอง
เธอก็กลับรู้สึกว่าภายในบ้านของเธอตอนนี้มิได้มีแต่เธออยู่เพียงผู้เดียว!!!
หญิงสาวคล้ายๆกับว่าเธอจะได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูอย่างช้าๆ แล้วเดินเข้ามาในบ้าน หากนั่นไม่ใช่เพราะเสียงที่เกิดจากโทรทัศน์ที่กำลังเปิดอยู่ในขณะนี้ หรือเธอก็อาจจะหูแว่วไปเองก็เป็นได้ ในวินาทีนั้นเธอตัดสินใจวางจานที่กำลังใช้ฟองน้ำขัดถูทำความสะอาดอยู่ลงในอ่าง แล้วหันขวับกลับไปมองทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องตัดสินใจยอมรับความจริง เพราะไม่มีอะไรหรือสิ่งใดอยู่ด้านหลังของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่....เพื่อความแน่ใจ หญิงสาวเดินไปเช็ดไม้เช็ดมือให้แห้งกับผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่ข้างฝาผนังของห้องครัว แล้วไปทำการกดปิดโทรทัศน์ลง และเมื่อหันไปมองยังประตูของบ้านด้านขวามือ หัวใจของเธอก็เต้นระทึกแทบไม่เป็นจังหวะ คุณพระช่วย..!!! ประตูถูกเปิดเข้ามาจริงๆด้วย
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเธอได้ปิดมันไว้เองกับมือ โดยไม่ได้ล็อคลูกบิดประตู แล้ว...แล้วใครเป็นคนเปิดมันเข้ามา?
หรือเพราะเธอรีบและสะเพร่าเองถึงลืมดูว่าปิดสนิทหรือยัง.... เป็นไปไม่ได้.... นี่บ้านของเธอเองเธอรู้ดีว่าเธอทำอะไรอย่างไรกับของหรือสิ่งต่างๆภายในบ้าน ลูกบิดประตูไม่มีทางมีปัญหาอย่างเด็ดขาด และเธอเองก็ไม่ได้สะเพร่าปิดไม่สนิทด้วย แค่เพียงไม่ได้ล็อคมันไว้ก็เท่านั้น....
หัวใจของนิดาเต้นระทึกตึกตัก เสียวสันหลังแปลกๆเมื่อรู้สึกว่ามี “ใครคนหนึ่ง” กำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธอโดยนิ่งเงียบไม่มีปฏิกิริยาอาการใดๆที่แสดงให้รู้ว่า แขกไม่ได้รับเชิญนั้นจะประสงค์ดีเลยสักนิด เธอใจหายวาบ... พลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆอยู่ในลำคอดังมาจากทางด้านนั้น และทันทีที่เธอหันหลังกลับไปพบเข้า หญิงสาวก็ต้องแหกปากร้องลั่นออกมาก้องไปทั่วทั้งบ้าน เพราะเบื้องหน้าของเธอบัดนี้ มีร่างอันสูงใหญ่กว่าเธอยืนจังก้าอยู่ ลักษณะเป็นชาย
เครื่องแต่งกายนั้นมิดชิด สวมหมวกแก๊ปสีดำไว้บนศีรษะ สวมแว่นตาดำและมีหน้ากากอนามัยซึ่งโทนสีไม่ต่างกันอำพรางใบหน้า เจ้าของร่างในชุดยีนและกางเกงวอร์ม รองเท้าหนังสีทะมึนนั่น ยืนนิ่งราวกับหุ่นปั้น มันดูน่ากลัวและลึกลับเสียเหลือเกิน ชั่วอึดใจมันก็ชักมีดปลายแหลมเล่มขนาดแล่เนื้อหมูได้ ออกมาจากฝักที่เหน็บไว้กับเข็มขัดด้านข้างเอว
คมมีดวาววับน่าขนลุก นิดาร้องขึ้นมาอีกครั้งอย่างสุดเสียง เธอแทบจะสิ้นสติลงในบัดนั้น ผงะถอยกรูดสะดุดกับโต๊ะวางแจกันตัวเล็กกลางห้องจนล้มลงหลายผลึ่ง ข้าวของตกแตกกระจายระเนระนาด ทันกันนั้น ชายในชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเปรียบดั่งมัจจุราชที่มาเพื่อคร่าชีวิต ก็เดินเข้ามาหาเธอที่ล้มนอนหงายอยู่อย่างใจ(และเลือด)เย็น มันครางแฮ่... ในลำคอราวกับปีศาจ พร้อมกับใช้เท้าเหยียบอกกดเธอไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่สุดจะขัดขืนได้ ดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว... เธอกำลังจะถูกฆ่า!!!
ในขณะที่ร่างสูงใหญ่นั้นเงื้อมีดขึ้น ปลายอันแหลมคมชี้ลงมายังเบื้องล่าง นิดากรีดร้องเสียงหลงเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต และแล้วด้วยความกลัวระคนตกใจนั่นเอง สติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลงไปโดยไม่ทันรู้เลยด้วยซ้ำว่า ไอ้เจ้าฆาตกรโรคจิตในชุดปกคลุมกายสีดำทั้งชุดนั้น มันจะทำอย่างไรกับร่างกายอันบอบบางของผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอบ้าง......