บางหมู่บ้านยังมีคนพูดไทยไม่ได้
มาเดินออกกำลังกายและใช้บริการclub house
อยู่หลายหลัง
คาดว่าในตลาดกลางราคาต่ำลงมาอีกสักหน่อยที่เป็นcondoนั้นมีคนจีนมาถือเอาไว้ไม่น้อยทั้งในกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยวทุกเมือง
สภาวะดูคล้ายกับมีการชะลอการซื้อของคนไทยนั้นมีมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ใช่สาเหตุจากการไม่มีกำลังซื้อ แต่เป็นจากสภาวะของซัพพลายล้นเกินกว่าดีมานด์
จะเห็นว่าเวลานี้มีหลายโครงการที่ทำเลเป็นรองต้องหยุดไปเพราะคนที่มีกำลังซื้อสามารถเลือกที่จะอยู่ใกล้ที่ทำงานหรือแนวรถไฟฟ้าในตัวเมืองได้
และอสังหาตามแหล่งท่องเที่ยวนั้นการลงทุนจากผู้ซื้อที่เป็นคนจีนลดลงจากปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มมีปัญหาในอนาคต
และเรื่องค่าเงินหยวนที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงิน฿
และยังมีแนวโน้มที่อาจจะลงไปอีกในปีนี้ก็เป็นไปได้จากสงครามการค้า
การที่สัญญานจากจีนนั้นอ่อนลงจะสามารถดูได้จากทำเลทองของคนจีนที่เข้ามาอยุ่แถวรัชดาภิเษกแนวรถไฟฟ้าสีน้ำเงินเพราะมีทุกอย่างมีครบ
ทั้งศูนย์การค้า รพ. รร.อินเตอร์ สถานทูตจีน
ทำเลนี้ถือว่าเป็นทำเลแรกของชุมชนจีน
ที่มาซื้ออสังหาเลยก็ว่าได้
แต่ถ้าทำเลทองยังอืดแล้วทำเลอื่นจะอยู่ในสภาพเช่นใดในปีนี้คงไม่ยากที่จะเดา
ข้อมูลตัวที่เป็นตัวแปรคือการลงทุนเพื่อทำกำไรที่ไม่ได้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองของนักลงทุนจีนนั้น
ดูแล้วไม่น่าจะคุ้มอีกแล้ว
เพราะอยู่เฉยๆ ปีนี้ค่าเงินก็หายไป 6%
ถ้ารวมปีก่อน 8% ก็ถือว่าไม่น้อยเลย
และการชะลอตัวของนทท.จีนในอนาคตซึ่งมีผลส่งให้อสังหาหลายจุดที่ราคาเกินจุดคุ้มทุน
ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนจีนคงต้องทิ้งการจองหรือขายออกแข่งกับโครงการเพื่อรักษาทุนไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้
ข้อมูลของธ.แห่งประเทศไทยนั้นตีมูลค่าประมาณ 7-8 หมื่นล้าน฿
คิดเป็นจำนวนประมาณ 2 หมื่นยูนิต ที่ถือโดยลูกค้าต่างชาติ
แต่ถ้าจะรวมถึงที่โบรกเกอร์เอาโครงการไปขายจองในจีนนั้นจะต้องมากไปกว่าตัวเลขนี้
ถ้าจะเอาจำนวนโครงการในปีนี้และปีหน้ามาคำนวนแล้วคิดตามอัตราส่วนการถือครองในปัจจุบันนั้น
จำนวนยูนิตอาจจะเพิ่มมาอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งก็เป็นไปได้
จะถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นอุปสงค์เทียมก็ว่าได้ การแตกของฟองสบู่อสังหาของไทยนั้นมีแนวโน้มอยู่ไม่ไกลเลย
*********************************************
สำนักข่าวบลูเบิร์กได้ให้ข้อมูลว่า สิงคโปร์นั้นมีวิธีสกัดฟองสบู่อสังหาไปอีกแนวทางหนึ่ง
แต่ฟองสบู่นั้นเกิดจากคนในสิงคโปร์เองเสียส่วนมาก ต่างชาตินั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีส่วนเอาเสียทีเดียว
แต่อัตราส่วนนั้นไม่หนักเหมือนที่เกิดในเมืองไทย สิงคโปร์งัดเอามาตราการ อากร (stamp duty) สำหรับคนซื้อบ้านหลังที่ 2-3 โดยต้องจ่ายค่าอากรจากเดิม 7% เป็น 12% และ 15%
คนต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในสิงคโปร์จาก 10% เพิ่มเป็น 15% ต่างชาติที่เข้ามาซื้อเพื่อการลงทุนจาก15% เพิ่มเป็น 20%
และในรูปบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนจาก 15% เป็น 20%
นั่นคือมาตราการที่สกัดไม่ใช่อสังหาของสิงคโปร์เติบโตแบบฟองสบู่ที่มีการเก็งกำไรแบบไร้การควบคุม
การซื้ออสังหาหลังที่ 2- 3 และหลังอื่นๆ นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความต้องการจริงเท่านั้นไม่ใช่การเก็งกำไร ทำให้ราคาอสังหาระดับหรูราคาแพงคาดว่าจะลดตัวลง
และจะมีโครงการที่มีความต้องการจริงราคาไม่แพงย่านชายเมืองมากขึ้นสำหรับปชช.รายได้ไม่สูงนัก
*******************************************
วิธีการของสิงคโปร์นั้นไม่เลวเลย อสังหานั้นถ้าไม่ใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร
ฟองสบู่อสังหาก็ไม่แตก และราคาบ้านก็ไม่พุ่งสูงจนประชาชนระดับกลางล่างจะมีบ้านเป็นของตัวเองได้ลำบากอย่างเวลานี้
และเป็นการตัดการที่คนระดับกลางล่างที่ซื้อบ้านราคาไม่แพงต้องเดินทางไกลทุกวัน
แล้วเอาเงินค่าเดินทางมาสมทบผ่อนบ้านที่อยู่ใกล้ขึ้นกว่าเดิมได้อีกประการหนึ่งด้วย
ที่สำคัญคือผู้พัฒนาอสังหาก็ไม่เดือดร้อนต้องปิดโครงการหรือขาดทุนจากการขายไม่ออกหรือ
โดนทิ้งจอง สถาบันการเงินก็ไม่เดือดร้อนจากหนี้สูญจากทั้งสองฝั่ง
_________
คนจีนพยายามออกนอกจีน?
อยู่ยากเพราะคอมมิวนิสต์?
1,300ล้านคน คงแย่งกันกินใช้
ออกมาได้ก็ควรออกมางี้เหรอ
••••••••••
อยู่ออสเตรเลีย คนจีนเยอะแยะ
ทั้งซิดนีย์ เมลเบิร์น บริสเบน แอดิเลด ทัสมาเนีย
แคนเบอร์รา
ญี่ปุ่น ก็ต้องโยโกฮาม่า เลยเนอะ มีไชน่าทาวน์
คนจีนบึม
UK ! ลอนดอนแน่นอน คงขวักไขว่
ไม่รึเมืองอื่นมีมากน้อยขนาดใด
US เดาว่านิวยอร์ก ซานฟรานฯ LA
CANADA ก็เยอะที่แวนคูเวอร์ โตรอนโต
ประเทศฝรั่งที่มีภาษาของตัวเอง
จะมีจีนอยู่ล้นเอ่อขนาดไหน
ไม่ทราบข้อมูลเลย
คนจีนนั้นมาลงทุนและซื้ออสังหาริมทรัพย์ใน🇹🇭 มาพอสมควร เป็นแทบทั่วโลก มีแต่จีนเต็มไปหมด
มาเดินออกกำลังกายและใช้บริการclub house
อยู่หลายหลัง
คาดว่าในตลาดกลางราคาต่ำลงมาอีกสักหน่อยที่เป็นcondoนั้นมีคนจีนมาถือเอาไว้ไม่น้อยทั้งในกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยวทุกเมือง
สภาวะดูคล้ายกับมีการชะลอการซื้อของคนไทยนั้นมีมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ใช่สาเหตุจากการไม่มีกำลังซื้อ แต่เป็นจากสภาวะของซัพพลายล้นเกินกว่าดีมานด์
จะเห็นว่าเวลานี้มีหลายโครงการที่ทำเลเป็นรองต้องหยุดไปเพราะคนที่มีกำลังซื้อสามารถเลือกที่จะอยู่ใกล้ที่ทำงานหรือแนวรถไฟฟ้าในตัวเมืองได้
และอสังหาตามแหล่งท่องเที่ยวนั้นการลงทุนจากผู้ซื้อที่เป็นคนจีนลดลงจากปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มมีปัญหาในอนาคต
และเรื่องค่าเงินหยวนที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงิน฿
และยังมีแนวโน้มที่อาจจะลงไปอีกในปีนี้ก็เป็นไปได้จากสงครามการค้า
การที่สัญญานจากจีนนั้นอ่อนลงจะสามารถดูได้จากทำเลทองของคนจีนที่เข้ามาอยุ่แถวรัชดาภิเษกแนวรถไฟฟ้าสีน้ำเงินเพราะมีทุกอย่างมีครบ
ทั้งศูนย์การค้า รพ. รร.อินเตอร์ สถานทูตจีน
ทำเลนี้ถือว่าเป็นทำเลแรกของชุมชนจีน
ที่มาซื้ออสังหาเลยก็ว่าได้
แต่ถ้าทำเลทองยังอืดแล้วทำเลอื่นจะอยู่ในสภาพเช่นใดในปีนี้คงไม่ยากที่จะเดา
ข้อมูลตัวที่เป็นตัวแปรคือการลงทุนเพื่อทำกำไรที่ไม่ได้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองของนักลงทุนจีนนั้น
ดูแล้วไม่น่าจะคุ้มอีกแล้ว
เพราะอยู่เฉยๆ ปีนี้ค่าเงินก็หายไป 6%
ถ้ารวมปีก่อน 8% ก็ถือว่าไม่น้อยเลย
และการชะลอตัวของนทท.จีนในอนาคตซึ่งมีผลส่งให้อสังหาหลายจุดที่ราคาเกินจุดคุ้มทุน
ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนจีนคงต้องทิ้งการจองหรือขายออกแข่งกับโครงการเพื่อรักษาทุนไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้
ข้อมูลของธ.แห่งประเทศไทยนั้นตีมูลค่าประมาณ 7-8 หมื่นล้าน฿
คิดเป็นจำนวนประมาณ 2 หมื่นยูนิต ที่ถือโดยลูกค้าต่างชาติ
แต่ถ้าจะรวมถึงที่โบรกเกอร์เอาโครงการไปขายจองในจีนนั้นจะต้องมากไปกว่าตัวเลขนี้
ถ้าจะเอาจำนวนโครงการในปีนี้และปีหน้ามาคำนวนแล้วคิดตามอัตราส่วนการถือครองในปัจจุบันนั้น
จำนวนยูนิตอาจจะเพิ่มมาอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งก็เป็นไปได้
จะถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นอุปสงค์เทียมก็ว่าได้ การแตกของฟองสบู่อสังหาของไทยนั้นมีแนวโน้มอยู่ไม่ไกลเลย
*********************************************
สำนักข่าวบลูเบิร์กได้ให้ข้อมูลว่า สิงคโปร์นั้นมีวิธีสกัดฟองสบู่อสังหาไปอีกแนวทางหนึ่ง
แต่ฟองสบู่นั้นเกิดจากคนในสิงคโปร์เองเสียส่วนมาก ต่างชาตินั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีส่วนเอาเสียทีเดียว
แต่อัตราส่วนนั้นไม่หนักเหมือนที่เกิดในเมืองไทย สิงคโปร์งัดเอามาตราการ อากร (stamp duty) สำหรับคนซื้อบ้านหลังที่ 2-3 โดยต้องจ่ายค่าอากรจากเดิม 7% เป็น 12% และ 15%
คนต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในสิงคโปร์จาก 10% เพิ่มเป็น 15% ต่างชาติที่เข้ามาซื้อเพื่อการลงทุนจาก15% เพิ่มเป็น 20%
และในรูปบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนจาก 15% เป็น 20%
นั่นคือมาตราการที่สกัดไม่ใช่อสังหาของสิงคโปร์เติบโตแบบฟองสบู่ที่มีการเก็งกำไรแบบไร้การควบคุม
การซื้ออสังหาหลังที่ 2- 3 และหลังอื่นๆ นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความต้องการจริงเท่านั้นไม่ใช่การเก็งกำไร ทำให้ราคาอสังหาระดับหรูราคาแพงคาดว่าจะลดตัวลง
และจะมีโครงการที่มีความต้องการจริงราคาไม่แพงย่านชายเมืองมากขึ้นสำหรับปชช.รายได้ไม่สูงนัก
*******************************************
วิธีการของสิงคโปร์นั้นไม่เลวเลย อสังหานั้นถ้าไม่ใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร
ฟองสบู่อสังหาก็ไม่แตก และราคาบ้านก็ไม่พุ่งสูงจนประชาชนระดับกลางล่างจะมีบ้านเป็นของตัวเองได้ลำบากอย่างเวลานี้
และเป็นการตัดการที่คนระดับกลางล่างที่ซื้อบ้านราคาไม่แพงต้องเดินทางไกลทุกวัน
แล้วเอาเงินค่าเดินทางมาสมทบผ่อนบ้านที่อยู่ใกล้ขึ้นกว่าเดิมได้อีกประการหนึ่งด้วย
ที่สำคัญคือผู้พัฒนาอสังหาก็ไม่เดือดร้อนต้องปิดโครงการหรือขาดทุนจากการขายไม่ออกหรือ
โดนทิ้งจอง สถาบันการเงินก็ไม่เดือดร้อนจากหนี้สูญจากทั้งสองฝั่ง
_________
คนจีนพยายามออกนอกจีน?
อยู่ยากเพราะคอมมิวนิสต์?
1,300ล้านคน คงแย่งกันกินใช้
ออกมาได้ก็ควรออกมางี้เหรอ
••••••••••
อยู่ออสเตรเลีย คนจีนเยอะแยะ
ทั้งซิดนีย์ เมลเบิร์น บริสเบน แอดิเลด ทัสมาเนีย
แคนเบอร์รา
ญี่ปุ่น ก็ต้องโยโกฮาม่า เลยเนอะ มีไชน่าทาวน์
คนจีนบึม
UK ! ลอนดอนแน่นอน คงขวักไขว่
ไม่รึเมืองอื่นมีมากน้อยขนาดใด
US เดาว่านิวยอร์ก ซานฟรานฯ LA
CANADA ก็เยอะที่แวนคูเวอร์ โตรอนโต
ประเทศฝรั่งที่มีภาษาของตัวเอง
จะมีจีนอยู่ล้นเอ่อขนาดไหน
ไม่ทราบข้อมูลเลย