กระทู้นี้ เจ้าของกระทู้เอามาจากแฟนเพจของตัวเอง (
https://www.facebook.com/MemoirsOfMrNomad) ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับช่วงชีวิตที่เป็นนิสิตแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยนาโกย่า ระหว่างปี 2009-2010 ครับ
(1) สายลมหอมที่โครังเก
--------------------------
“ฮกชี ฮันกุกซารัม อิมนิก๊ะ / คงจะเป็นคนเกาหลีใช่ไหมครับ” ฉันถามคู่สนทนาเป็นภาษาเกาหลีทันควัน หลังจากที่ฝ่ายนั้นแนะนำตัวว่า ชื่อ คิม จู-ฮเย พี่สาวคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยส่งมารับฉันที่ท่าอากาศยานนานานชาติชูบุในเช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2009 เพื่อต่อรถไฟเข้าเมืองไปยังมหาวิทยาลัยนาโกย่า
“เน ฮันกุกซารัม อิมนิดะ” เป็นอันว่า พี่สาวคนนี้เป็นคนเกาหลีตามคาด
นั่นเป็นการเดินทางมาต่างประเทศของฉัน และญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ฉันจะอยู่เกือบปีในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนจากจุฬาฯ
แน่นอน ฉันตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแวดล้อมใหม่รอบตัว
นั่งรถไฟไปพลาง ฉันสนทนาภาษาเกาหลีกับพี่จูฮเยไม่หยุด ระหว่างที่ความรู้ภาษาญี่ปุ่นแทบเป็นศูนย์ และนั่นคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ฉันสนิทกับพี่จู-ฮเยอย่างรวดเร็ว
“เป็นการเริ่มต้นวันแรกที่ไม่เลวทีเดียว” ฉันคิดในใจ
แต่ความอุ่นใจก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะพี่จู-ฮเยเป็นนักเรียน ป.โท ไม่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะมานั่งเรียนเป็นเพื่อนกัน ยิ่งตอนนั้นฉันพูดญี่ปุ่นแทบไม่ได้เลย การใช้ชีวิตประจำวันในระยะเริ่มต้นจึงค่อนข้างลำบาก
แต่ภาษาเกาหลีนี่เองที่ทำให้ฉันรุดหน้ากับภาษาญี่ปุ่นได้ค่อนข้างรวดเร็ว (จึงถึงบางอ้อว่า ทำไมคนเกาหลีถึงเก่งญี่ปุ่นจัง) แต่ก็เป็นเพราะภาษาเกาหลีอีกเช่นกัน ที่ทำให้ฉันเอาคำศัพท์เกาหลีไปสอดแทรกกับภาษาญี่ปุ่นบ่อย ๆ นั่นก็เพราะทั้งสองภาษามีวากยสัมพันธ์ (syntax) และคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกันอยู่
มีพี่จู-ฮเยนี่แหละ ที่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นปนเกาหลีของฉัน
แม้จะไม่ได้นั่งเรียนด้วยกัน แต่เรานัดทานข้าวด้วยกันบ่อย ๆ และพี่จู-ฮเยก็ช่วยแนะนำอะไรต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่ แถมพี่สาวคนนี้ยังเป็นติวเตอร์ภาษาญี่ปุ่นให้ฉัน ตามโครงการที่มหาวิทยาลัยจัดให้โดยที่ฉันไม่ต้องเสียสตางค์แต่อย่างใด โดยมหาวิทยาลัยจะจ่ายเงินให้ติวเตอร์เอง
“อยากไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่โครังเก”
ฉันเอ่ยขึ้นมาในวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง
โครังเก หรือ 香嵐渓 เป็นสถานที่ที่ฉันเห็นจากโปสเตอร์โปรโมทการท่องเที่ยวหรือจากอัลบั้มเฟสบุ๊คของใครสักคนหนึ่ง จำได้ไม่แน่ชัด รู้แต่ว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นภาพแสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านใบเมเปิ้ลแดงฉาน เป็นหลังคาคุ้มสะพานสีแดงที่ทอดผ่านลำน้ำที่มีหุบเขาขบาบ นั่นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่ฉันอยากจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่
หลังจากนัดวันกันเสร็จสรรพ พี่จู-ฮเยเป็นคนวางแผนการเดินทางให้ นั่งรถเมล์จากนาโกย่ากี่ต่อ กี่ชั่วโมง จำไม่ได้
แม้คนจะค่อนข้างเยอะ แต่อากาศเย็นสบาย และวิวที่สวยงามตามที่คาด นั่นก็ทำให้การมาเที่ยวครั้งนี้รู้สึกคุ้มค่า
ใบไม้โทนสีแดง/เหลือง เป็นเสมือนม่านโปร่งแสง ให้แสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูใบไม้ร่วงส่องผ่าน เกิดเป็นภาพที่ตระการตา อบอุ่น แม้อากาศจะค่อนข้างหนาว ลำธารใสไหลเอื่อยเบื้องล่าง เปรียบดังดนตรีที่ทำให้ภาพนี้มีชีวิต สายลมโชยผ่านพัดใบไม้ให้ร่วงโรย พลันหวนกลิ่นของผืนป่าจากภูผาที่ขนาบข้าง
ฉันถึงพอเข้าใจที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้
“โกรกธารสุคนธวายุ” (พายุหอม) คือ ชื่อที่ฉันแปลตามตัวอักษรที่ประกอบเป็นชื่อของโครังเก
ที่ญี่ปุ่น การไป “ชม” อะไรสักอย่าง ดูเป็นเทศกาลไปเสียหมด มีการโปรโมท มีการออกร้านรวง แถมมีการพยากรณ์ด้วย และแน่นอนมีผู้คน
นี่คือสิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากยุโรปที่ฉันอยู่ขณะนี้
ที่นี่ การชมใบไม้เปลี่ยนสีเหมือนการชมธรรมชาติทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีโปสเตอร์ ไม่มีร้านขายอาหารกินเล่นอุ่น ๆ ข้างทาง และแน่นอน ไม่มีผู้คนที่หลั่งไหลมาเพื่อมา “ชม” อย่างเป็นเทศกาลแบบนั้น
แต่นั่นก็ทำให้แต่ละที่มีเสน่ห์ต่างกันไป
แม้ในวันนั้นที่โครังเกจะค่อนข้างเนืองแน่น แต่ก็ทำให้ฤดูใบไม้ร่วงที่นั่นดูอบอุ่น คึกคักไปอีกแบบ แต่สำหรับที่ยุโรป อาจเหมาะกับคนที่ต้องการความสันโดษ ความสงบ และเวลาในการคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ
เมื่อดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า เงาภูเขาทอดดำทะมึนเหนือผืนป่าหลากสี เราเดินทางกลับไปที่ป้ายรถเมล์
ฉันรู้สึกขอบคุณพี่จู-ฮเย ที่ทำให้ประสบการณ์เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความหมายและมิตรภาพดี ๆ เช่นนี้
ญี่ปุ่นรำลึก (日本での思い出) 2009-2010
(1) สายลมหอมที่โครังเก
--------------------------
“ฮกชี ฮันกุกซารัม อิมนิก๊ะ / คงจะเป็นคนเกาหลีใช่ไหมครับ” ฉันถามคู่สนทนาเป็นภาษาเกาหลีทันควัน หลังจากที่ฝ่ายนั้นแนะนำตัวว่า ชื่อ คิม จู-ฮเย พี่สาวคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยส่งมารับฉันที่ท่าอากาศยานนานานชาติชูบุในเช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2009 เพื่อต่อรถไฟเข้าเมืองไปยังมหาวิทยาลัยนาโกย่า
“เน ฮันกุกซารัม อิมนิดะ” เป็นอันว่า พี่สาวคนนี้เป็นคนเกาหลีตามคาด
นั่นเป็นการเดินทางมาต่างประเทศของฉัน และญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ฉันจะอยู่เกือบปีในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนจากจุฬาฯ
แน่นอน ฉันตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแวดล้อมใหม่รอบตัว
นั่งรถไฟไปพลาง ฉันสนทนาภาษาเกาหลีกับพี่จูฮเยไม่หยุด ระหว่างที่ความรู้ภาษาญี่ปุ่นแทบเป็นศูนย์ และนั่นคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ฉันสนิทกับพี่จู-ฮเยอย่างรวดเร็ว
“เป็นการเริ่มต้นวันแรกที่ไม่เลวทีเดียว” ฉันคิดในใจ
แต่ความอุ่นใจก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะพี่จู-ฮเยเป็นนักเรียน ป.โท ไม่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะมานั่งเรียนเป็นเพื่อนกัน ยิ่งตอนนั้นฉันพูดญี่ปุ่นแทบไม่ได้เลย การใช้ชีวิตประจำวันในระยะเริ่มต้นจึงค่อนข้างลำบาก
แต่ภาษาเกาหลีนี่เองที่ทำให้ฉันรุดหน้ากับภาษาญี่ปุ่นได้ค่อนข้างรวดเร็ว (จึงถึงบางอ้อว่า ทำไมคนเกาหลีถึงเก่งญี่ปุ่นจัง) แต่ก็เป็นเพราะภาษาเกาหลีอีกเช่นกัน ที่ทำให้ฉันเอาคำศัพท์เกาหลีไปสอดแทรกกับภาษาญี่ปุ่นบ่อย ๆ นั่นก็เพราะทั้งสองภาษามีวากยสัมพันธ์ (syntax) และคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกันอยู่
มีพี่จู-ฮเยนี่แหละ ที่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นปนเกาหลีของฉัน
แม้จะไม่ได้นั่งเรียนด้วยกัน แต่เรานัดทานข้าวด้วยกันบ่อย ๆ และพี่จู-ฮเยก็ช่วยแนะนำอะไรต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่ แถมพี่สาวคนนี้ยังเป็นติวเตอร์ภาษาญี่ปุ่นให้ฉัน ตามโครงการที่มหาวิทยาลัยจัดให้โดยที่ฉันไม่ต้องเสียสตางค์แต่อย่างใด โดยมหาวิทยาลัยจะจ่ายเงินให้ติวเตอร์เอง
“อยากไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่โครังเก”
ฉันเอ่ยขึ้นมาในวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง
โครังเก หรือ 香嵐渓 เป็นสถานที่ที่ฉันเห็นจากโปสเตอร์โปรโมทการท่องเที่ยวหรือจากอัลบั้มเฟสบุ๊คของใครสักคนหนึ่ง จำได้ไม่แน่ชัด รู้แต่ว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นภาพแสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านใบเมเปิ้ลแดงฉาน เป็นหลังคาคุ้มสะพานสีแดงที่ทอดผ่านลำน้ำที่มีหุบเขาขบาบ นั่นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่ฉันอยากจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่
หลังจากนัดวันกันเสร็จสรรพ พี่จู-ฮเยเป็นคนวางแผนการเดินทางให้ นั่งรถเมล์จากนาโกย่ากี่ต่อ กี่ชั่วโมง จำไม่ได้
แม้คนจะค่อนข้างเยอะ แต่อากาศเย็นสบาย และวิวที่สวยงามตามที่คาด นั่นก็ทำให้การมาเที่ยวครั้งนี้รู้สึกคุ้มค่า
ใบไม้โทนสีแดง/เหลือง เป็นเสมือนม่านโปร่งแสง ให้แสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูใบไม้ร่วงส่องผ่าน เกิดเป็นภาพที่ตระการตา อบอุ่น แม้อากาศจะค่อนข้างหนาว ลำธารใสไหลเอื่อยเบื้องล่าง เปรียบดังดนตรีที่ทำให้ภาพนี้มีชีวิต สายลมโชยผ่านพัดใบไม้ให้ร่วงโรย พลันหวนกลิ่นของผืนป่าจากภูผาที่ขนาบข้าง
ฉันถึงพอเข้าใจที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้
“โกรกธารสุคนธวายุ” (พายุหอม) คือ ชื่อที่ฉันแปลตามตัวอักษรที่ประกอบเป็นชื่อของโครังเก
ที่ญี่ปุ่น การไป “ชม” อะไรสักอย่าง ดูเป็นเทศกาลไปเสียหมด มีการโปรโมท มีการออกร้านรวง แถมมีการพยากรณ์ด้วย และแน่นอนมีผู้คน
นี่คือสิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากยุโรปที่ฉันอยู่ขณะนี้
ที่นี่ การชมใบไม้เปลี่ยนสีเหมือนการชมธรรมชาติทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีโปสเตอร์ ไม่มีร้านขายอาหารกินเล่นอุ่น ๆ ข้างทาง และแน่นอน ไม่มีผู้คนที่หลั่งไหลมาเพื่อมา “ชม” อย่างเป็นเทศกาลแบบนั้น
แต่นั่นก็ทำให้แต่ละที่มีเสน่ห์ต่างกันไป
แม้ในวันนั้นที่โครังเกจะค่อนข้างเนืองแน่น แต่ก็ทำให้ฤดูใบไม้ร่วงที่นั่นดูอบอุ่น คึกคักไปอีกแบบ แต่สำหรับที่ยุโรป อาจเหมาะกับคนที่ต้องการความสันโดษ ความสงบ และเวลาในการคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ
เมื่อดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า เงาภูเขาทอดดำทะมึนเหนือผืนป่าหลากสี เราเดินทางกลับไปที่ป้ายรถเมล์
ฉันรู้สึกขอบคุณพี่จู-ฮเย ที่ทำให้ประสบการณ์เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความหมายและมิตรภาพดี ๆ เช่นนี้