ผมว่านะครับ คนคิดเรื่องควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์รวมถึงค่าบริการทางการแพทย์นี่คือ อยากได้ของดีราคาถูกจนเกินไป แต่ลืมดูว่า ถ้าเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้ว ค่ารักษาพยาบาลบ้านเราถูกกว่าประเทศอื่นมาก ๆ อยู่แล้ว จริง ๆ แล้ว การรักษาในโรงพยาบาลเอกชนมันคือการรักษาที่คนไข้เลือกเข้ามาเอง เพราะอยากได้การบริการที่ดี เวลาทางโรงพยาบาลจะให้การรักษาอะไร หน้าที่ของโรงพยาบาลคือ จะต้องแจ้งค่ารักษาพยาบาลกับคนไข้ให้ทราบก่อน ถ้าคนไข้ไม่ไหวเรื่องค่ารักษาพยาบาล สิทธิการรักษาต่าง ๆ ของคนไข้มีอยู่แล้ว สามารถไปรักษายังโรงพยาบาลตามสิทธิได้ ส่วนกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ผมพอเข้าใจนะครับว่า เป็นมาตรการเพื่อมนุษยธรรม อันนี้ก็ไม่ว่ากัน ควบคุมให้จ่ายค่ารักษาตามราคากลาง (แต่จริง ๆ ถ้าคิดต้นทุนของการรักษาเคสเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต [UCEP] ก็เข้าเนื้อโรงพยาบาล ในส่วนนี้โรงพยาบาลยังขาดทุนอยู่) แต่เคสทั่วไปที่ไม่มีความเร่งด่วน ระบบต่าง ๆ มันก็รองรับเรื่องการส่งต่อดีพอสมควรระดับหนึ่งแล้ว ทุกวันนี้ โรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิอยู่ในช่วงประมาณ 10-20% หมายถึง ยอดขาย 100 บาท ได้กำไร 10-20 บาท เฉพาะโรงพยาบาลที่เปิดมานานและสร้างฐานลูกค้าได้ดี แต่บางโรงพยาบาลก็ยังขาดทุนอยู่เลย ขนาดว่าคิดค่าบริการเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การเปิดโรงพยาบาลเอกชน คนลงทุนก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนและพยายามบริหารจัดการให้มันดีพอที่ทำให้ผู้รับบริการได้รับบริการที่สะดวกสบาย กว่าจะได้กำไร กว่าจะมีฐานลูกค้า ก็เปิดโรงพยาบาลไปนานหลายปี ส่วนใหญ่ก็ต้องทนขาดทุน 3-4 ปีขึ้นไป หลังจากนี้ ต่อไปโรงพยาบาลเอกชน คงไม่ลงทุนเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ การรักษาใหม่ ๆ อะไรเพิ่ม เพราะทำไปก็ไม่คุ้ม ไม่ได้กำไร เทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะที่โรงเรียนแพทย์แทน คนไข้ก็คงต้องรอนาน ๆ กันไปเพื่อให้ได้เข้าถึงเทคโนโลยีนั้น และต่อไปโรงพยาบาลเอกชนคงเลือกให้บริการเฉพาะที่พอจะมีกำไรและใช้วิธีการควบคุมต้นทุนมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย ความเป็นโรงพยาบาลระดับ premium ก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ
ผมว่านะ อะไรที่มันถูกควบคุมราคา และไม่เป็นไปตามกลไลตลาด สุดท้ายระบบนั้นมันจะล่มสลาย สินค้าหลายอย่างที่ถูกกดราคาให้ต่ำ เพื่อให้คนได้ใช้ของถูกก็ต้องแลกกับไม่มีการพัฒนาในเรื่องนั้น ๆ ไม่มีการเเข่งขันเพื่อทำให้คุณภาพดีขึ้น เพราะทำไปก็ไม่คุ้ม ปรับราคาตามต้นทุนไม่ได้เพราะถูกควบคุมราคาอยู่ ต่อไปโรงพยาบาลเอกชนก็จะหยุดการขยายตัว หยุดเพิ่มสาขา หยุดลงทุนในประเทศ หันไปลงทุนต่างประเทศแทน เพราะกำไรดีกว่า กลุ่มทุนใหญ่ที่มีศักยภาพคงพิจารณาประเด็นนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ และอย่าหวังเลยครับว่าประเทศเราจะเป็น Medical hub 1 ใน “10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต” ตามนโยบายของรัฐบาลที่มีการประกาศไว้ เพราะคงไม่มีใครมาลงทุนให้หรอกครับ เมื่อไม่มีการขยายการลงทุนด้านการแพทย์ในประเทศ การจ้างงานของบุคลากรทางการแพทย์ก็จะลดลง ตำแหน่งงานหลายตำแหน่งลดลง จริง ๆ เหมือนจะดีนะครับ ว่าบุคลากรทางการแพทย์จะไม่ขาดแคลนเพราะมีการย้ายไปทำงานในโรงพยาบาลรัฐมากขึ้น มีคนทำงานในระบบรัฐมากขึ้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดี คนกลุ่มนี้มีทางเลือกครับ มีแนวโน้มของการเปลี่ยนงานใหม่ เปลี่ยนอาชีพใหม่เพราะไม่คุ้มกับความเสี่ยงหากโรงพยาบาลเอกชนมีการควบคุมต้นทุนค่าตอบแทนของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย เด็กรุ่นใหม่เลือกที่จะเรียนสาขาอื่นที่มีรายได้คุ้มกับความเสี่ยงแทน การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์มันก็จะกลับมาเหมือนเดิม สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ความแออัดก็จะกลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐ ยิ่งหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก เพราะโรงพยาบาลเอกชน ไม่มีการเปิดเพิ่มอีกแล้ว ไม่มีการกระจายการรักษา ไม่แน่ว่า พอทำกำไรไม่ได้ โรงพยาบาลเอกชนที่รับประกันสังคมซึ่งส่วนหนึ่งมีรายได้จากลูกค้าทั่วไปมาช่วยเสริมในส่วนกำไรก็อาจต้องยกเลิกการรับคนไข้ประกันสังคม รับเฉพาะคนไข้ทั่วไปแทน ร่วมกับควบคุมต้นทุนให้มากขึ้นไปอีก คนไข้กลุ่มนี้ก็จะถูกย้ายสิทธิไปโรงพยาบาลรัฐแทน ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก คนไข้ก็จะล้นจนโรงพยาบาลรัฐ รับไม่ไหวยิ่งกว่าเดิม แล้วต่อไปสิ่งที่รัฐจะต้องพยายามทำ คือ พยายามเปิดโรงพยาบาลรัฐให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มากขึ้น แล้วทุกวันนี้รัฐได้ลงทุนเปิดไปสักกี่โรงพยาบาลแล้วเพื่อรองรับคนไข้จำนวนมากที่มีอยู่ ทำได้เหมือนที่เอกชนเค้าพยายามขยายกันหรือไม่ ถึงรัฐมีงบประมาณมากพอที่จะเปิดโรงพยาบาลเพิ่มก็ทำไม่ได้เพราะบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนเพราะไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน สุดท้ายปัญหาการให้บริการก็ตามมาเหมือนเดิม มันเป็น vicious cycle วนไปวนมา ของระบบการแพทย์บ้านเรา
จริง ๆ แล้ว ความเห็นผมนะ สิ่งที่ควรทำคือ ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้สิทธิตัวเองมากขึ้นและรู้ละเอียดขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสิทธิประกันสุขภาพของบริษัทประกันชีวิต สิทธิประจำตัวต่าง ๆ ที่สามารถใช้ที่โรงพยาบาลเอกชนได้ นอกจากสิทธิฉุกเฉินวิกฤต แต่ถ้าไม่ไหวเรื่องค่ารักษาพยาบาลก็ควรต้องไปรักษายังโรงพยาบาลตามสิทธิ มันมีระบบของมันอยู่แล้ว และหากประชาชนต้องการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องแนะนำประชาชนให้สอบถามค่ารักษาพยาบาลหรือหาข้อมูลค่ารักษาพยาบาลก่อนทำการรักษาเสมอทุกครั้ง บอกให้ประชาชนทราบชัด ๆ ไปเลยว่า การรักษาในโรงพยาบาลเอกชนมีค่ารักษาพยาบาลที่สูง ต้องพิจารณาความสามารถในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของตัวเอง ประเมินตัวเองเสมอทุกครั้งก่อนเข้ามารับบริการ เอาความจริงเรื่องค่ารักษาพยาบาลบอกกับประชาชนไปเลยครับ
สำหรับเรื่องนี้ ผมคิดว่านะ ในที่สุดผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาลเอกชน (ซึ่งคนกลุ่มนี้คือ กลุ่มคนระดับหัวกระทิของประเทศทั้งนั้น) คงปรับตัวให้อยู่รอดเพื่อไม่ให้เจ็บตัวได้อยู่แล้ว และหาวิธีชดเชยรายได้ที่ลดลงด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วระบบก็จะเข้าสู่สมดุลใหม่ กำไรของโรงพยาบาลเอกชนคงลดลงไม่มาก แต่การปรับตัวและวิธีการชดเชยรายได้ที่หายไปอาจเป็นสิ่งที่คนไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับระบบบริการทางการแพทย์ของเอกชน ครับ
สุดท้าย ผมคงบอกได้แค่ว่า ก็เอาที่ท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายสบายใจละกันครับ
คหสต
คอมเม้นต์ได้ครับ แต่อย่าแรงมากครับ ^^
https://mgronline.com/business/detail/9620000002864
https://pantip.com/topic/38082650
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10155643834676954&set=a.430946001953&type=3&theater
https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-09-19/u-s-near-bottom-of-health-index-hong-kong-and-singapore-at-top
https://thaipublica.org/2015/11/kanis-boi/
https://www.posttoday.com/social/368682
ว่ากันด้วยเรื่อง การควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ รวมถึง ค่าบริการทางการแพทย์
ผมว่านะ อะไรที่มันถูกควบคุมราคา และไม่เป็นไปตามกลไลตลาด สุดท้ายระบบนั้นมันจะล่มสลาย สินค้าหลายอย่างที่ถูกกดราคาให้ต่ำ เพื่อให้คนได้ใช้ของถูกก็ต้องแลกกับไม่มีการพัฒนาในเรื่องนั้น ๆ ไม่มีการเเข่งขันเพื่อทำให้คุณภาพดีขึ้น เพราะทำไปก็ไม่คุ้ม ปรับราคาตามต้นทุนไม่ได้เพราะถูกควบคุมราคาอยู่ ต่อไปโรงพยาบาลเอกชนก็จะหยุดการขยายตัว หยุดเพิ่มสาขา หยุดลงทุนในประเทศ หันไปลงทุนต่างประเทศแทน เพราะกำไรดีกว่า กลุ่มทุนใหญ่ที่มีศักยภาพคงพิจารณาประเด็นนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ และอย่าหวังเลยครับว่าประเทศเราจะเป็น Medical hub 1 ใน “10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต” ตามนโยบายของรัฐบาลที่มีการประกาศไว้ เพราะคงไม่มีใครมาลงทุนให้หรอกครับ เมื่อไม่มีการขยายการลงทุนด้านการแพทย์ในประเทศ การจ้างงานของบุคลากรทางการแพทย์ก็จะลดลง ตำแหน่งงานหลายตำแหน่งลดลง จริง ๆ เหมือนจะดีนะครับ ว่าบุคลากรทางการแพทย์จะไม่ขาดแคลนเพราะมีการย้ายไปทำงานในโรงพยาบาลรัฐมากขึ้น มีคนทำงานในระบบรัฐมากขึ้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดี คนกลุ่มนี้มีทางเลือกครับ มีแนวโน้มของการเปลี่ยนงานใหม่ เปลี่ยนอาชีพใหม่เพราะไม่คุ้มกับความเสี่ยงหากโรงพยาบาลเอกชนมีการควบคุมต้นทุนค่าตอบแทนของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย เด็กรุ่นใหม่เลือกที่จะเรียนสาขาอื่นที่มีรายได้คุ้มกับความเสี่ยงแทน การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์มันก็จะกลับมาเหมือนเดิม สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ความแออัดก็จะกลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐ ยิ่งหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก เพราะโรงพยาบาลเอกชน ไม่มีการเปิดเพิ่มอีกแล้ว ไม่มีการกระจายการรักษา ไม่แน่ว่า พอทำกำไรไม่ได้ โรงพยาบาลเอกชนที่รับประกันสังคมซึ่งส่วนหนึ่งมีรายได้จากลูกค้าทั่วไปมาช่วยเสริมในส่วนกำไรก็อาจต้องยกเลิกการรับคนไข้ประกันสังคม รับเฉพาะคนไข้ทั่วไปแทน ร่วมกับควบคุมต้นทุนให้มากขึ้นไปอีก คนไข้กลุ่มนี้ก็จะถูกย้ายสิทธิไปโรงพยาบาลรัฐแทน ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก คนไข้ก็จะล้นจนโรงพยาบาลรัฐ รับไม่ไหวยิ่งกว่าเดิม แล้วต่อไปสิ่งที่รัฐจะต้องพยายามทำ คือ พยายามเปิดโรงพยาบาลรัฐให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มากขึ้น แล้วทุกวันนี้รัฐได้ลงทุนเปิดไปสักกี่โรงพยาบาลแล้วเพื่อรองรับคนไข้จำนวนมากที่มีอยู่ ทำได้เหมือนที่เอกชนเค้าพยายามขยายกันหรือไม่ ถึงรัฐมีงบประมาณมากพอที่จะเปิดโรงพยาบาลเพิ่มก็ทำไม่ได้เพราะบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนเพราะไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน สุดท้ายปัญหาการให้บริการก็ตามมาเหมือนเดิม มันเป็น vicious cycle วนไปวนมา ของระบบการแพทย์บ้านเรา
จริง ๆ แล้ว ความเห็นผมนะ สิ่งที่ควรทำคือ ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้สิทธิตัวเองมากขึ้นและรู้ละเอียดขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสิทธิประกันสุขภาพของบริษัทประกันชีวิต สิทธิประจำตัวต่าง ๆ ที่สามารถใช้ที่โรงพยาบาลเอกชนได้ นอกจากสิทธิฉุกเฉินวิกฤต แต่ถ้าไม่ไหวเรื่องค่ารักษาพยาบาลก็ควรต้องไปรักษายังโรงพยาบาลตามสิทธิ มันมีระบบของมันอยู่แล้ว และหากประชาชนต้องการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องแนะนำประชาชนให้สอบถามค่ารักษาพยาบาลหรือหาข้อมูลค่ารักษาพยาบาลก่อนทำการรักษาเสมอทุกครั้ง บอกให้ประชาชนทราบชัด ๆ ไปเลยว่า การรักษาในโรงพยาบาลเอกชนมีค่ารักษาพยาบาลที่สูง ต้องพิจารณาความสามารถในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของตัวเอง ประเมินตัวเองเสมอทุกครั้งก่อนเข้ามารับบริการ เอาความจริงเรื่องค่ารักษาพยาบาลบอกกับประชาชนไปเลยครับ
สำหรับเรื่องนี้ ผมคิดว่านะ ในที่สุดผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาลเอกชน (ซึ่งคนกลุ่มนี้คือ กลุ่มคนระดับหัวกระทิของประเทศทั้งนั้น) คงปรับตัวให้อยู่รอดเพื่อไม่ให้เจ็บตัวได้อยู่แล้ว และหาวิธีชดเชยรายได้ที่ลดลงด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วระบบก็จะเข้าสู่สมดุลใหม่ กำไรของโรงพยาบาลเอกชนคงลดลงไม่มาก แต่การปรับตัวและวิธีการชดเชยรายได้ที่หายไปอาจเป็นสิ่งที่คนไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับระบบบริการทางการแพทย์ของเอกชน ครับ
สุดท้าย ผมคงบอกได้แค่ว่า ก็เอาที่ท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายสบายใจละกันครับ
คหสต
คอมเม้นต์ได้ครับ แต่อย่าแรงมากครับ ^^
https://mgronline.com/business/detail/9620000002864
https://pantip.com/topic/38082650
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=10155643834676954&set=a.430946001953&type=3&theater
https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-09-19/u-s-near-bottom-of-health-index-hong-kong-and-singapore-at-top
https://thaipublica.org/2015/11/kanis-boi/
https://www.posttoday.com/social/368682