สาเหตุที่ทำให้ยามีราคาแพง...จิ๊กซอว์ตัวสำคัญคือบริษัทยา

ขออนุญาตแชร์เรื่องราวบางมุมในระบบยาของบ้านเรานะครับ...

       ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่มีกระแสร้องเรียนเกี่ยวกับราคายาที่ร.พ.เอกชนจ่ายให้กับผู้ป่วย ประเด็นคือ มีราคาที่แพงกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับร.พ.รัฐบาลและร้านขายยาทั่วไป

          ทางด้านสมาคมร.พ.เอกชนก็พยายามออกมาชี้แจงในมุมมองของตน เพื่อหวังให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เข้าใจถึงเหตุและผล
ซึ่งผู้รับฟังก็ต้องใช้วิจารณ์อย่างสูงในการเสพข้อมูลดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องปกติที่ภาคเอกชนต้องออกมาปกป้องธุรกิจของตนเอง
แต่มิวายที่มีการออกตัวว่าราคาค่ารักษาไม่มีทางถูกลงแน่นอน

          ร.พ.รัฐบาลก็ดูเหมือนว่าจะพลอยถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามไปด้วย เนื่องจากมีปัญหาที่เรื้อรังมานาน  ประเด็นเรื่องประสิทธิภาพ
ในการรักษาพยาบาล  การขาดงบประมาณ   ขวัญกำลังใจของบุคลากรทางการแพทย์  ภาระงานที่หนักหนาสาหัส ฯลฯ  ซึ่งภาครัฐ
เองก็ยังไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  คงทำได้แค่ทำอย่างไรให้มีการร้องเรียนน้อยที่สุดเท่านั้น...
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารยาและเวชภัณฑ์ของรพ.รัฐบาลกับร.พ.เอกชนพบว่าแทบจะไม่มีความ
แตกต่างกันแต่อย่างใด ...ฝ่ายสมาคมรพ.เอกชนจึงได้เพียงชี้แจงว่ารพ.รัฐได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จึงทำให้ราคายาไม่สูงมาก

          ส่วนทางด้านร้านขายยาแผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง ซึ่งระบบในปัจจุบันยังมีความหละหลวม ขาดความเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้
กฏหมายที่กำหนดไว้ว่าต้องมีเภสัชกรอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลาทำการ เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของสภาวิชาชีพในการ
ดำเนินการ  ยังไม่นับรวมถึงการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งของสมาคมร้านขายยา ( ที่สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ใช่เภสัชกร ) ซึ่งมีความ
พยายามผลักดัน ยื้อเวลาทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เจตนารมณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้โดยง่าย...ดูจะถูกหางเลขไปด้วยจากการที่สมาคม
รพ.เอกชนเคยยกขึ้นมาเปรียบเทียบระหว่างรพ.เอกชนกับร้านขายยา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด บางส่วนพบว่า
มีการบิดเบือนด้วยซ้ำ...โดยทั่วไปแล้วราคาขายปลีกยาตามร้านขายยานั้นจะมีระบุราคาขายปลีกอยู่ที่บรรจุภัณฑ์ของยา ซึ่งไม่
สามารถขายเกินราคาที่ระบุไว้ข้างกล่องได้ แต่สามารถขายถูกกว่านั้นได้ เป็นการแข่งขันกันตามกลไกตลาดปกติ...ดังนั้นร้านยา
จึงต้องบริหารต้นทุนต่างๆ ( ค่าจ้างบุคลากรในร้าน  ค่าโปรแกรมบริหารร้านขายยา  ค่าน้ำ - ไฟ  ค่าเช่าร้าน ฯลฯ  บางร้านลงทุน
กู้เงินซื้อตึกแถวซึ่งไม่ต่างจากรพ.เอกชนที่ลงทุนสร้างอาคารแต่อย่างใด ) ให้มีประสิทธิภาพภายใต้กำไรที่จำกัดนั้น

          ระบบการจัดซื้อยาที่แตกต่างกันของรพ.เอกชน  รพ.รัฐบาล  และร้านขายยา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทยา...
          1. รพ.รัฐบาล
               -  การประมูลจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ( ซื้อปริมาณมาก ราคาถูกลง )...บริษัทยาต้องมีการล็อบบี้ผู้มีอำนาจจัดซื้อ
                  คณะกรรมการประมูลของร.พ. เพื่อให้ช่วยวาง spec ให้เป็นไปตามที่บริษัทยาต้องการ
               -  จัดซื้อจากบริษัทยาโดยตรง ( บริษัทยาต้องจ่ายค่าสวัสดิการร.พ. / บ่อยครั้งที่ต้องจ่ายเงินทอนให้กับผู้มีอำนาจใน
                  การจัดซื้อ / ค่าเลี้ยงรับรอง / อื่นๆอีกจิปาถะเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ เป็นต้น )
               - การนำยาใหม่เข้าสู่บัญชียาของร.พ. ( บริษัทยาต้องมีการลงทุนกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจในการพิจารณา
                 นำยาใหม่เข้าสู่รพ. )

          2. ร.พ.เอกชน
               - การจัดซื้อโดยตรงจากบริษัทยา ...หลายๆแห่งบริษัทยาต้องจ่ายเงินทอนให้กับผู้มีอำนาจในการจัดซื้อยา /
                 ค่าเลี้ยงรับรอง /  อื่นๆอีกจิปาถะเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ เป็นต้น )
                - รพ.บางแห่งมีการประมูลจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เช่นเดียวกับรพ.รัฐบาล...บริษัทยาก็ใช้กลยุทธเดียวกับที่ใช้ในรพ.รัฐ

             3. ร้านขายยา
                 - ร้านขายยาที่เป็น Stand Alone ทั่วไป...หากเป็นร้านที่คนสั่งซื้อไม่ใช่เจ้าของร้าน เซลล์ก็อาจเอาใจโดยวิธีการต่างๆกันไป
                 - ร้านขายยาระบบเครือข่าย ( Chain Drugstore / Health & Beauty Store )...บางแห่งบริษัทยาต้องจ่ายเงินทอน
                   ให้ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ / การเลี้ยงรับรอง ฯลฯ )
                 -  ร้านขายยาส่ง ( ยี่ปั๊ว )....ร้านประเภทนี้จะซื้อปริมาณมาก ได้ราคาต้นทุนจะถูกที่สุด แต่อาจไม่ได้ขายถูกนักก็ได้...
                    ต้นทุนจะถูกจากการแถม  การให้ส่วนลดพิเศษ  การทำ contract  ยอดที่ต้องซื้อจากบริษัทยา ( ถ้าซื้อได้ตามเป้า
                    จะได้ refund เท่าไรก็แล้วแต่ตกลง หรือพาไปเที่ยวต่างประเทศเป็นต้น )

            ต้นทุนยาจากบริษัทยาที่แอบแฝงในระบบ...นอกจากต้นทุนยาที่เกิดจากการผลิตแล้วยังมีต้นทุนที่บริษัทยาบวกเพิ่มเข้าไป
            ในราคายาที่ขายให้แก่รพ.รัฐ  รพ.เอกชน  และร้านขายยาทั่วประเทศอีกด้วย...

               1. เงินทอนที่บริษัทยาต้องจ่ายในขั้นตอนการจัดซื้อของรพ.รัฐและเอกชน และอื่นๆ ( อ่านในขั้นตอนของระบบจัดซื้อด้านบน...)
                   - ทั้งบริษัทยาอินเตอร์ ( ยา original ) และบริษัทยาในประเทศ ( local made ) ต้องจ่ายตั้งแต่ 5 % - หลายสิบ
                     เปอร์เซนต์  ขึ้นกับความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างบริษัทยาด้วยกันเอง ซึ่งบริษัทยาอินเตอร์มักจะเป็นผู้พ่ายแพ้
                     ในเกมส์ดังกล่าวอยู่บ่อยๆ

                2. เงินทอนที่บริษัทยาจ่ายให้กับแพทย์บางคนที่มีอิทธิพลในการช่วยเพิ่มยอดการใช้ยาในรพ. ซึ่งทำให้บริษัทมียอดขาย
                    ยาสูงขึ้นนั่นเอง เช่น ให้แพทย์ช่วยเอายาใหม่เข้าสู่บัญชียาของรพ.   ให้แพทย์ช่วยยิงยา ( ใช้ยาของบริษัท ) เป็นต้น....
                   โดยอาจให้ในรูปแบบต่างๆ เช่น  เป็น % ของยอดสั่งซื้อจากรพ.   จ่ายเป็นต่อcase  ให้ค่าเดินทาง - ที่พัก - pocket
                    money ในการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น  ( หรืออาจให้หลายๆรุปแบบผสมกันไป )

                3. ค่าการตลาดต่างๆ ...เช่น ค่าเลี้ยงรับรอง   ค่า Brochure เอกสารยา     ค่าของที่ระลึก ( Gimmick ) ที่แจกแพทย์
                     และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องต่างๆ   ค่าจัดประชุมสัมมนาวิชาการต่างๆ ฯลฯ
                
                การเห็นแก่ยอดขายของบริษัทยาทั้งหลาย และการแข่งขันเสรีในธุรกิจยาบ้านเรานั้นมีความรุนแรง  ขาดจรรยาบรรณ
                มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนในวงการไปแล้วกับ stakeholder ทั้งหลาย
                ทั้งผู้ขาย -  ผู้ซื้อและผู้สั่งใช้ยาที่ต่อมจรรยาบรรณบกพร่อง ... เข้าทำนองผู้ขายยินดีจ่าย  ผู้ซื้อและผู้สั่งใช้ยาก็ยินดีรับ.....
                ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายต่างๆที่บริษัทยาต้องลงทุนไปในการแลกมาซึ่งยอดขายสูงๆนั้น ก็ไม่พ้นที่จะถูกผลักภาระมาให้
               ประชาชนในประเทศเป็นผู้แบกรับในที่สุด

              การแก้ปัญหาราคายาในประเทศ ไม่ควรไปเพ่งเล็งแต่ราคายาในรพ.เอกชนเท่านั้น...ภาครัฐควรศึกษาเพื่อให้รู้จริง  รู้ลึก
              และรู้ทัน โดยเฉพาะวิธีการทำตลาดของบริษัทยาทั้งหลาย และออกมาตรการที่จำเป็นในการช่วยลดต้นทุนยาในระบบ
              สาธารณสุขของบ้านเรา อย่างเป็นรูปธรรมเสียที

              ป.ล.   - 1. ผู้รับเงินทอนและผู้รับประโยชน์จากบริษัทยาใดๆที่กล่าวถึงในกระทู้นี้ มุ่งไปยังเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
                              บางคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญจนละเลยหน้าที่และจรรยาบรรณตามวิชาชีพเท่านั้น ไม่ได้หมายถึง
                              ทุกคนที่ตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถแต่อย่างใด
           
                           2. ขอตั้งข้อสังเกตุว่าแพทย์ผู้บริหารที่มีอำนาจในกระทรวงฯ น่าจะทราบดีถึงพฤติกรรมของบริษัทยาดีอยู่แล้ว
                               ทำไมถึงแสดงท่าทีเพิกเฉย ละเลยที่จะแก้ไขปัญหานี้เสียที

                           3. ขอให้ทุกท่านใช้หลักกาลามสูตรในการพิจารณากระทู้นี้นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่