รบกวนเเสดงความเห็นนิยายหน่อยครับ

บทที่ 1 กำเนิดตัวแทนแห่งมนุษย์
วันนี้คือวันเสาร์ที่หก เดือนมีนาคม

       เวลานี้คือเวลาที่แสงจากดวงอาทิตย์นั้นมืดมิด เหลือให้เพียงแสงสามแห่งหลักๆ ได้แก่แสงไฟข้างถนนที่มีแมลงมาบินวนอยู่รอบๆเพื่อเล่นไฟอย่างสนุกสนาน แสงดวงจันทร์สีขาวนวลดูสบายตาเหมาะกับช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนจากการทำงาน และแสงดาวประกายระยิบระยับที่งดงามดั่งอัญมณีที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

       เสียงในเวลานี้เป็นเสียงที่เงียบสงบ ปราศจากเสียงพูดคุย มีเพียงเสียงร้องของกบ คางคก อึ่งอ่าง และสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดที่อาศัยอยู่บริเวณหนองน้ำที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ในเพลานี้อาจมีรถยนต์ของกลุ่มวัยรุ่นบางกลุ่มสัญจรอยู่บ้าง แต่เสียงรถยนต์กลุ่มนี้ก็ไม่ได้ดังบ่อยนักในแต่ละคืน

       ในยามราตรีกาลที่มีต้นกำเนิดแสงหลักเพียงแค่สามแห่งนี้ ยังสามารถสว่างขึ้นได้อีกเล็กน้อยเพราะแสงจากจุดเล็กๆแห่งหนึ่งของเมืองนี้ที่เป็นต้นกำเนิดของเหตุการณ์บางอย่างบนโลกใบนี้ ซึ่งแสงนั่นก็คือ แสงจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

      “อุแว้!!”

       เสียงทารกน้อยสุขภาพแข็งแรงดีคนหนึ่งแผดเสียงออกมาจากลำคอเพราะแสงไฟจากโรงพยาบาลมาแยงตา จนทำให้ต้องหลับตาปี๋

“เสียงนั่นมัน…หรือว่า?!”

บอลหันขวับไปยังประตูของห้องผ่าตัด

แอ๊ด!!

      เสียงเปิดประตูของห้องผ่าตัดและหมอผ่าตัดที่ก้าวเท้าออกมาอย่างเคร่งขรึมทำให้บอลต้องรีบกระโจนเข้าไปหาคุณหมอพลางยกมือที่ผ่านการผ่าตัดของคู่ชีวิตของคุณบอลขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วกุมไว้แน่นก่อนจะถามขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนว่า

     “หมอครับ! ลูกของผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรงดี น้ำหนักตัวสามพันกรัม ออกมาดูโลกปุ๊บก็ร้องไห้แผดเสียงจนคุณหมอต้องอุดหู แล้วก็หน้าตาน่ารักเหมือนผมคนนี้เลยใช่ไหมครับ!!” ความตื่นเต้นทำให้กล้ามเนื้อเขามันบีบตัวจนเขาขยับไปมาโดยไม่หยุด คำพูดของบอลทำให้คุณหมออึ้งไปสักพัก ก่อนจะถามคุณบอลกลับไปเเบบติดตลกว่า “เอ่อ…สมัยนี้มีแอพสแกนลูกในท้องก่อนวันกำหนดคลอดด้วยหรือคะ?” แพทย์หญิงวรรณดีถามด้วยความสงสัย

“หมายความว่ายังไงหรือครับ?” บอลงงกับคำถามของแพทย์หญิงคนนั้น

“แหม ก็รู้ดีก่อนเห็นหน้าลูกชายของคุณซะขนาดนี้ หมอก็นึกว่าคุณใช้แอพที่ถ่ายหน้าตาของเด็กที่อยู่ในท้องนี่คะ”

“อ๋อ ก็ไม่ได้ผ่านแอพหรอกครับ มันผ่านสมองอันชาญฉลาดของผมนี่แหละ ว่าแต่ที่ผมพูดมาเมื่อกี้ผมทายถูกต้องเป๊ะเลยใช่ไหมครับ?”

“ถูกเกือบหมดแล้วค่ะ น้ำหนักของลูกชายคุณคือสองพันเก้าร้อยนะคะ ไม่ใช่สามพันกรัม ส่วนอีกข้อที่บอกว่าลูกชายคุณหน้าตาน่ารักเหมือนคุณ เอ่อ…ในส่วนนี้ดิฉันคิดว่าอยู่ที่คุณนะคะ ดิฉันขอไม่ออกความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้นค่ะ” แพทย์หญิงคนนั้นดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อพูดถึงคำตอบเรื่องหน้าตาของบอลเทียบกับหนุ่มน้อยคนหนึ่ง

“อ๋อ ครับ ว่าแต่ตอนนี้ผมเข้าไปดูหน้าลูกได้รึยังครับ?” บอลอยากจะเห็นหน้าลูกชายเต็มที่

“เชิญได้เลยค่ะ” แพทย์หญิงทำมือต้อนรับบอลเป็นอย่างดีพลางยิ้มอย่างสดใสขณะพูด

บอลบิดลูกบิดประตูเต็มแรง แล้วก้าวท้าวเข้าไปด้วยสีหน้าแห่งความหวังที่เปี่ยมล้นพร้อมรอยยิ้มที่สดใสที่สุดในชีวิตก่อนจะตะโกนลากเสียงยาวขึ้นว่า “ว่าไงลูกพ่อออ!!”

“อุ๊ย!...แหม คุณนี่เอง ฉันก็นึกว่าใคร ตกใจหมดเลย” เทียน ภรรยาของบอลสะดุ้งขึ้นอย่างแรงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนนั้น

“เอ้า…เข้ามาสิ มาดูเด็กที่คุณอยากจะเห็นหน้ามาตั้งนานเถอะค่ะ” เธอชักชวนบอลให้เข้ามาดูหน้าตาที่บอลบอกว่าน่ารักน่าชังเหมือนเขาไม่มีผิด

ในวินาทีที่สายตาของพ่อลูกทั้งสองบรรจบกัน ความเข้ากันได้ก็เกิดขึ้นราวกับผูกพันกันมานับร้อยปี

“โอ้!!! หน้าตาหล่อเหลาเหมือนพ่อเลยนะ เจ้าลูกชาย!!” บอลตะโกนออกมาทันทีเมื่อเห็นหน้าลูกชายเขา

เทียนแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยเพราะเพิ่งรู้ว่าอาการหลงตัวเองของบอลก็หนักใช่เล่น
“คุณนี่ล่ะก็…หน้าคุณน่ะเหรอจะมาเทียบกับภัทรได้ ดูหน้าเขาสิ เนียนใสดีจริงๆ ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้ที่หน้าสากอย่างกับหินตะกอน แหวะ!” เทียนพูดเสียดสีนิดหนึ่ง ถึงแม้เขาจะไม่ได้รังเกียจบอล แต่คำพูดเขาก็ออกจะเจ็บจี๊ดหน่อยๆ

“ฮ่าๆ นั่นสิๆ” เขาแอบหัวเราะเบาๆพลันฮวบตัวลงนั่งบนเบาะสีฟ้าที่เตรียมไว้สำหรับบุคคลเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาล

“ว่าแต่คุณมาที่นี่ทันทีเลยหรือคะ หลังจากที่ได้ทราบข่าวนี้?” เทียนถามขึ้น

“อ้าว แน่สิ! ลูกชายผมคลอดทั้งทีจะไม่ให้รีบมาได้ยังไง!?” บอลพูดขึ้นก่อนที่จะนึกเรื่องอะไรบางอย่างออกได้
“อ้อ จริงสิ คุณดูนี่นะ…” เขาเด้งตัวออกจากเบาะสีฟ้านั่นแล้วตรงไปที่ผ้าม่านพร้อมเปิดออกเสียงดังครืด!

“โอ้พระเจ้างดงามจริงๆ เหมือนกับ…อัญมณีเลย!” เทียนตาวาวทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่นอกหน้าต่าง

“สวยใช่ไหมล่ะ ดวงดาวพวกนี้น่ะ” เขานำมือไขว้หลังแล้วยิ้มอ่อนๆ

“สวยจริงๆแหละค่ะ แต่เดี๋ยวนะ?! นี่มันเป็นช่วง…”

“ใช่ มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมากๆ ทั้งๆที่ช่วงนี้เป็นฤดูร้อน แต่ดวงดาวเหล่านี้มันกลับเปล่งประกายตัวมันเองได้เต็มท้องฟ้าขนาดนี้ สงสัยมันคงมีเพชรนิลจินดาหรืออัญมณีอื่นเป็นฮีโร่ในใจล่ะมั้ง มันถึงเลียนแบบความสว่างจากของมีค่าทั้งหลายได้เหมือนทุกประการ” บอลพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผมเชื่อในตัวของภัทรจริงๆนะ เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาจะต้องเป็นเด็กที่ร่างกายแข็งแรงดี มีนิสัยร่าเริง เป็นคนดีต่อสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แล้วเมื่อเขาค้นพบความฝันของเขา พ่อจะคอยช่วยสนับสนุนเขาอย่างเต็มกำลังเลยล่ะ!”           บอลหลับตาและก้มหน้าไปสักพักก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง

“ถ้าดวงดาวนี้เปรียบเสมือนความฝันของภัทร พ่อจะเป็นจรวดให้เขาบินไปแตะถึงดวงดาวเหล่านั้นให้ได้ แล้วเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับพื้นผิวดวงดาว หนุ่มน้อยคนนี้แหละ จะกลายเป็นผู้ชนะ”
เมฆที่บดบังดวงจันทร์เริ่มขยับตัวเอื่อยๆออกจนแสงนั้นสาดส่องมาที่ห้องพักของโรงพยาบาลทันที นี่ก็ดึกแล้ว ถึงเวลาที่เด็กน้อยจะเข้าสู่โลกแห่งความฝันช้าๆ ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนนี้จะไม่มีวันลืมเลยตลอดชีวิต




“นี่แหละ สิ่งที่พ่อเชื่อในตัวลูก ตอนนั้นพ่อดีใจมากจริงๆนะที่ลูกเกิดมาน่ะ ฮึก…ฮึก”

เสียงสะอื้นของคุณแม่ดังขึ้นอีกครั้ง ท่านเอาอ้อมแขนมากอดภัทรที่ยืนใส่ชุดสีดำพร้อมพูดด้วยเสียงสั่นๆ “อย่าเสียใจไปเลยนะลูก ถึงแม้ว่าพ่อจะจากเราไปแล้ว แต่พวกเราต้องอยู่กันสองคนได้อย่างไม่ลำบาก”

ที่จริงคำพูดนี้ควรใช้กับแม่มากกว่า ไม่ควรมาใช้กับลูกชายที่น้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย หรือถึงกับร้องไห้ฟูมฟายเหมือนกับแม่

‘พ่อครับ พ่อจากผมไปเร็วเสียจริง แต่ไม่เป็นไรนะครับ ผมโตแล้ว ผมอายุสิบขวบแล้ว ผมต้องยืนด้วยขาตัวเองได้ครับ! ขอบคุณเก้าปีที่ผ่านมาที่เราเคยใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงนะครับ ลาก่อน…’

แววตาของภัทรเต็มไปด้วยความเศร้า แต่เขาก็ไม่อยากแสดงความขี้แยต่อคนอื่นไม่เว้นแม้แต่แม่ของเขา เพื่อที่เขาจะได้ไม่เป็นคนอ่อนแอในสายตาคนอื่น
เรื่องราวอันน่าสะเทือนใจนี้เกิดขึ้นตอนภัทรสิบขวบ แต่เขาสามารถระงับความเศร้าโศกนั้นได้ ซึ่งเขามั่นใจว่าคุณแม่ที่อายุห่างจากเขาเป็นยี่สิบกว่าปีจะต้องหายเศร้าได้เร็วกว่าเขาแน่นอน


เดี๋ยวจะมีอีกหนึ่งบทนะครับ ใครสะดวกรบกวนวิจารณ์อีกบทนึงนะครับ  เเต่บทต่อไปจะไม่ต่อเนื่องกับบทนี้นะครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่