ออกตัวก่อนไม่ใช่นักเล่าเรื่อง แค่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตัวเราเองเป็นคนไม่เชื่อเรื่องภูติผีปีศาจ ไสยศาสตร์ หมอดู หมอพระ อะไรต่างๆนี่ความเชื่อเป็นศูนย์ แต่เรื่องนี้ เกิดขึ้นกับเรา ตอนเราอายุสักยี่สิบกว่าๆมาทำงานอยู่กรุงเทพแล้วตอนนั้น จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดนานๆที
มีวันหนึ่งเป็นวันหยุดติดกันสามวัน เราไม่ได้ไปไหน เลยมาเดินเล่นสวนจตุจักร ในตอนนั้นจตุจักรพึ่งย้ายมาจากสนามหลวงใหม่ๆ เราเดินไปเจอแอปเปิ้ลสีแดงพลันคิดถึงพ่อแม่ที่บ้านต่างจังหวัดขึ้นมา ถ้าพวกท่านได้กินคงมีความสุข เพราะสมัยนั้น แอปเปิ้ลแบบนี้ต่างจังหวัดหายากและมีราคาแพง
เราตัดสินใจซื้อแอปเปิ้ลใส่เป้สะพายหลังประมาณสามสิบลูก แล้วข้ามสะพานลอยไปซื้อตั๋วกลับบ้านต่างจังหวัด ระยะทางหกชั่วโมงเราคิดว่าอย่างน้อยไม่เกินสองทุ่ม ไปถึงเราสามารถเดินเข้าบ้านเองได้
แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบนั้น รถทัวร์เสียระหว่างทางต้องรอรถมารับ เราถึงหน้าวัดหมู่บ้านประมาณเกือบตีสอง บัสโฮสเตสบอกไปนอนบ้านพี่ก่อนพรุ่งนี้เดี๋ยวพี่พากลับพร้อมรถเที่ยวเช้า แต่เนื่องจากรถทัวร์จะผ่านหน้าวัดหมู่บ้านอยู่แล้ว เราตัดสินใจลงบอกพี่ๆบนรถว่าไม่เป็นไร หนูเดินเข้าไปเองได้ค่ะ ท่ามกลางเสียงอวยพรของคนบนรถ
เราต้องเดินประมาณเกือบหนึ่งกิโลเข้าบ้าน ซึ่งหมู่บ้านเราอยู่ริมน้ำ เราต้องเดินผ่านวัดผ่านป่าช้า ถึงจะถึงบ้านคนระยะหนึ่ง แล้วเป็นสวนกล้วย ถัดไปเป็นป่าไผ่ แล้วจะถึงบ้านเราซึ่งตั้งอยู่ในสวนขณะนั้น
เราเริ่มต้นออกเดิน ใจไม่ได้กลัวผี แต่กลัวคนกลัวโจรมากกว่า หมาที่วัดทั้งเห่าทั้งหอน ตอนเราเดินผ่าน เราก้มลงหยิบก้อนหินติดมือไว้ทั้งสองข้าง จำได้ว่าพ่อเคยสอนว่าถ้ากลัวให้เดินมุ่งหน้าอย่างเดียวอย่าหันไปมองข้ามหัวใหล่ เราเดินมาจนถึงจุดบ้านคนซึ่งเค้านอนกันไปหมดแล้ว หมาก็เห่าตลอดทาง
เลยบ้านคนมา เป็นสวนกล้วย ยาวขนานแม่น้ำไปแม่น้ำอยู่ซ้ายมือ สวนกล้วยอยู่ขวามือ ใบกล้วยแห้งๆปลิวไสว เงาของมันเหมือนคนยืนสยายผม เสียงกอไผ่เสียดสีกันดังอยู่ไกลๆ นกกลางคืนร้องโหยหวนทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ถึงตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย บรรยากาศตอนนั้นตีสอง เราต้องหยุดยืนนึกอะไรไม่ออก เลยพูดออกมาดังๆ ย่ามาพาหนูกลับบ้านหน่อยหนูกลัว
ย่าเราเสียไปเกือบสิบปีแล้วเราก้อไม่รู้ทำไมอยู่ๆเราพูดคำนั้นออกมา เรายืนหลับตาแล้วลืมตาพอก้าวขาออกเดินความรู้สึกตอนนั้นคือเราไม่ได้เดิน มีคนอุ้มเราไปคือเรารู้สึกว่าเราเคลื่อนตัวเร็วมากไม่ใช่การเดินแน่ๆแค่แป้ปเดียวเราโผล่พ้นป่าไผ่
แล้วสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือบ้านเราเปิดไฟทั้งบ้าน พ่อกับแม่นั่งรออยู่ที่บันได พ่อแม่รู้ได้ไงว่าเราจะมา เพราะสมัยนั้นโทรศัพท์อะไรก้อไม่มี เราไม่ได้บอกใครเลยว่าเราจะกลับบ้าน
พอแม่เห็นหน้าเราเท่านั้นแกร้องให้โฮเลย แกบอกย่ามาเข้าฝันว่าให้ตื่นเปิดไฟเร็วๆลูกกำลังกลับมาบ้านลูกกลัว แกเลยปลุกพ่อแล้วเล่าให้ฟัง ในความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในความฝันของแก แกตัดสินใจเปิดไฟบ้านแล้วมานั่งรอเราตามย่าบอก
ในที่สุดย่าก็พาเรากลับไปหาพ่อแม่อย่างปลอดภัยทั้งที่ท่านตายไปแล้วเกือบสิบปี
เมื่อย่าที่ตายแล้วพาเราไปส่งบ้าน
มีวันหนึ่งเป็นวันหยุดติดกันสามวัน เราไม่ได้ไปไหน เลยมาเดินเล่นสวนจตุจักร ในตอนนั้นจตุจักรพึ่งย้ายมาจากสนามหลวงใหม่ๆ เราเดินไปเจอแอปเปิ้ลสีแดงพลันคิดถึงพ่อแม่ที่บ้านต่างจังหวัดขึ้นมา ถ้าพวกท่านได้กินคงมีความสุข เพราะสมัยนั้น แอปเปิ้ลแบบนี้ต่างจังหวัดหายากและมีราคาแพง
เราตัดสินใจซื้อแอปเปิ้ลใส่เป้สะพายหลังประมาณสามสิบลูก แล้วข้ามสะพานลอยไปซื้อตั๋วกลับบ้านต่างจังหวัด ระยะทางหกชั่วโมงเราคิดว่าอย่างน้อยไม่เกินสองทุ่ม ไปถึงเราสามารถเดินเข้าบ้านเองได้
แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบนั้น รถทัวร์เสียระหว่างทางต้องรอรถมารับ เราถึงหน้าวัดหมู่บ้านประมาณเกือบตีสอง บัสโฮสเตสบอกไปนอนบ้านพี่ก่อนพรุ่งนี้เดี๋ยวพี่พากลับพร้อมรถเที่ยวเช้า แต่เนื่องจากรถทัวร์จะผ่านหน้าวัดหมู่บ้านอยู่แล้ว เราตัดสินใจลงบอกพี่ๆบนรถว่าไม่เป็นไร หนูเดินเข้าไปเองได้ค่ะ ท่ามกลางเสียงอวยพรของคนบนรถ
เราต้องเดินประมาณเกือบหนึ่งกิโลเข้าบ้าน ซึ่งหมู่บ้านเราอยู่ริมน้ำ เราต้องเดินผ่านวัดผ่านป่าช้า ถึงจะถึงบ้านคนระยะหนึ่ง แล้วเป็นสวนกล้วย ถัดไปเป็นป่าไผ่ แล้วจะถึงบ้านเราซึ่งตั้งอยู่ในสวนขณะนั้น
เราเริ่มต้นออกเดิน ใจไม่ได้กลัวผี แต่กลัวคนกลัวโจรมากกว่า หมาที่วัดทั้งเห่าทั้งหอน ตอนเราเดินผ่าน เราก้มลงหยิบก้อนหินติดมือไว้ทั้งสองข้าง จำได้ว่าพ่อเคยสอนว่าถ้ากลัวให้เดินมุ่งหน้าอย่างเดียวอย่าหันไปมองข้ามหัวใหล่ เราเดินมาจนถึงจุดบ้านคนซึ่งเค้านอนกันไปหมดแล้ว หมาก็เห่าตลอดทาง
เลยบ้านคนมา เป็นสวนกล้วย ยาวขนานแม่น้ำไปแม่น้ำอยู่ซ้ายมือ สวนกล้วยอยู่ขวามือ ใบกล้วยแห้งๆปลิวไสว เงาของมันเหมือนคนยืนสยายผม เสียงกอไผ่เสียดสีกันดังอยู่ไกลๆ นกกลางคืนร้องโหยหวนทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ถึงตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย บรรยากาศตอนนั้นตีสอง เราต้องหยุดยืนนึกอะไรไม่ออก เลยพูดออกมาดังๆ ย่ามาพาหนูกลับบ้านหน่อยหนูกลัว
ย่าเราเสียไปเกือบสิบปีแล้วเราก้อไม่รู้ทำไมอยู่ๆเราพูดคำนั้นออกมา เรายืนหลับตาแล้วลืมตาพอก้าวขาออกเดินความรู้สึกตอนนั้นคือเราไม่ได้เดิน มีคนอุ้มเราไปคือเรารู้สึกว่าเราเคลื่อนตัวเร็วมากไม่ใช่การเดินแน่ๆแค่แป้ปเดียวเราโผล่พ้นป่าไผ่
แล้วสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือบ้านเราเปิดไฟทั้งบ้าน พ่อกับแม่นั่งรออยู่ที่บันได พ่อแม่รู้ได้ไงว่าเราจะมา เพราะสมัยนั้นโทรศัพท์อะไรก้อไม่มี เราไม่ได้บอกใครเลยว่าเราจะกลับบ้าน
พอแม่เห็นหน้าเราเท่านั้นแกร้องให้โฮเลย แกบอกย่ามาเข้าฝันว่าให้ตื่นเปิดไฟเร็วๆลูกกำลังกลับมาบ้านลูกกลัว แกเลยปลุกพ่อแล้วเล่าให้ฟัง ในความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในความฝันของแก แกตัดสินใจเปิดไฟบ้านแล้วมานั่งรอเราตามย่าบอก
ในที่สุดย่าก็พาเรากลับไปหาพ่อแม่อย่างปลอดภัยทั้งที่ท่านตายไปแล้วเกือบสิบปี