เป็นครั้งที่สองที่รถสตาร์ทไม่ติด หลังจากเปลี่ยนครั้งแรกมาเมื่อ 1.5 ปี ที่แล้ว ครั้งนี้เลยตกใจน้อยหน่อย เพราะ รถสตาร์ทไม่ติดที่บ้านก่อนขับ (ครั้งก่อนคือตอนอยู่ที่ห้างแล้วห้างใกล้ปิดต้องกลับบ้าน มีรถมาพ่วงให้ แต่โชคร้าย ขับไปได้ 1 กม. รถดับกลางถนน) เราเลยจะใช้วิธีว่า ถ้ารถสตาร์ทไม่ติด ไม่ควรพยายามพ่วงให้สตาร์ทติด แต่ให้เรียกช่างมาเปลี่ยนดีกว่า (ซึ่งไม่ชัวร์ว่าครั้งนั้นได้ของดีไหม หรือ เป็นของเก่า เพราะ ไม่มีประสบการณ์ และ ไม่มีใบประกันอะไรเลย ครั้งนี้เลยตั้งใจหาร้านใหม่)
วิธีนี้คือกรณีเรียกช่างมาเปลี่ยนให้ และ สำหรับคนที่ยังไม่มีร้านประจำนะคะ ส่วนใครเปลี่ยนเองได้ ก็สามารถซื้อแบตมาเปลี่ยนเองได้เลยค่ะ แต่ถ้ามใครเคยเปลี่ยนแล้วเจอร้านที่ดีแล้ว ก็ไม่ต้องหาใหม่แล้วค่า
เริ่มแรก
1. หาคำว่า แบตเตอรี่รถยนต์ใน google map เลือกที่ใกล้ๆสถานที่ๆรถจอดอยู่ก่อน
2. โทรถามว่า รถยนต์ยี่ห้อ+รุ่น+ปีนี้ มีแบตยี่ห้ออะไร รุ่นไหนจะเปลี่ยนให้ ส่วนมากจะเป็นพวก 3K FB GS ฯลฯ ส่วนมากก็จะแนะนำแบบกึ่งแห้ง แล้วราคาที่เค้าให้คือเค้าจะรับกลับแบตเก่าเราไปด้วย ถ้าเราไม่ให้แบตเก่าเค้า ก็จะคิดราคาแพงขึ้น (ก็ให้เค้าไป)
3. เมื่อถามราคาแล้ว ก็ลอง search ดูว่า ราคาแบตพวกนี้อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ ถ้าพอๆกัน คือ ไม่ถูกเกินไป หรือ แพงเกินไป (+- 100-200 บาท) จากเว็บแสดงว่าราคาโอเค (เราโทรถามไปประมาณ 4-5 ร้าน รวมถึงศูนย์โตโยต้าด้วย ซึ่งศูนย์จะค่อข้างแพง ค่าแบตรุ่นเรา 2,150 ค่าบริการนอกสถานที่ 500 + vat)
4. ถามเค้าว่า เป็นกล่องซีลมาไหม มีใบประกันจากผู้ผลิตให้ไหม (ปกติ 1 ปี) แล้วให้เค้ามาเปิดกล่องที่หน้างาน และ ให้เอาเครื่อง battery analyzer มาด้วย
5. ถามค่าบริการ (ของเราแบต 3K ราคา 1,800+ ค่าขับมอเตอร์ไซด์มา 50 รวม 1,850 บาท)
6. พอเค้ามา เราก็เปิดกล่องเอง ดูวันหมดอายุ (วันที่ควรเปิดใช้แบตก่อน) หาใบประกันในกล่อง
7. ให้เค้าเอา battery analyzer มาเช็คว่าแบตเก่าหมดจริงไหม (ของเราขึ้น RESULTS: Replace; LIFE: Cells Bad แสดงว่าแบตหมดจริง)
8. ให้เค้าเอา battery analyzer มาเช็คว่าแบตใหม่ ใหม่ตริงไหม (ของเราขึ้น RESULTS: Good; LIFE: 100% แสดงว่าแบตใหม่จริง)
9. ร้านเค้าจะสลักวันที่ซื้อและตัวเลขสัญลักษณ์ของร้านไว้บนแบต ในกรณีมีเคลมว่าเสีย เค้าจะได้มั่นใจว่า แบตมาจากเค้าจริง
10. เก็บกล่อง+ใบประกัน+นามบัตรร้านไว้ ถ้าใช้ดี วันหลังก็กลับไปเปลี่ยนร้านเดิม/แบตยี่ห้อรุ่นเดิมใหม่
สิ่งที่ควรระวัง:
1. ร้านที่ราคาถูกเกินไป เช่น ปกติแบตรุ่นเรา 1,700-1,900 แต่ร้านคิด พันต้นๆ
2. ร้านที่ราคาแพงเกินไป เช่น มากกว่าราคากลาง 200-500 หรือ คิดค่าบริการนอกสถานที่แพง (ของเราเลือกร้านที่รัศมี ไม่เกิน 5 กม. ค่าวิ่งมา 50 บาท)
3. ร้านที่กล่องไม่ซีลมา, วันที่ควรเปิดใช้ลนกล่องเลยมาแล้ว, ไม่เช็ค Battery Analyzer ให้ หรือ เช็คแล้วค่าแบตใหม่ไม่ดี
4. ถ้าไม่อยากสตาร์ทไม่ติดในคราวหน้า ร้านแนะนำเรามาว่า ทุก 2 หมื่นโล หรือ ประมาณ 1 ปี ให้แวะร้านแบตแล้วให้เค้าใช้เครื่อง Battery Analyzer วัดค่าให้ ก็จะพอรู้ว่า ควรเปลี่ยนแบตก่อนมันจะเสื่อมหรือยัง
ช่างแนะนำวิธีง่ายๆมาอีกว่าจะดูแบตเตอรี่รถว่าเสื่อมอย่างไร โดยให้:
- เปิดไฟหน้า เปิดไฟสปอร์ตไลท์ เปิดแอร์ เปิดวิทยุพร้อมๆกัน แล้ว เอากระจกหน้า สองข้างลงให้สุด แล้วกดขึ้นพร้อมกัน ดูว่า สองข้างขึ้นพร้อมกันไหม ถ้าแบตเตอรี่ดี มันจะขึ้นพร้อมกัน
- ส่วนตัว เราคงใช้วิธี ว่างๆ 6 เดือน ปีนึงก็เข้าไปที่ร้านเค้าสักที (เพราะเลือกร้านใกล้บ้าน) ให้เค้าใช้เครื่องเช็คเลยว่าแบตเสื่อมควรถึงเวลาเปลี่ยนหรือยัง ดีกว่ารถสตาร์ทไม่ติดในวันสำคัญจะเครียดเปล่าๆ
ถ้าใครมีข้อแนะนำในเรื่องแบต สามารถมาเพิ่มเติมได้ค่ะ ผู้หญิงอย่างเราขับรถก็ไม่ง่ายแล้ว ยิ่งต้องซ่อมรถหรือเจอปัญหายิ่งปวดหัว เลยอยากมาแชร์ความรู้กันค่ะ
มาแชร์ เวลารถสตาร์ทไม่ติด ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ จะดูว่าใช่ของแท้มือหนึ่งไหมอย่างไรค่ะ
วิธีนี้คือกรณีเรียกช่างมาเปลี่ยนให้ และ สำหรับคนที่ยังไม่มีร้านประจำนะคะ ส่วนใครเปลี่ยนเองได้ ก็สามารถซื้อแบตมาเปลี่ยนเองได้เลยค่ะ แต่ถ้ามใครเคยเปลี่ยนแล้วเจอร้านที่ดีแล้ว ก็ไม่ต้องหาใหม่แล้วค่า
เริ่มแรก
1. หาคำว่า แบตเตอรี่รถยนต์ใน google map เลือกที่ใกล้ๆสถานที่ๆรถจอดอยู่ก่อน
2. โทรถามว่า รถยนต์ยี่ห้อ+รุ่น+ปีนี้ มีแบตยี่ห้ออะไร รุ่นไหนจะเปลี่ยนให้ ส่วนมากจะเป็นพวก 3K FB GS ฯลฯ ส่วนมากก็จะแนะนำแบบกึ่งแห้ง แล้วราคาที่เค้าให้คือเค้าจะรับกลับแบตเก่าเราไปด้วย ถ้าเราไม่ให้แบตเก่าเค้า ก็จะคิดราคาแพงขึ้น (ก็ให้เค้าไป)
3. เมื่อถามราคาแล้ว ก็ลอง search ดูว่า ราคาแบตพวกนี้อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ ถ้าพอๆกัน คือ ไม่ถูกเกินไป หรือ แพงเกินไป (+- 100-200 บาท) จากเว็บแสดงว่าราคาโอเค (เราโทรถามไปประมาณ 4-5 ร้าน รวมถึงศูนย์โตโยต้าด้วย ซึ่งศูนย์จะค่อข้างแพง ค่าแบตรุ่นเรา 2,150 ค่าบริการนอกสถานที่ 500 + vat)
4. ถามเค้าว่า เป็นกล่องซีลมาไหม มีใบประกันจากผู้ผลิตให้ไหม (ปกติ 1 ปี) แล้วให้เค้ามาเปิดกล่องที่หน้างาน และ ให้เอาเครื่อง battery analyzer มาด้วย
5. ถามค่าบริการ (ของเราแบต 3K ราคา 1,800+ ค่าขับมอเตอร์ไซด์มา 50 รวม 1,850 บาท)
6. พอเค้ามา เราก็เปิดกล่องเอง ดูวันหมดอายุ (วันที่ควรเปิดใช้แบตก่อน) หาใบประกันในกล่อง
7. ให้เค้าเอา battery analyzer มาเช็คว่าแบตเก่าหมดจริงไหม (ของเราขึ้น RESULTS: Replace; LIFE: Cells Bad แสดงว่าแบตหมดจริง)
8. ให้เค้าเอา battery analyzer มาเช็คว่าแบตใหม่ ใหม่ตริงไหม (ของเราขึ้น RESULTS: Good; LIFE: 100% แสดงว่าแบตใหม่จริง)
9. ร้านเค้าจะสลักวันที่ซื้อและตัวเลขสัญลักษณ์ของร้านไว้บนแบต ในกรณีมีเคลมว่าเสีย เค้าจะได้มั่นใจว่า แบตมาจากเค้าจริง
10. เก็บกล่อง+ใบประกัน+นามบัตรร้านไว้ ถ้าใช้ดี วันหลังก็กลับไปเปลี่ยนร้านเดิม/แบตยี่ห้อรุ่นเดิมใหม่
สิ่งที่ควรระวัง:
1. ร้านที่ราคาถูกเกินไป เช่น ปกติแบตรุ่นเรา 1,700-1,900 แต่ร้านคิด พันต้นๆ
2. ร้านที่ราคาแพงเกินไป เช่น มากกว่าราคากลาง 200-500 หรือ คิดค่าบริการนอกสถานที่แพง (ของเราเลือกร้านที่รัศมี ไม่เกิน 5 กม. ค่าวิ่งมา 50 บาท)
3. ร้านที่กล่องไม่ซีลมา, วันที่ควรเปิดใช้ลนกล่องเลยมาแล้ว, ไม่เช็ค Battery Analyzer ให้ หรือ เช็คแล้วค่าแบตใหม่ไม่ดี
4. ถ้าไม่อยากสตาร์ทไม่ติดในคราวหน้า ร้านแนะนำเรามาว่า ทุก 2 หมื่นโล หรือ ประมาณ 1 ปี ให้แวะร้านแบตแล้วให้เค้าใช้เครื่อง Battery Analyzer วัดค่าให้ ก็จะพอรู้ว่า ควรเปลี่ยนแบตก่อนมันจะเสื่อมหรือยัง
ช่างแนะนำวิธีง่ายๆมาอีกว่าจะดูแบตเตอรี่รถว่าเสื่อมอย่างไร โดยให้:
- เปิดไฟหน้า เปิดไฟสปอร์ตไลท์ เปิดแอร์ เปิดวิทยุพร้อมๆกัน แล้ว เอากระจกหน้า สองข้างลงให้สุด แล้วกดขึ้นพร้อมกัน ดูว่า สองข้างขึ้นพร้อมกันไหม ถ้าแบตเตอรี่ดี มันจะขึ้นพร้อมกัน
- ส่วนตัว เราคงใช้วิธี ว่างๆ 6 เดือน ปีนึงก็เข้าไปที่ร้านเค้าสักที (เพราะเลือกร้านใกล้บ้าน) ให้เค้าใช้เครื่องเช็คเลยว่าแบตเสื่อมควรถึงเวลาเปลี่ยนหรือยัง ดีกว่ารถสตาร์ทไม่ติดในวันสำคัญจะเครียดเปล่าๆ
ถ้าใครมีข้อแนะนำในเรื่องแบต สามารถมาเพิ่มเติมได้ค่ะ ผู้หญิงอย่างเราขับรถก็ไม่ง่ายแล้ว ยิ่งต้องซ่อมรถหรือเจอปัญหายิ่งปวดหัว เลยอยากมาแชร์ความรู้กันค่ะ