The Face 5 และ The Face Men 3 ของที่ต้องมี & วิเคราะห์เมนเทอร์... คนไหน... อย่างไร


ก่อนที่รายการจะเริ่มต้นขึ้นอยากจะวิเคราะห์และแสดงความคาดหวังซักนิด ...เผื่อทีมงานผ่านมาเห็นแล้วจะได้บ้าง
สิ่งที่ชอบใน TFM 2 และอยากไปให้ต่อกับทั้งสองรายการ

โจทย์

ใน TFM 2 ได้เห็นการใส่ใจกับการทำโจทย์ที่คู่ควรกับความสามารถของเมนเทอร์และผู้เข้าแข่งขัน มากกว่าเรื่องขายของตรงๆ มีการคิดมากกว่า 1 ชั้น มีธีมหลักธีมรอง มีตัวแปรต้นตัวแปรรองและตัวแปรควบคุม ทำให้ได้เห็นกึ๋นของเมนเทอร์และผู้เข้าแข่งขัน มีการคิดงานที่มีความสร้างสรรค์ ก็อยากให้รักษาอะไรแบบนี้ไว้ แล้วจากฟีดแบ็คของผู้ชมก็เห็นว่าชอบโจทย์ในซีซั่นนี้ ก็น่าจะบอกได้ว่ารายการมาถูกทางแล้ว

รวมถึงการวัดผล ไฟนอลวอร์คแบบเดินแบบอย่างเดียวก็วัดผลเรื่องเดินแบบจริงๆ แต่ไฟนอลวอร์คแบบโชว์กลายเป็นสอบปลายภาคที่วัดผลได้ครบครัน

ออดิชั่น

รู้สึกชอบการปรับมาแบบใหม่ที่ให้เน้น ผขข ทีเดียวครบทั้งภาพถ่ายหน้าสด การเดิน และสัมภาษณ์ เพราะมันง่ายสำหรับการดูจริงๆ แต่ก่อนเป็นแบบถ่ายภาพเสร็จก็ไปปิดหน้าเดินแล้ว ดูแล้วจำใครไม่ค่อยได้ว่ามีองค์ประกอบอะไรกันบ้าง แล้วมันคงจะง่ายกับเมนเทอร์ในการประเมินคนด้วย ในแง่การทำงานมันก็ดีแล้วนะ การมองคนไม่ควรมองแบบแยกส่วน ควรจะมองแบบองค์รวมมากกว่า แล้วการประเมินการเดินแบบไม่ควรปิดหน้าหรอก ปิดแล้วก็ไม่เห็น facial expression น่ะสิ

ความต่างของการปกครอง

ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ ที่เอาบอส 3 แนวที่มีอยู่จริงๆ ตามสายงานบันเทิงและสายงานอื่นๆ ซึ่งก็จะมีไว้รองรับลูกน้อง 3 สไตล์ที่จะเข้ามาทำงานในบริษัทจริงๆ มาอยู่ในรายการทีวีได้จริงๆ จังๆ นอกจากแค่ความต่างก็สร้างเรื่องราวให้ชวนติดตามที่ต่างกัน ก็ยังได้เรียนรู้โลกการทำงานจริงๆ ให้ได้เปิดโลกกิจกรรมกันบ้าง รวมถึงเป็นประโยชน์กับผู้เข้าแข่งขัน ด้วยการปั้นให้เหมาะกับที่เด็กแต่ละคนพึงได้รับ การปกครองคนไม่มีวิธีไหนที่จะดีที่สุด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าปกครองใครและจะปั้นให้คนนั้นเป็นอย่างไร หมดยุคสร้างการรับรู้ให้คนดูว่ามีวิธีไหนดีกว่าวิธีไหนได้แล้วแบบนั้นมันเชย

ความหลากหลาย

TFM 2 ทำให้เห็นการเลือกคนที่ทันยุคสมัยมากขึ้น คือการให้ความสำคัญกับ "ความหลากหลาย" ความงามที่หลากหลายทางเพศหรือทางเชื้อชาติ อย่ายึดติดกับกรอบที่ไม่อยู่จริง ว่าผู้ชายต้องเป็นแบบไหน อย่ายึดติดกับสีผิวว่าสีไหนดีกว่ากัน อย่ายึดติดว่าชาติพันธุ์ไหนเหนือกว่ากัน แล้วทุกคนมาอยู่ในระบบเดียวกันคือมาวัดกันที่ผลงาน อยากจะบอกว่ามันดีแล้ว... สานต่อเถอะ เพราะยุคนี้มันก็คือโลกแห่งความหลากหลาย

แต่ฝั่งหญิงก็อยากเห็นทีมผู้หญิงสายขบถกันบ้าง เพราะนางแบบก็เหมือนกับตัวแทนของคนแบบนึง ไลฟ์สไตล์แบบนึง ในเมื่อโลกมันมาถึงจุด post-modern แล้ว นางแบบก็ควร post-modern กันบ้าง จริงๆ มันก็มีมาบ้างแล้ว แต่อยากเห็นมากกว่าเดิม รวมมาให้ครบทั้ง ผู้หญิงที่ไม่นิยามเพศ ทอมบอย ข้ามเพศ สาวเท่ หรืออื่นๆ ผู้หญิงสายดาร์ก รอยสักเต็มตัว สายโจ๊ก เด็กแนว ผู้หญิงหน้าแปลก และที่อยากเห็นที่สุดคือ นางแบบพลัสไซส์ ต่างชาติมีแล้ว TF Thailand ก็น่าจะปั้นบ้าง

การเลือกผู้เข้าแข่งขัน

รู้สึกว่าเมนเทอร์และทีมครีเอทีฟทำงานเกี่ยวกับการเลือกผู้เข้าแข่งขันได้ดี คนดูหลายคนอาจจะไม่ชอบใจและคิดว่าควรมีคนที่หล่อกว่านี้หรือใดๆ กว่านี้เข้ามา แต่มองว่าที่เข้ามาภาพรวมออกมาดีจริงๆ รายการได้พาคนที่หลากหลายมาอยู่รวมกัน แต่ละคนมีเรื่องราวที่น่าสนใจแตกต่างกันไป แต่ในภาพรวมทุกคนตั้งใจมาแข่งจริงๆ ตั้งใจเรียน เป็นนักเรียนที่ดี และเป็นลูกน้องที่ดีของเมนเทอร์ พอถึงเวลาทำงานก็ตั้งใจ ไม่มีมาติดเล่นกัน มีพลังงานให้กับงาน

แล้วนี่คือสิ่งที่มันสำคัญกับรายการทีวีคือคนที่อยู่หน้าจอต้องมีพลังงาน แม้ว่าอาจจะมีคนที่เก่งมากเก่งน้อยต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของชั้นเรียนและการแข่งขัน แต่ในภาพรวมก็ตั้งใจกันดี หรือแม้แต่คนที่ตกรอบไปแล้วแล้วได้โอกาสทำมาสเตอร์คลาสต่อ ตอนแรกก็คิดว่าจะฉุดให้บรรยากาศการแข่งขันมันดร็อป แต่ก็เปล่าเลย ทุกคนก็ตั้งใจทำงานกันจริงๆ ... ก็ต้องบอกว่าเลือกคนมากันดีแล้ว และเอาอย่างนี้ต่อนั่นแหละ

ส่วนสำหรับฝั่งหญิง ความแซบความร้ายมันก็คงจำเป็นต่อการต่อดราม่า แล้วดราม่าก็ของหวานให้คนดูขาประจำ ก็ขอแค่ว่าจะหาคนที่พร้อมกัดกันให้ตายยังไง แต่ขอคนตั้งใจมาแข่งมาทำงานนำมาก่อนด้วยเถอะ เพราะถ้าเนือยๆ กันมาอีกก็ต้องให้เมนเทอร์สรรหาเรื่องมาตีกันเพื่อเล่นจิตวิทยากับเด็กอีก แล้วเล่นกันมาทุกทางจนหามุกที่ไม่ซ้ำยากขึ้นไปทุกที

การเมนเทอร์

สิ่งที่ชอบมากๆ ใน TFM 2 คือวิถีของการเมนเทอร์ ไม่รู้ว่าเพราะกันตนาได้คนไปแล้วแล้วเจอข้อผิดพลาดหรือไม่อย่างไร แต่ที่เห็นจากซีซั่นนี้คือ การเมนเทอร์เด็กแบบให้เด็กดูแลตัวเองได้ ตั้งใจที่จะปล่อยเด็กมากขึ้น สอนให้คิดได้ด้วยตัวเองไม่ใช่รอแต่ต้องมีคนป้อนคำสั่งอย่างเดียว สอนให้คิดนอกกรอบ สอนให้มีความคิดสร้างสรรค์

จะเห็นได้ว่าเด็กในซีซั่นนี้ทำมาสเตอร์คลาสกันได้เก่งมาก ตีโจทย์ยากๆ ได้แตกด้วยตัวเอง หรือการทำแคมเปญก็ได้เห็นภาพลูกทีมมาช่วยเมนเทอร์ การเปลี่ยนจากคำถามว่า "ต้องทำอะไร" มาถามว่า "ทำแบบนี้ได้ไหม" แล้วมันคือวิถีทางที่จะก้าวไปเป็นมืออาชีพเพราะในชีวิตจริงไม่มีเมนเทอร์ตามไปดูแน่นอนและชีวิตจริงการทำงานเป็นทีมมันสำคัญ นายแบบนางแบบที่คิดเองได้และช่วยผ่อนแรงทีมงานยิ่งเป็นที่ต้องการ

ก่อนหน้านั้นที่คิดว่าท่าจะผิดทางแล้ว เมื่อเกิดการห่วงชนะจนช่วยเด็กมากเกินไป เช่น เมนเทอร์พยายามจะช่วยบอกบทเด็ก หรืออะไรอื่นๆ ที่เมนเทอร์ไปแบกรับหน้าที่ที่เด็กควรจะทำได้เอง และหลังๆ เริ่มกลายเป็นการสร้างการรับรู้แบบแปลกๆ ให้คนดู กลายเป็นว่าสิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันทำหน้าที่ของตัวเองบกพร่องกลายเป็นเมนเทอร์เป็นคนผิด ทั้งที่มันไม่ใช่เลย

จนรู้สึกว่าตกลงรายการนี้จะยกระดับอาชีพนายแบบนางแบบโฆษณาหรือจะทำให้มาตรฐานต่ำลงกันแน่ สุดท้ายแล้วมันคือรายการ The Face หา The Face ไม่ได้หา The Best Stage Director ซึ่งกับการเมนเทอร์ใน TFM 2 ที่สอนให้เด็กเติบโตเพื่อไปเป็นมืออาชีพก็คิดว่านี่แหละมาถูกทางแล้ว

สิ่งที่ขอเพิ่มหน่อย

- ตลอดมาก็มักมีการกระจุกแอร์ไทม์ไว้ที่คนที่คนสนใจ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้คนดูเอนเอียงไปตามที่คนทำอยากให้รู้สึก ทำให้คนนึงเด่น และทำให้อีกหลายคนจืดจาง แต่ขอหน่อยเรื่องการกระจายแอร์ไทม์
- มาทำไมแค่ 10 ตอน ขอ 13 เป็นอย่างต่ำไปเลย ไหนๆ ก็เข้ามาตั้ง 18 คนแล้ว ตัดยังไงก็ตัดไม่เกลี้ยง ขาดรสชาติลุ้นสุดว่าทีมไหนจะมีคนหมดมั้ยเลย
- อยู่ PPTV ก็ดีแล้วถ้าอยู่แล้ว production ดี คุณภาพเนื้อหาดี โฆษณาคั่นน้อย ไม่ต้องดูสปอตช่องวนไปมา ก็รู้สึกดูเพลิน เต็มอิ่ม จุใจดี แต่อย่าเลื่อนเวลาบ่อยก็พอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่