ขออนุญาตแชร์เรื่องราวบางมุมในระบบยาของบ้านเรานะครับ...
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่มีกระแสร้องเรียนเกี่ยวกับราคายาที่ร.พ.เอกชนจ่ายให้กับผู้ป่วย ประเด็นคือ มีราคาที่แพงกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับร.พ.รัฐบาลและร้านขายยาทั่วไป
ทางด้านสมาคมร.พ.เอกชนก็พยายามออกมาชี้แจงในมุมมองของตน เพื่อหวังให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เข้าใจถึงเหตุและผล
ซึ่งผู้รับฟังก็ต้องใช้วิจารณ์อย่างสูงในการเสพข้อมูลดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องปกติที่ภาคเอกชนต้องออกมาปกป้องธุรกิจของตนเอง
แต่มิวายที่มีการออกตัวว่าราคาค่ารักษาไม่มีทางถูกลงแน่นอน
ร.พ.รัฐบาลก็ดูเหมือนว่าจะพลอยถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามไปด้วย เนื่องจากมีปัญหาที่เรื้อรังมานาน ประเด็นเรื่องประสิทธิภาพ
ในการรักษาพยาบาล การขาดงบประมาณ ขวัญกำลังใจของบุคลากรทางการแพทย์ ภาระงานที่หนักหนาสาหัส ฯลฯ ซึ่งภาครัฐ
เองก็ยังไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คงทำได้แค่ทำอย่างไรให้มีการร้องเรียนน้อยที่สุดเท่านั้น...
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารยาและเวชภัณฑ์ของรพ.รัฐบาลกับร.พ.เอกชนพบว่าแทบจะไม่มีความ
แตกต่างกันแต่อย่างใด ...ฝ่ายสมาคมรพ.เอกชนจึงได้เพียงชี้แจงว่ารพ.รัฐได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จึงทำให้ราคายาไม่สูงมาก
ส่วนทางด้านร้านขายยาแผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง ซึ่งระบบในปัจจุบันยังมีความหละหลวม ขาดความเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้
กฏหมายที่กำหนดไว้ว่าต้องมีเภสัชกรอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลาทำการ เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของสภาวิชาชีพในการ
ดำเนินการ ยังไม่นับรวมถึงการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งของสมาคมร้านขายยา ( ที่สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ใช่เภสัชกร ) ซึ่งมีความ
พยายามผลักดัน ยื้อเวลาทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เจตนารมณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้โดยง่าย...ดูจะถูกหางเลขไปด้วยจากการที่สมาคม
รพ.เอกชนเคยยกขึ้นมาเปรียบเทียบระหว่างรพ.เอกชนกับร้านขายยา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด บางส่วนพบว่า
มีการบิดเบือนด้วยซ้ำ...โดยทั่วไปแล้วราคาขายปลีกยาตามร้านขายยานั้นจะมีระบุราคาขายปลีกอยู่ที่บรรจุภัณฑ์ของยา ซึ่งไม่
สามารถขายเกินราคาที่ระบุไว้ข้างกล่องได้ แต่สามารถขายถูกกว่านั้นได้ เป็นการแข่งขันกันตามกลไกตลาดปกติ...ดังนั้นร้านยา
จึงต้องบริหารต้นทุนต่างๆ ( ค่าจ้างบุคลากรในร้าน ค่าโปรแกรมบริหารร้านขายยา ค่าน้ำ - ไฟ ค่าเช่าร้าน ฯลฯ บางร้านลงทุน
กู้เงินซื้อตึกแถวซึ่งไม่ต่างจากรพ.เอกชนที่ลงทุนสร้างอาคารแต่อย่างใด ) ให้มีประสิทธิภาพภายใต้กำไรที่จำกัดนั้น
ระบบการจัดซื้อยาที่แตกต่างกันของรพ.เอกชน รพ.รัฐบาล และร้านขายยา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทยา...
1. รพ.รัฐบาล
- การประมูลจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ( ซื้อปริมาณมาก ราคาถูกลง )...บริษัทยาต้องมีการล็อบบี้ผู้มีอำนาจจัดซื้อ
คณะกรรมการประมูลของร.พ. เพื่อให้ช่วยวาง spec ให้เป็นไปตามที่บริษัทยาต้องการ
- จัดซื้อจากบริษัทยาโดยตรง ( บริษัทยาต้องจ่ายค่าสวัสดิการร.พ. / บ่อยครั้งที่ต้องจ่ายเงินทอนให้กับผู้มีอำนาจใน
การจัดซื้อ / ค่าเลี้ยงรับรอง / อื่นๆอีกจิปาถะเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ เป็นต้น )
- การนำยาใหม่เข้าสู่บัญชียาของร.พ. ( บริษัทยาต้องมีการลงทุนกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจในการพิจารณา
นำยาใหม่เข้าสู่รพ. )
2. ร.พ.เอกชน
- การจัดซื้อโดยตรงจากบริษัทยา ...หลายๆแห่งบริษัทยาต้องจ่ายเงินทอนให้กับผู้มีอำนาจในการจัดซื้อยา /
ค่าเลี้ยงรับรอง / อื่นๆอีกจิปาถะเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ เป็นต้น )
- รพ.บางแห่งมีการประมูลจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เช่นเดียวกับรพ.รัฐบาล...บริษัทยาก็ใช้กลยุทธเดียวกับที่ใช้ในรพ.รัฐ
3. ร้านขายยา
- ร้านขายยาที่เป็น Stand Alone ทั่วไป...หากเป็นร้านที่คนสั่งซื้อไม่ใช่เจ้าของร้าน เซลล์ก็อาจเอาใจโดยวิธีการต่างๆกันไป
- ร้านขายยาระบบเครือข่าย ( Chain Drugstore / Health & Beauty Store )...บางแห่งบริษัทยาต้องจ่ายเงินทอน
ให้ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ / การเลี้ยงรับรอง ฯลฯ )
- ร้านขายยาส่ง ( ยี่ปั๊ว )....ร้านประเภทนี้จะซื้อปริมาณมาก ได้ราคาต้นทุนจะถูกที่สุด แต่อาจไม่ได้ขายถูกนักก็ได้...
ต้นทุนจะถูกจากการแถม การให้ส่วนลดพิเศษ การทำ contract ยอดที่ต้องซื้อจากบริษัทยา ( ถ้าซื้อได้ตามเป้า
จะได้ refund เท่าไรก็แล้วแต่ตกลง หรือพาไปเที่ยวต่างประเทศเป็นต้น )
ต้นทุนยาจากบริษัทยาที่แอบแฝงในระบบ...นอกจากต้นทุนยาที่เกิดจากการผลิตแล้วยังมีต้นทุนที่บริษัทยาบวกเพิ่มเข้าไป
ในราคายาที่ขายให้แก่รพ.รัฐ รพ.เอกชน และร้านขายยาทั่วประเทศอีกด้วย...
1. เงินทอนที่บริษัทยาต้องจ่ายในขั้นตอนการจัดซื้อของรพ.รัฐและเอกชน และอื่นๆ ( อ่านในขั้นตอนของระบบจัดซื้อด้านบน...)
- ทั้งบริษัทยาอินเตอร์ ( ยา original ) และบริษัทยาในประเทศ ( local made ) ต้องจ่ายตั้งแต่ 5 % - หลายสิบ
เปอร์เซนต์ ขึ้นกับความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างบริษัทยาด้วยกันเอง ซึ่งบริษัทยาอินเตอร์มักจะเป็นผู้พ่ายแพ้
ในเกมส์ดังกล่าวอยู่บ่อยๆ
2. เงินทอนที่บริษัทยาจ่ายให้กับแพทย์บางคนที่มีอิทธิพลในการช่วยเพิ่มยอดการใช้ยาในรพ. ซึ่งทำให้บริษัทมียอดขาย
ยาสูงขึ้นนั่นเอง เช่น ให้แพทย์ช่วยเอายาใหม่เข้าสู่บัญชียาของรพ. ให้แพทย์ช่วยยิงยา ( ใช้ยาของบริษัท ) เป็นต้น....
โดยอาจให้ในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็น % ของยอดสั่งซื้อจากรพ. จ่ายเป็นต่อcase ให้ค่าเดินทาง - ที่พัก - pocket
money ในการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น ( หรืออาจให้หลายๆรุปแบบผสมกันไป )
3. ค่าการตลาดต่างๆ ...เช่น ค่าเลี้ยงรับรอง ค่า Brochure เอกสารยา ค่าของที่ระลึก ( Gimmick ) ที่แจกแพทย์
และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ค่าจัดประชุมสัมมนาวิชาการต่างๆ ฯลฯ
การเห็นแก่ยอดขายของบริษัทยาทั้งหลาย และการแข่งขันเสรีในธุรกิจยาบ้านเรานั้นมีความรุนแรง ขาดจรรยาบรรณ
มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนในวงการไปแล้วกับ stakeholder ทั้งหลาย
ทั้งผู้ขาย - ผู้ซื้อและผู้สั่งใช้ยาที่ต่อมจรรยาบรรณบกพร่อง ... เข้าทำนองผู้ขายยินดีจ่าย ผู้ซื้อและผู้สั่งใช้ยาก็ยินดีรับ.....
ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายต่างๆที่บริษัทยาต้องลงทุนไปในการแลกมาซึ่งยอดขายสูงๆนั้น ก็ไม่พ้นที่จะถูกผลักภาระมาให้
ประชาชนในประเทศเป็นผู้แบกรับในที่สุด
การแก้ปัญหาราคายาในประเทศ ไม่ควรไปเพ่งเล็งแต่ราคายาในรพ.เอกชนเท่านั้น...ภาครัฐควรศึกษาเพื่อให้รู้จริง รู้ลึก
และรู้ทัน โดยเฉพาะวิธีการทำตลาดของบริษัทยาทั้งหลาย และออกมาตรการที่จำเป็นในการช่วยลดต้นทุนยาในระบบ
สาธารณสุขของบ้านเรา อย่างเป็นรูปธรรมเสียที
ป.ล. - 1. ผู้รับเงินทอนและผู้รับประโยชน์จากบริษัทยาใดๆที่กล่าวถึงในกระทู้นี้ มุ่งไปยังเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
บางคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญจนละเลยหน้าที่และจรรยาบรรณตามวิชาชีพเท่านั้น ไม่ได้หมายถึง
ทุกคนที่ตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถแต่อย่างใด
2. ขอตั้งข้อสังเกตุว่าแพทย์ผู้บริหารที่มีอำนาจในกระทรวงฯ น่าจะทราบดีถึงพฤติกรรมของบริษัทยาดีอยู่แล้ว
ทำไมถึงแสดงท่าทีเพิกเฉย ละเลยที่จะแก้ไขปัญหานี้เสียที
3. ขอให้ทุกท่านใช้หลักกาลามสูตรในการพิจารณากระทู้นี้นะครับ
สาเหตุที่ทำให้ยามีราคาแพง...จิ๊กซอว์ตัวสำคัญคือบริษัทยา
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่มีกระแสร้องเรียนเกี่ยวกับราคายาที่ร.พ.เอกชนจ่ายให้กับผู้ป่วย ประเด็นคือ มีราคาที่แพงกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับร.พ.รัฐบาลและร้านขายยาทั่วไป
ทางด้านสมาคมร.พ.เอกชนก็พยายามออกมาชี้แจงในมุมมองของตน เพื่อหวังให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เข้าใจถึงเหตุและผล
ซึ่งผู้รับฟังก็ต้องใช้วิจารณ์อย่างสูงในการเสพข้อมูลดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องปกติที่ภาคเอกชนต้องออกมาปกป้องธุรกิจของตนเอง
แต่มิวายที่มีการออกตัวว่าราคาค่ารักษาไม่มีทางถูกลงแน่นอน
ร.พ.รัฐบาลก็ดูเหมือนว่าจะพลอยถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามไปด้วย เนื่องจากมีปัญหาที่เรื้อรังมานาน ประเด็นเรื่องประสิทธิภาพ
ในการรักษาพยาบาล การขาดงบประมาณ ขวัญกำลังใจของบุคลากรทางการแพทย์ ภาระงานที่หนักหนาสาหัส ฯลฯ ซึ่งภาครัฐ
เองก็ยังไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คงทำได้แค่ทำอย่างไรให้มีการร้องเรียนน้อยที่สุดเท่านั้น...
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารยาและเวชภัณฑ์ของรพ.รัฐบาลกับร.พ.เอกชนพบว่าแทบจะไม่มีความ
แตกต่างกันแต่อย่างใด ...ฝ่ายสมาคมรพ.เอกชนจึงได้เพียงชี้แจงว่ารพ.รัฐได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จึงทำให้ราคายาไม่สูงมาก
ส่วนทางด้านร้านขายยาแผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง ซึ่งระบบในปัจจุบันยังมีความหละหลวม ขาดความเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้
กฏหมายที่กำหนดไว้ว่าต้องมีเภสัชกรอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลาทำการ เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของสภาวิชาชีพในการ
ดำเนินการ ยังไม่นับรวมถึงการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งของสมาคมร้านขายยา ( ที่สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ใช่เภสัชกร ) ซึ่งมีความ
พยายามผลักดัน ยื้อเวลาทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เจตนารมณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้โดยง่าย...ดูจะถูกหางเลขไปด้วยจากการที่สมาคม
รพ.เอกชนเคยยกขึ้นมาเปรียบเทียบระหว่างรพ.เอกชนกับร้านขายยา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด บางส่วนพบว่า
มีการบิดเบือนด้วยซ้ำ...โดยทั่วไปแล้วราคาขายปลีกยาตามร้านขายยานั้นจะมีระบุราคาขายปลีกอยู่ที่บรรจุภัณฑ์ของยา ซึ่งไม่
สามารถขายเกินราคาที่ระบุไว้ข้างกล่องได้ แต่สามารถขายถูกกว่านั้นได้ เป็นการแข่งขันกันตามกลไกตลาดปกติ...ดังนั้นร้านยา
จึงต้องบริหารต้นทุนต่างๆ ( ค่าจ้างบุคลากรในร้าน ค่าโปรแกรมบริหารร้านขายยา ค่าน้ำ - ไฟ ค่าเช่าร้าน ฯลฯ บางร้านลงทุน
กู้เงินซื้อตึกแถวซึ่งไม่ต่างจากรพ.เอกชนที่ลงทุนสร้างอาคารแต่อย่างใด ) ให้มีประสิทธิภาพภายใต้กำไรที่จำกัดนั้น
ระบบการจัดซื้อยาที่แตกต่างกันของรพ.เอกชน รพ.รัฐบาล และร้านขายยา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทยา...
1. รพ.รัฐบาล
- การประมูลจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ( ซื้อปริมาณมาก ราคาถูกลง )...บริษัทยาต้องมีการล็อบบี้ผู้มีอำนาจจัดซื้อ
คณะกรรมการประมูลของร.พ. เพื่อให้ช่วยวาง spec ให้เป็นไปตามที่บริษัทยาต้องการ
- จัดซื้อจากบริษัทยาโดยตรง ( บริษัทยาต้องจ่ายค่าสวัสดิการร.พ. / บ่อยครั้งที่ต้องจ่ายเงินทอนให้กับผู้มีอำนาจใน
การจัดซื้อ / ค่าเลี้ยงรับรอง / อื่นๆอีกจิปาถะเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ เป็นต้น )
- การนำยาใหม่เข้าสู่บัญชียาของร.พ. ( บริษัทยาต้องมีการลงทุนกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจในการพิจารณา
นำยาใหม่เข้าสู่รพ. )
2. ร.พ.เอกชน
- การจัดซื้อโดยตรงจากบริษัทยา ...หลายๆแห่งบริษัทยาต้องจ่ายเงินทอนให้กับผู้มีอำนาจในการจัดซื้อยา /
ค่าเลี้ยงรับรอง / อื่นๆอีกจิปาถะเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ เป็นต้น )
- รพ.บางแห่งมีการประมูลจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เช่นเดียวกับรพ.รัฐบาล...บริษัทยาก็ใช้กลยุทธเดียวกับที่ใช้ในรพ.รัฐ
3. ร้านขายยา
- ร้านขายยาที่เป็น Stand Alone ทั่วไป...หากเป็นร้านที่คนสั่งซื้อไม่ใช่เจ้าของร้าน เซลล์ก็อาจเอาใจโดยวิธีการต่างๆกันไป
- ร้านขายยาระบบเครือข่าย ( Chain Drugstore / Health & Beauty Store )...บางแห่งบริษัทยาต้องจ่ายเงินทอน
ให้ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อ / การเลี้ยงรับรอง ฯลฯ )
- ร้านขายยาส่ง ( ยี่ปั๊ว )....ร้านประเภทนี้จะซื้อปริมาณมาก ได้ราคาต้นทุนจะถูกที่สุด แต่อาจไม่ได้ขายถูกนักก็ได้...
ต้นทุนจะถูกจากการแถม การให้ส่วนลดพิเศษ การทำ contract ยอดที่ต้องซื้อจากบริษัทยา ( ถ้าซื้อได้ตามเป้า
จะได้ refund เท่าไรก็แล้วแต่ตกลง หรือพาไปเที่ยวต่างประเทศเป็นต้น )
ต้นทุนยาจากบริษัทยาที่แอบแฝงในระบบ...นอกจากต้นทุนยาที่เกิดจากการผลิตแล้วยังมีต้นทุนที่บริษัทยาบวกเพิ่มเข้าไป
ในราคายาที่ขายให้แก่รพ.รัฐ รพ.เอกชน และร้านขายยาทั่วประเทศอีกด้วย...
1. เงินทอนที่บริษัทยาต้องจ่ายในขั้นตอนการจัดซื้อของรพ.รัฐและเอกชน และอื่นๆ ( อ่านในขั้นตอนของระบบจัดซื้อด้านบน...)
- ทั้งบริษัทยาอินเตอร์ ( ยา original ) และบริษัทยาในประเทศ ( local made ) ต้องจ่ายตั้งแต่ 5 % - หลายสิบ
เปอร์เซนต์ ขึ้นกับความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างบริษัทยาด้วยกันเอง ซึ่งบริษัทยาอินเตอร์มักจะเป็นผู้พ่ายแพ้
ในเกมส์ดังกล่าวอยู่บ่อยๆ
2. เงินทอนที่บริษัทยาจ่ายให้กับแพทย์บางคนที่มีอิทธิพลในการช่วยเพิ่มยอดการใช้ยาในรพ. ซึ่งทำให้บริษัทมียอดขาย
ยาสูงขึ้นนั่นเอง เช่น ให้แพทย์ช่วยเอายาใหม่เข้าสู่บัญชียาของรพ. ให้แพทย์ช่วยยิงยา ( ใช้ยาของบริษัท ) เป็นต้น....
โดยอาจให้ในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็น % ของยอดสั่งซื้อจากรพ. จ่ายเป็นต่อcase ให้ค่าเดินทาง - ที่พัก - pocket
money ในการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น ( หรืออาจให้หลายๆรุปแบบผสมกันไป )
3. ค่าการตลาดต่างๆ ...เช่น ค่าเลี้ยงรับรอง ค่า Brochure เอกสารยา ค่าของที่ระลึก ( Gimmick ) ที่แจกแพทย์
และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ค่าจัดประชุมสัมมนาวิชาการต่างๆ ฯลฯ
การเห็นแก่ยอดขายของบริษัทยาทั้งหลาย และการแข่งขันเสรีในธุรกิจยาบ้านเรานั้นมีความรุนแรง ขาดจรรยาบรรณ
มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนในวงการไปแล้วกับ stakeholder ทั้งหลาย
ทั้งผู้ขาย - ผู้ซื้อและผู้สั่งใช้ยาที่ต่อมจรรยาบรรณบกพร่อง ... เข้าทำนองผู้ขายยินดีจ่าย ผู้ซื้อและผู้สั่งใช้ยาก็ยินดีรับ.....
ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายต่างๆที่บริษัทยาต้องลงทุนไปในการแลกมาซึ่งยอดขายสูงๆนั้น ก็ไม่พ้นที่จะถูกผลักภาระมาให้
ประชาชนในประเทศเป็นผู้แบกรับในที่สุด
การแก้ปัญหาราคายาในประเทศ ไม่ควรไปเพ่งเล็งแต่ราคายาในรพ.เอกชนเท่านั้น...ภาครัฐควรศึกษาเพื่อให้รู้จริง รู้ลึก
และรู้ทัน โดยเฉพาะวิธีการทำตลาดของบริษัทยาทั้งหลาย และออกมาตรการที่จำเป็นในการช่วยลดต้นทุนยาในระบบ
สาธารณสุขของบ้านเรา อย่างเป็นรูปธรรมเสียที
ป.ล. - 1. ผู้รับเงินทอนและผู้รับประโยชน์จากบริษัทยาใดๆที่กล่าวถึงในกระทู้นี้ มุ่งไปยังเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
บางคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญจนละเลยหน้าที่และจรรยาบรรณตามวิชาชีพเท่านั้น ไม่ได้หมายถึง
ทุกคนที่ตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถแต่อย่างใด
2. ขอตั้งข้อสังเกตุว่าแพทย์ผู้บริหารที่มีอำนาจในกระทรวงฯ น่าจะทราบดีถึงพฤติกรรมของบริษัทยาดีอยู่แล้ว
ทำไมถึงแสดงท่าทีเพิกเฉย ละเลยที่จะแก้ไขปัญหานี้เสียที
3. ขอให้ทุกท่านใช้หลักกาลามสูตรในการพิจารณากระทู้นี้นะครับ