สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ตามหลักการ คือ ออกแล้วตาย ตามซาอุ นั่นแหละถูกต้องแล้วครับ
หลังจากการตายของนบีมูฮัมมัด ศาสดาศาสนาอิสลาม ก็มีคนจำนวนมากออกจากศาสนาอิสลาม ส่งผลทำให้ทายาทของนบีมูฮัมมัด คือ อบูบักร ซึ่งเป็นคอลิฟะห์ คนแรกนั้นต้องออกแรงส่งทหารไปปราบปรามคนเหล่านี้ แทบจะหมดในยุคสมัยของ อบูบักร
ในยุคก่อตั้งศาสนาอิสลามนั้น ศัตรู สำคัญของอิสลามซึ่งเป็นศาสนาที่นับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวนั้น มี 2 กลุ่มคือ
1) มุชริก หรือ แปลเป็นไทยว่า ผู้ตั้งภาคี อธิบายขยายไปให้ชัดเจนว่า คือ ผู้ที่ไม่นับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เท่านั้น จะนับถือพระเจ้าองค์อื่นใดก็ช่างถือเป็นมุชริกหมด หรือแม้แต่นับถืออัลเลาะห์ด้วย นับถือเทพเจ้าองค์อื่นด้วย ก็เป็นมุชริกเหมือนกัน ทั้งนี้ชาวเมืองเมกกะสมัยก่อตั้งอิสลามที่เรียกว่าชนเผ่ากุเรซ (ซึ่งเป็นชนเผ่าเดียวกันกับศาสดาศาสนาอิสลาม) นั้นเป็นพวกมุชริก หรือ นับถือเทพเจ้าหลายองค์
2) ยิว เป็นศาสนาที่มีรากเหง้าเดียวกันกับศาสนาอิสลาม นับถือยะโฮวาห์ เป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวตามอับราฮัมที่เป็นบรรพบุรุษของยิว ส่วนอิสลามก็สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม เหมือนกันแต่คนละสาย นับถือเทพเจ้าที่อับราฮัมนับถือเหมือนกัน แต่อิสลาม เรียกเทพองค์นี้ว่า "อัลเลาะห์" ศาสดาพยากรณ์ ของยิว หลายคน ก็เป็น "นบี" ของศาสนาอิสลาม เนื่องจากว่ายิวนับถือเทพเจ้าองค์เดียวกับอิสลาม ดังนั้นมุสลิมจะไม่เรียกว่าพวกยิวว่า "มุชริก" แต่เรียกว่า "ชาวคัมภีร์" เพราะได้รับคัมภีร์จากพระเจ้าผ่าน "นบี" คนก่อน ๆ มาแล้ว แต่ว่ามันไม่ถูกต้องที่สุด ที่ถูกต้องที่สุดต้องเป็นอัลกรุอ่าน
ประวัติการก่อตั้งศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทำสงครามระหว่าง มุสลิม กับ สองกลุ่มข้างบนนี้แหละ
ในคัมภีร์อัลกรุอ่าน นั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ มักกียะฮฺ และ มะดะนียะฮฺ โดยที่แบ่งตามสถานที่ของโองการที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมา ซึ่งก็คือช่วงก่อน ฮิจเราะห์ศักราช ที่ นบีมูฮัมมัด ยังมีกำลังอ่อนด้อยอาศัยอยู่ในเมืองเมกกะ กับ หลังการอพยพ หรือ เริ่มฮิจเราะห์ศักราช ที่นบีมูฮัมมัด นำพามุสลิมอพยพหนีภัยจากเมืองเมกกะ ไป อยู่ที่เมือง มะดีนะฮฺ แล้วมีกำลังทหารเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว
การสอนของอิสลาม ในคัมภีร์อัลกรุอ่าน ในสองภาค แทบจะเป็นคนละเรื่อง เหมือน หน้ามือ หลังเท้า ....... มักกียะฮฺ เป็นภาคสันติ ส่วน มะดีนะฮฺ เป็นภาค สงคราม ล้วน
ดังนั้นเวลามุสลิม จะยกเอาอัลกรุอ่านที่เกี่ยวกับ สันติ เขาก็ยกเอาอัลกรุอ่าน ในส่วน มักกียะฮฺ มาอ้าง ซึ่งมันก็มีจริง เหตุผลที่ต้องสันติขณะนั้น ก็เนื่องจากมุสลิมมีจำนวนน้อยไม่ถึงร้อยคน เทียบกับฝ่ายตรงข้ามหมื่นกว่าคน ถ้าไม่สันติ จะรอดมั๊ยหละ
แต่ถ้าจะยกเอาภาคสงครามทำลายฝ่ายตรงข้ามมาอ้าง ก็มีอยู่เยอะแยะใน อัลกรุอ่าน ภาคหลังจากอพยพ หรือภาค "มะดะนียะฮฺ" ........ ถึงตอนนี้อิสลามอ้างได้ ทำได้ เพราะมีจำนวนมุสลิมมากขึ้นแล้ว กองทัพเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว จะทำยังไงฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ดังนั้นการฆ่าพวกไม่นับถืออิสลาม หรือ มุชริก นั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งศาสนาอิสลามแล้ว หลังจากนบีมูฮัมมัด ทำสงครามพิชิต พวกมุชริก เมืองเมกกะได้อย่างเบ็ดเสร็จ ก็บีบบังคับให้พวกมุชริกเลือกเอาว่า เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามหรือ ไม่ก็ตาย ....... ยกเว้นพวกมุชริกจากเมืองอื่นที่เคยทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับนบีมูฮัมมัด ตั้งแต่อพยพไปอยู่มะดีนะฮฺใหม่ ๆ แต่หลังจากนั้นพวกนี้ก็กลายเป็นอิสลามหมด
ส่วนยิวนั้น เนื่องจากนับถือเทพเจ้าองค์เดียวกันอยู่แล้ว เลยได้รับความปราณี แค่เก็บภาษี อัลญิซยะฮฺ เพื่อบีบให้ยิวเปลี่ยนเป็นอิสลาม (อัลกรุอ่าน 9:29)
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ของการแผ่ขยายอาณาจักรอิสลาม ถ้ามุสลิมยังมีจำนวนน้อย ก็อ้างเรื่อง "สันติ" จากคัมภีร์อัลกรุอ่าน ภาค มักกียะฮฺ มาใช้แล้วค่อย ๆ สะสมกำลังความเข็มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อเข้มแข็งพอแล้ว ก็นำคัมภีร์อัลกรุอ่าน ภาคหลังคือ มะดะนียะฮฺ มาใช้ ซึ่งเป็นภาคที่อนุญาติให้ทำสงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ได้
ที่พวกไอเอสทำในตะวันออกกลางเมื่อซัก 3-4 ปี ที่ผ่านมา ก็ยึดตามหลักการของอัลกรุอ่าน ภาค มะดะนียะฮฺ นี่เอง แต่ว่าเราไม่เห็นภาพนี้ในซาอุอิอารเบีย เพราะ พวก วะฮาบีย์ ในซาอุดิอารเบีย ได้กระทำอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนก่อตั้งประเทศซาอดิอารเบีย แล้ว แล้วที่ชาวซาอุดิอารเบียเป็นอิสลาม 100% ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย หรือ ศรัทธา แต่มันมีให้ประชาชนเลือกเอาแค่เป็นอิสลาม หรือ ตาย เท่านั้นเอง แล้วการประหารผู้ที่ออกจากอิส
ลามในซาอุดิอารเบียนั้น เป็นข่าวได้ยินเรื่อย ๆ เป็นประจำไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ที่พูด ๆ กันว่า อิสลามให้เสรีภาพในการนับถือศาสนานั้น เป็นการหลอกลวง โกหก มดเท็จ เป็นกลยุทธ ที่ใช้ในขณะที่มุสลิมยังมีกำลังน้อย เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจ ไม่ระแวงแล้วลงมือปราบเสียก่อน
หลังจากการตายของนบีมูฮัมมัด ศาสดาศาสนาอิสลาม ก็มีคนจำนวนมากออกจากศาสนาอิสลาม ส่งผลทำให้ทายาทของนบีมูฮัมมัด คือ อบูบักร ซึ่งเป็นคอลิฟะห์ คนแรกนั้นต้องออกแรงส่งทหารไปปราบปรามคนเหล่านี้ แทบจะหมดในยุคสมัยของ อบูบักร
ในยุคก่อตั้งศาสนาอิสลามนั้น ศัตรู สำคัญของอิสลามซึ่งเป็นศาสนาที่นับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวนั้น มี 2 กลุ่มคือ
1) มุชริก หรือ แปลเป็นไทยว่า ผู้ตั้งภาคี อธิบายขยายไปให้ชัดเจนว่า คือ ผู้ที่ไม่นับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เท่านั้น จะนับถือพระเจ้าองค์อื่นใดก็ช่างถือเป็นมุชริกหมด หรือแม้แต่นับถืออัลเลาะห์ด้วย นับถือเทพเจ้าองค์อื่นด้วย ก็เป็นมุชริกเหมือนกัน ทั้งนี้ชาวเมืองเมกกะสมัยก่อตั้งอิสลามที่เรียกว่าชนเผ่ากุเรซ (ซึ่งเป็นชนเผ่าเดียวกันกับศาสดาศาสนาอิสลาม) นั้นเป็นพวกมุชริก หรือ นับถือเทพเจ้าหลายองค์
2) ยิว เป็นศาสนาที่มีรากเหง้าเดียวกันกับศาสนาอิสลาม นับถือยะโฮวาห์ เป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวตามอับราฮัมที่เป็นบรรพบุรุษของยิว ส่วนอิสลามก็สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม เหมือนกันแต่คนละสาย นับถือเทพเจ้าที่อับราฮัมนับถือเหมือนกัน แต่อิสลาม เรียกเทพองค์นี้ว่า "อัลเลาะห์" ศาสดาพยากรณ์ ของยิว หลายคน ก็เป็น "นบี" ของศาสนาอิสลาม เนื่องจากว่ายิวนับถือเทพเจ้าองค์เดียวกับอิสลาม ดังนั้นมุสลิมจะไม่เรียกว่าพวกยิวว่า "มุชริก" แต่เรียกว่า "ชาวคัมภีร์" เพราะได้รับคัมภีร์จากพระเจ้าผ่าน "นบี" คนก่อน ๆ มาแล้ว แต่ว่ามันไม่ถูกต้องที่สุด ที่ถูกต้องที่สุดต้องเป็นอัลกรุอ่าน
ประวัติการก่อตั้งศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทำสงครามระหว่าง มุสลิม กับ สองกลุ่มข้างบนนี้แหละ
ในคัมภีร์อัลกรุอ่าน นั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ มักกียะฮฺ และ มะดะนียะฮฺ โดยที่แบ่งตามสถานที่ของโองการที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมา ซึ่งก็คือช่วงก่อน ฮิจเราะห์ศักราช ที่ นบีมูฮัมมัด ยังมีกำลังอ่อนด้อยอาศัยอยู่ในเมืองเมกกะ กับ หลังการอพยพ หรือ เริ่มฮิจเราะห์ศักราช ที่นบีมูฮัมมัด นำพามุสลิมอพยพหนีภัยจากเมืองเมกกะ ไป อยู่ที่เมือง มะดีนะฮฺ แล้วมีกำลังทหารเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว
การสอนของอิสลาม ในคัมภีร์อัลกรุอ่าน ในสองภาค แทบจะเป็นคนละเรื่อง เหมือน หน้ามือ หลังเท้า ....... มักกียะฮฺ เป็นภาคสันติ ส่วน มะดีนะฮฺ เป็นภาค สงคราม ล้วน
ดังนั้นเวลามุสลิม จะยกเอาอัลกรุอ่านที่เกี่ยวกับ สันติ เขาก็ยกเอาอัลกรุอ่าน ในส่วน มักกียะฮฺ มาอ้าง ซึ่งมันก็มีจริง เหตุผลที่ต้องสันติขณะนั้น ก็เนื่องจากมุสลิมมีจำนวนน้อยไม่ถึงร้อยคน เทียบกับฝ่ายตรงข้ามหมื่นกว่าคน ถ้าไม่สันติ จะรอดมั๊ยหละ
แต่ถ้าจะยกเอาภาคสงครามทำลายฝ่ายตรงข้ามมาอ้าง ก็มีอยู่เยอะแยะใน อัลกรุอ่าน ภาคหลังจากอพยพ หรือภาค "มะดะนียะฮฺ" ........ ถึงตอนนี้อิสลามอ้างได้ ทำได้ เพราะมีจำนวนมุสลิมมากขึ้นแล้ว กองทัพเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว จะทำยังไงฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ดังนั้นการฆ่าพวกไม่นับถืออิสลาม หรือ มุชริก นั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งศาสนาอิสลามแล้ว หลังจากนบีมูฮัมมัด ทำสงครามพิชิต พวกมุชริก เมืองเมกกะได้อย่างเบ็ดเสร็จ ก็บีบบังคับให้พวกมุชริกเลือกเอาว่า เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามหรือ ไม่ก็ตาย ....... ยกเว้นพวกมุชริกจากเมืองอื่นที่เคยทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับนบีมูฮัมมัด ตั้งแต่อพยพไปอยู่มะดีนะฮฺใหม่ ๆ แต่หลังจากนั้นพวกนี้ก็กลายเป็นอิสลามหมด
ส่วนยิวนั้น เนื่องจากนับถือเทพเจ้าองค์เดียวกันอยู่แล้ว เลยได้รับความปราณี แค่เก็บภาษี อัลญิซยะฮฺ เพื่อบีบให้ยิวเปลี่ยนเป็นอิสลาม (อัลกรุอ่าน 9:29)
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ของการแผ่ขยายอาณาจักรอิสลาม ถ้ามุสลิมยังมีจำนวนน้อย ก็อ้างเรื่อง "สันติ" จากคัมภีร์อัลกรุอ่าน ภาค มักกียะฮฺ มาใช้แล้วค่อย ๆ สะสมกำลังความเข็มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อเข้มแข็งพอแล้ว ก็นำคัมภีร์อัลกรุอ่าน ภาคหลังคือ มะดะนียะฮฺ มาใช้ ซึ่งเป็นภาคที่อนุญาติให้ทำสงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ได้
ที่พวกไอเอสทำในตะวันออกกลางเมื่อซัก 3-4 ปี ที่ผ่านมา ก็ยึดตามหลักการของอัลกรุอ่าน ภาค มะดะนียะฮฺ นี่เอง แต่ว่าเราไม่เห็นภาพนี้ในซาอุอิอารเบีย เพราะ พวก วะฮาบีย์ ในซาอุดิอารเบีย ได้กระทำอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนก่อตั้งประเทศซาอดิอารเบีย แล้ว แล้วที่ชาวซาอุดิอารเบียเป็นอิสลาม 100% ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย หรือ ศรัทธา แต่มันมีให้ประชาชนเลือกเอาแค่เป็นอิสลาม หรือ ตาย เท่านั้นเอง แล้วการประหารผู้ที่ออกจากอิส
ลามในซาอุดิอารเบียนั้น เป็นข่าวได้ยินเรื่อย ๆ เป็นประจำไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ที่พูด ๆ กันว่า อิสลามให้เสรีภาพในการนับถือศาสนานั้น เป็นการหลอกลวง โกหก มดเท็จ เป็นกลยุทธ ที่ใช้ในขณะที่มุสลิมยังมีกำลังน้อย เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจ ไม่ระแวงแล้วลงมือปราบเสียก่อน
แสดงความคิดเห็น
ออกจากศาสนาอิสลามมีโทษประหาร
https://youtu.be/C7hpmgsz9zA
คนนี้พูดอ้อมไปมาแต่สรุปได้ว่าออกจากศาสนามีโทษประหารจริงๆ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1950499005047291&id=273508386079703
สรุปแล้วตามหลักศาสนาในคัมภีร์สอนว่ายังไงแน่หรอครับ วอนผู้รูบอกที หรือมันอยู่ที่ตีความ