
กรีนบุ๊ค นอกจากจะเป็นชื่อของหนังเรื่องนี้แล้ว ยังเป็นชื่อของคู่มือการเดินทางสำหรับคนผิวสีที่บอกถึงที่พัก ร้านอาหาร ที่สามารถใช้ได้ สะท้อนถึงการเหยียดผิวในสังคมอเมริกาเมื่อหกสิบปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี ซึ่งคู่มือเล่มเล็กๆ เล่มนี้นอกจากจะมีหน้าปกสีเขียว คนแต่งก็ยังมีชื่อว่าเขียว ( V. H. Green ) อีกต่างหาก ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของหนึ่งในพี่น้องผู้กำกับตระกูลฟาเรลลี่จากหนังเรื่อง There's Something About Mary คนพี่ปีเตอร์ ฟาเรลลี่ นำแสดงโดยนักแสดงเจ้าบทบาท วิกโก้ มอร์เทนซ่น ( ที่รับบทอารากอนจากหนังไตรภาค The Lord of the Rings ) ร่วมด้วยนักแสดงผิวสีเจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด( ครั้งที่ 89 ) สาขานักแสดงสมทบชาย มาเฮอร์ชาลา อาลี

หนังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ โทนี่ ลิป( มอร์เทนเซ่น ) หนุ่มเชื้อสายอิตาเลียน การ์ดประจำโคปาคาบาน่า ไนต์คลับชื่อดังแห่งมหานครนิวยอร์ก ที่รับงานเป็นผู้ดูแลให้กับ ดร.ดอน เชอร์ลี่ย์ ( อาลี ) นักเปียโนผิวสีชื่อดัง ในระหว่างที่คลับต้องปิดปรับปรุง โดยโทนี่จะต้องขับรถและดูแลการทัวร์คอนเสิร์ตของ ดร.ดอน ที่รัฐทางตอนใต้ของอเมริกาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเหยียดผิวอย่างรุนแรง ให้ออกมาราบรื่นถึงจะได้รับเงินครบตามสัญญา ทั้งสองคนที่มีความแตกต่างกันทั้งสีผิวและฐานะจึงต้องใช้ชีวิตร่วมกันตลอดระยะเวลาสองเดือนของการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้

สำหรับการดำเนินเรื่องของหนังทำออกมาได้เป็นอย่างดี ดูเพลิน ไม่น่าเบื่อ แถมบางฉากยังสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้อีก ดนตรีประกอบก็เข้ากับหนังได้เป็นอย่างดี มีการตัดไปมาระหว่างเพลงฮิตยุคซิกตี้ในฉากที่เปิดฟังระหว่างเดินทาง กับดนตรีคลาสสิกที่ ดร.ดอน แสดงคอนเสิร์ต ทำออกมาได้รื่นหูไม่มีติดขัด ฟังเพลินๆ แอบมีโยกหัวตามเพลงบ้างเป็นบางครั้ง สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ คือบทที่ทำออกมา มันช่างมีความย้อนแย้งเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นบริบทที่ในยุคนั้นที่คนขับรถมักเป็นคนผิวสี และเจ้านายเป็นคนผิวขาว ในขณะที่เรื่องนี้คนขับรถเป็นคนผิวขาว และเจ้านายเป็นคนผิวสี ไม่ใช่เฉพาะประเด็นเรื่องสถานะเท่านั้น ในเรื่องลักษณะนิสัยใจคอก็ด้วย ในขณะที่โทนี่มีลักษณะนิสัยค่อนข้างหยาบคายแลดูเป็นนักเลง แต่ ดร.ดอน กลับมีลักษณะนิสัยสุขุม สุภาพแลดูเป็นผู้ดี เหมือนผู้กำกับจงใจจะให้สลับสีผิวกันเสียอย่างนั้น รวมถึงการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับเรื่องเหยียดผิว โดยใช้การแสดงสีหน้าและท่าทางของตัวละครในหลายๆ เหตุการณ์ สื่อสารออกมาให้คนดูรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าการนำเสนอออกมาตรงๆ ทำราวกับว่ามันไม่ใช่ประเด็นหลักของหนัง ผมชื่นชมผู้กำกับเป็นอย่างมากในเรื่องนี้

นอกจากที่เราจะได้เพลิดเพลินไปกับการดูหนังฟังเพลงประกอบแล้ว เรายังได้รับรู้ถึงสภาพสังคมความเป็นอยู่ในสมัยนั้นที่ตัวหนังสื่อให้เราเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาพของความเป็นอยู่ของคนผิวสีในรัฐทางตอนใต้ที่เหมือนกับพลเมืองชั้นสองถูกแบ่งแยกโดยชัดเจน หรือความเป็นอยู่ของครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนที่มักจะอยู่รวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีความอบอุ่นรักใคร่กัน หรือการที่ต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับมาเฟียอิตาเลี่ยนที่มักจะคอยเสนองานให้ทำตลอดเวลา แถมหนังยังถ่ายทอดออกมาได้มีกลิ่นอายของยุคซิกตี้ เสมือนว่าถ่ายทำอยู่ในยุคนั้นจริงๆ นอกจากนี้หนังยังแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของเรื่องมุมมองความเป็นจริงของคนเราที่มักจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเสมอ เช่น ถ้าเค้าเป็นคนผิวสี เค้าจะต้องชอบกินอันนั้น ฟังเพลงอย่างนั้นสิ เป็นต้น

พูดถึงเรื่องการแสดง ขอเน้นเฉพาะสองคนเท่านั้นนะครับ คนแรกก็คือ วิกโก้ มอร์เทนเซ่น ในบทของโทนี่ ลิป ที่แกต้องเพิ่มน้ำหนักอีกราวๆ 40-50 ปอนด์เพื่อมารับบทนี้ ยอมรับเลยว่าวิกโก้แสดงได้สุดจัดปลัดบอก ประมาณว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าเค้ากำลังแสดงเป็นคนอื่น แต่เหมือนกับว่าเค้าเป็นคนคนนั้นจริงๆ คนที่เราสามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก นี่คือสุดยอดการแสดงจริงๆ ครับ พลิกบทบาทที่เรามักเห็นแกแสดงเลย จากที่เรามักจะเห็นแกแสดงในบทจริงจัง แต่เรื่องนี้แกมาแสดงบทของคนที่มีลักษณะที่เป็นนักเลง ทะเล้น และมีอารมณ์ขันร้ายๆ แถมยังมักจะใช้อารมณ์มาก่อนเหตุผล อีกเรื่องที่ผมชอบแกมากๆ คือการที่แกใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนที่แบบว่า... ขออนุญาตนิดนึงนะครับ มันโคตรเนียนเลย! หากใครเคยดูหนังแก๊งสเตอร์ที่โรเบิร์ต เดอ นีโร หรือ อัล ปาชิโน่ เล่น หรือดูซีรี่ที่เกี่ยวกับแก๊งสเตอร์มาก่อนจะรู้เลยว่าสำเนียงของคนอเมริกัน – อิตาเลียนมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ( ลองเสิร์ชในYouTube คำว่า Italian Stereotype นะครับสำเนียงนี้เลย ) แถมยังสีหน้าแววตาที่วิกโก้ถ่ายทอดออกมาก็ทำออกมาได้ดีมากๆ เรียกว่าท็อปฟอร์มก็ว่าได้ ส่วนอีกคนที่ต้องพูดถึงก็คือ มาเฮอร์ชาลา อาลี ที่แสดงเป็นนักเปียโนผิวสีชื่อดัง ผมเคยดูการแสดงของเขาจากซีรี่ย์ดัง House of Cards ซึ่งเรื่องนั้นเค้าแสดงเป็นนักล็อบบี้ยิสต์ที่มีความฉลาดแกมโกง ในขณะที่เรื่องนี้พลิกบทบาทเลยก็ว่าได้ เขาแสดงเป็นนักดนตรีที่มีลักษณะท่าทางเป็นผู้ดีที่มีความดูดีไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงภายนอกเท่านั้น หากแต่ศีลธรรมของเค้าก็มีสูงด้วย มารยาทท่าทางก็เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งการที่เขาต้องการแสดงทัวร์ในทางตอนใต้ของอเมริกานั้นเป็นการที่เขาแสดงความกล้าหาญออกมา กล้าที่จะก้าวผ่านอุปสรรคเรื่องสีผิวเพื่อให้คนทั้งชาติยอมรับทั้งที่ในยุคนั้นการเหยียดผิวในพื้นที่นั้นมีความรุนแรง หากแต่การที่เขาเป็นเช่นนั้นก็ทำให้เขาแตกต่างกับคนผิวสีอื่นๆ ในสังคมขณะนั้น ทำให้เขามีความรู้สึกโดดเดี่ยว อาลีสามารถถ่ายทอดความเหงาและความเศร้าสร้อยออกมาให้เรารับรู้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการสื่ออารมณ์ทางสีหน้าแววตาแห่งความเจ็บปวดจากการที่เขาถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจก็แสดงออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ สมแล้วกับการได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายลูกโลกทองคำในครั้งนี้ และเมื่อทั้งคู่มาร่วมแสดงด้วยกันผมมองว่าเคมีของทั้งสองตรงกัน สามารถรับส่งกันได้เป็นอย่างดี โดยวิกโก้ในบทของโทนี่ที่แสดงเป็นคนขาวที่มีความเป็นคนผิวสีมากกว่าอาลีในบทของดอนเสียอีก ในขณะที่ดอนก็เป็นคนผิวสีที่มีความเป็นคนขาวเสียยิ่งกว่าโทนี่ที่เป็นคนขาวเช่นเดียวกัน มันช่างย้อนแย้งเสียจริงๆ

สรุปครับหนังเรื่องนี้ดีมากๆ ให้อะไรเรามากกว่าแค่การบันเทิง ให้คะแนน 9.5 เต็ม 10 ครับ หักนิดเดียว ตรงที่การดำเนินเรื่องและบทสนทนาค่อนข้างเร็วนิดนึง ถ้าสมาธิหลุดอาจตามไม่ทัน รวมไปถึงมุกของฝรั่งที่บางทีคนเอเชียอย่างเราก็อาจไม่เก็ทได้ แต่ส่วนที่ว่านี้ก็เป็นส่วนน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับการที่หนังได้ให้อะไรกับเรา หนังได้ให้ข้อคิดกับเราว่าคนเราไม่ควรมองคนแต่เฉพาะภายนอกเท่านั้น ต้องมองให้เห็นเนื้อแท้ของคนเราให้เห็นอย่างแท้จริง รวมไปถึงสะท้อนความเป็นจริงอย่างหนึ่งของคำพูดที่ว่า “ เกียรติยศไม่ได้มาจากชาติกำเนิด แต่มาจากการกระทำ ” ว่าใช้ไม่ได้เสมอไป หากมีการกระทำที่ดีแล้วแค่นั้นอาจไม่เพียงพอ คุณต้องมีชาติกำเนิดที่ดีด้วยถึงจะได้รับการยอมรับในเกียรติ และคนเราไม่มีทางชนะได้ด้วยความรุนแรง แต่คนเราเอาชนะได้ด้วยการดำรงไว้ซึ่งการมีเกียรติ การมีเกียรตินั้นจะทำให้เราชนะได้เสมอ ห้ามพลาดครับสำหรับหนังเรื่องนี้ เวลาฉายเริ่มเหลือน้อยแล้วไม่อยากให้พลาดหนังดีๆ กันครับ อย่างไรก็ตามอย่ายึดถือความเห็นของผมเป็นหลักนะครับ การจะชอบหรือไม่ชอบเรื่องนั้นอยู่ที่ตัวผู้ดูเอง อย่าให้ความเห็นของใครมาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกดูหนังของคุณครับ เอารีวิวเหล่านั้นมาเป็นเพียงตัวประกอบพอ ขอให้สนุกกับการดูหนังครับ
[CR] [Review] Green Book (2018) กรีนบุ๊ค
กรีนบุ๊ค นอกจากจะเป็นชื่อของหนังเรื่องนี้แล้ว ยังเป็นชื่อของคู่มือการเดินทางสำหรับคนผิวสีที่บอกถึงที่พัก ร้านอาหาร ที่สามารถใช้ได้ สะท้อนถึงการเหยียดผิวในสังคมอเมริกาเมื่อหกสิบปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี ซึ่งคู่มือเล่มเล็กๆ เล่มนี้นอกจากจะมีหน้าปกสีเขียว คนแต่งก็ยังมีชื่อว่าเขียว ( V. H. Green ) อีกต่างหาก ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของหนึ่งในพี่น้องผู้กำกับตระกูลฟาเรลลี่จากหนังเรื่อง There's Something About Mary คนพี่ปีเตอร์ ฟาเรลลี่ นำแสดงโดยนักแสดงเจ้าบทบาท วิกโก้ มอร์เทนซ่น ( ที่รับบทอารากอนจากหนังไตรภาค The Lord of the Rings ) ร่วมด้วยนักแสดงผิวสีเจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด( ครั้งที่ 89 ) สาขานักแสดงสมทบชาย มาเฮอร์ชาลา อาลี
หนังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ โทนี่ ลิป( มอร์เทนเซ่น ) หนุ่มเชื้อสายอิตาเลียน การ์ดประจำโคปาคาบาน่า ไนต์คลับชื่อดังแห่งมหานครนิวยอร์ก ที่รับงานเป็นผู้ดูแลให้กับ ดร.ดอน เชอร์ลี่ย์ ( อาลี ) นักเปียโนผิวสีชื่อดัง ในระหว่างที่คลับต้องปิดปรับปรุง โดยโทนี่จะต้องขับรถและดูแลการทัวร์คอนเสิร์ตของ ดร.ดอน ที่รัฐทางตอนใต้ของอเมริกาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเหยียดผิวอย่างรุนแรง ให้ออกมาราบรื่นถึงจะได้รับเงินครบตามสัญญา ทั้งสองคนที่มีความแตกต่างกันทั้งสีผิวและฐานะจึงต้องใช้ชีวิตร่วมกันตลอดระยะเวลาสองเดือนของการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้
สำหรับการดำเนินเรื่องของหนังทำออกมาได้เป็นอย่างดี ดูเพลิน ไม่น่าเบื่อ แถมบางฉากยังสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้อีก ดนตรีประกอบก็เข้ากับหนังได้เป็นอย่างดี มีการตัดไปมาระหว่างเพลงฮิตยุคซิกตี้ในฉากที่เปิดฟังระหว่างเดินทาง กับดนตรีคลาสสิกที่ ดร.ดอน แสดงคอนเสิร์ต ทำออกมาได้รื่นหูไม่มีติดขัด ฟังเพลินๆ แอบมีโยกหัวตามเพลงบ้างเป็นบางครั้ง สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ คือบทที่ทำออกมา มันช่างมีความย้อนแย้งเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นบริบทที่ในยุคนั้นที่คนขับรถมักเป็นคนผิวสี และเจ้านายเป็นคนผิวขาว ในขณะที่เรื่องนี้คนขับรถเป็นคนผิวขาว และเจ้านายเป็นคนผิวสี ไม่ใช่เฉพาะประเด็นเรื่องสถานะเท่านั้น ในเรื่องลักษณะนิสัยใจคอก็ด้วย ในขณะที่โทนี่มีลักษณะนิสัยค่อนข้างหยาบคายแลดูเป็นนักเลง แต่ ดร.ดอน กลับมีลักษณะนิสัยสุขุม สุภาพแลดูเป็นผู้ดี เหมือนผู้กำกับจงใจจะให้สลับสีผิวกันเสียอย่างนั้น รวมถึงการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับเรื่องเหยียดผิว โดยใช้การแสดงสีหน้าและท่าทางของตัวละครในหลายๆ เหตุการณ์ สื่อสารออกมาให้คนดูรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าการนำเสนอออกมาตรงๆ ทำราวกับว่ามันไม่ใช่ประเด็นหลักของหนัง ผมชื่นชมผู้กำกับเป็นอย่างมากในเรื่องนี้
นอกจากที่เราจะได้เพลิดเพลินไปกับการดูหนังฟังเพลงประกอบแล้ว เรายังได้รับรู้ถึงสภาพสังคมความเป็นอยู่ในสมัยนั้นที่ตัวหนังสื่อให้เราเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาพของความเป็นอยู่ของคนผิวสีในรัฐทางตอนใต้ที่เหมือนกับพลเมืองชั้นสองถูกแบ่งแยกโดยชัดเจน หรือความเป็นอยู่ของครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนที่มักจะอยู่รวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีความอบอุ่นรักใคร่กัน หรือการที่ต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับมาเฟียอิตาเลี่ยนที่มักจะคอยเสนองานให้ทำตลอดเวลา แถมหนังยังถ่ายทอดออกมาได้มีกลิ่นอายของยุคซิกตี้ เสมือนว่าถ่ายทำอยู่ในยุคนั้นจริงๆ นอกจากนี้หนังยังแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของเรื่องมุมมองความเป็นจริงของคนเราที่มักจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเสมอ เช่น ถ้าเค้าเป็นคนผิวสี เค้าจะต้องชอบกินอันนั้น ฟังเพลงอย่างนั้นสิ เป็นต้น
พูดถึงเรื่องการแสดง ขอเน้นเฉพาะสองคนเท่านั้นนะครับ คนแรกก็คือ วิกโก้ มอร์เทนเซ่น ในบทของโทนี่ ลิป ที่แกต้องเพิ่มน้ำหนักอีกราวๆ 40-50 ปอนด์เพื่อมารับบทนี้ ยอมรับเลยว่าวิกโก้แสดงได้สุดจัดปลัดบอก ประมาณว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าเค้ากำลังแสดงเป็นคนอื่น แต่เหมือนกับว่าเค้าเป็นคนคนนั้นจริงๆ คนที่เราสามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก นี่คือสุดยอดการแสดงจริงๆ ครับ พลิกบทบาทที่เรามักเห็นแกแสดงเลย จากที่เรามักจะเห็นแกแสดงในบทจริงจัง แต่เรื่องนี้แกมาแสดงบทของคนที่มีลักษณะที่เป็นนักเลง ทะเล้น และมีอารมณ์ขันร้ายๆ แถมยังมักจะใช้อารมณ์มาก่อนเหตุผล อีกเรื่องที่ผมชอบแกมากๆ คือการที่แกใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนที่แบบว่า... ขออนุญาตนิดนึงนะครับ มันโคตรเนียนเลย! หากใครเคยดูหนังแก๊งสเตอร์ที่โรเบิร์ต เดอ นีโร หรือ อัล ปาชิโน่ เล่น หรือดูซีรี่ที่เกี่ยวกับแก๊งสเตอร์มาก่อนจะรู้เลยว่าสำเนียงของคนอเมริกัน – อิตาเลียนมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ( ลองเสิร์ชในYouTube คำว่า Italian Stereotype นะครับสำเนียงนี้เลย ) แถมยังสีหน้าแววตาที่วิกโก้ถ่ายทอดออกมาก็ทำออกมาได้ดีมากๆ เรียกว่าท็อปฟอร์มก็ว่าได้ ส่วนอีกคนที่ต้องพูดถึงก็คือ มาเฮอร์ชาลา อาลี ที่แสดงเป็นนักเปียโนผิวสีชื่อดัง ผมเคยดูการแสดงของเขาจากซีรี่ย์ดัง House of Cards ซึ่งเรื่องนั้นเค้าแสดงเป็นนักล็อบบี้ยิสต์ที่มีความฉลาดแกมโกง ในขณะที่เรื่องนี้พลิกบทบาทเลยก็ว่าได้ เขาแสดงเป็นนักดนตรีที่มีลักษณะท่าทางเป็นผู้ดีที่มีความดูดีไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงภายนอกเท่านั้น หากแต่ศีลธรรมของเค้าก็มีสูงด้วย มารยาทท่าทางก็เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งการที่เขาต้องการแสดงทัวร์ในทางตอนใต้ของอเมริกานั้นเป็นการที่เขาแสดงความกล้าหาญออกมา กล้าที่จะก้าวผ่านอุปสรรคเรื่องสีผิวเพื่อให้คนทั้งชาติยอมรับทั้งที่ในยุคนั้นการเหยียดผิวในพื้นที่นั้นมีความรุนแรง หากแต่การที่เขาเป็นเช่นนั้นก็ทำให้เขาแตกต่างกับคนผิวสีอื่นๆ ในสังคมขณะนั้น ทำให้เขามีความรู้สึกโดดเดี่ยว อาลีสามารถถ่ายทอดความเหงาและความเศร้าสร้อยออกมาให้เรารับรู้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการสื่ออารมณ์ทางสีหน้าแววตาแห่งความเจ็บปวดจากการที่เขาถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจก็แสดงออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ สมแล้วกับการได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายลูกโลกทองคำในครั้งนี้ และเมื่อทั้งคู่มาร่วมแสดงด้วยกันผมมองว่าเคมีของทั้งสองตรงกัน สามารถรับส่งกันได้เป็นอย่างดี โดยวิกโก้ในบทของโทนี่ที่แสดงเป็นคนขาวที่มีความเป็นคนผิวสีมากกว่าอาลีในบทของดอนเสียอีก ในขณะที่ดอนก็เป็นคนผิวสีที่มีความเป็นคนขาวเสียยิ่งกว่าโทนี่ที่เป็นคนขาวเช่นเดียวกัน มันช่างย้อนแย้งเสียจริงๆ
สรุปครับหนังเรื่องนี้ดีมากๆ ให้อะไรเรามากกว่าแค่การบันเทิง ให้คะแนน 9.5 เต็ม 10 ครับ หักนิดเดียว ตรงที่การดำเนินเรื่องและบทสนทนาค่อนข้างเร็วนิดนึง ถ้าสมาธิหลุดอาจตามไม่ทัน รวมไปถึงมุกของฝรั่งที่บางทีคนเอเชียอย่างเราก็อาจไม่เก็ทได้ แต่ส่วนที่ว่านี้ก็เป็นส่วนน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับการที่หนังได้ให้อะไรกับเรา หนังได้ให้ข้อคิดกับเราว่าคนเราไม่ควรมองคนแต่เฉพาะภายนอกเท่านั้น ต้องมองให้เห็นเนื้อแท้ของคนเราให้เห็นอย่างแท้จริง รวมไปถึงสะท้อนความเป็นจริงอย่างหนึ่งของคำพูดที่ว่า “ เกียรติยศไม่ได้มาจากชาติกำเนิด แต่มาจากการกระทำ ” ว่าใช้ไม่ได้เสมอไป หากมีการกระทำที่ดีแล้วแค่นั้นอาจไม่เพียงพอ คุณต้องมีชาติกำเนิดที่ดีด้วยถึงจะได้รับการยอมรับในเกียรติ และคนเราไม่มีทางชนะได้ด้วยความรุนแรง แต่คนเราเอาชนะได้ด้วยการดำรงไว้ซึ่งการมีเกียรติ การมีเกียรตินั้นจะทำให้เราชนะได้เสมอ ห้ามพลาดครับสำหรับหนังเรื่องนี้ เวลาฉายเริ่มเหลือน้อยแล้วไม่อยากให้พลาดหนังดีๆ กันครับ อย่างไรก็ตามอย่ายึดถือความเห็นของผมเป็นหลักนะครับ การจะชอบหรือไม่ชอบเรื่องนั้นอยู่ที่ตัวผู้ดูเอง อย่าให้ความเห็นของใครมาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกดูหนังของคุณครับ เอารีวิวเหล่านั้นมาเป็นเพียงตัวประกอบพอ ขอให้สนุกกับการดูหนังครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้