นักวิจัยได้ทำการค้นหาหลักฐานที่นักทฤษฎีสมคบคิดได้ยืนยันอย่างหนักแน่น ก็คือ เรื่องน้ำมันบ่อยครั้งมักจะถูกใช้เหตุผลในการทำสงครามกับประเทศอื่นอยู่เสมอ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Portsmouth,Warwick ได้ทำการวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้ประเทศที่สามทำสงครามกลางเมืองและวิเคราะห์แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของผู้คนภายในประเทศ
พวกเขาพบว่า การที่หลายประเทศตัดสินใจเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่นก็จะมีเรื่องของน้ำมันกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์หรือชาติพันธุ์
สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นนั้น 90 เปอร์เซ็นต์ก็มาจากความขัดแย้งตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และงานวิจัยก็ได้ทำการสุ่มตัวอย่างจาก 69 ประเทศที่มีการทำสงครามกลางเมืองระหว่างปี 1945 กับ 1999 โดย 2 ใน 3 ประเทศที่มีสงครามกลางเมืองนั้น มาจากการแทรกแซงของประเทศที่สามหรือองค์กรภายนอก
นักวิจัยต้องการค้นหาปัจจัยต่างๆที่ทำให้ประเทศที่สามถูกแทรกแซงจากสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
Dr.Sekeris กล่าวว่า “พวกเราพบว่า หลายประเทศที่มีการผลิตน้ำมันนั้น ตกเป็นเป้าหมายของการแทรกแซงจากต่างชาติหากสงครามกลางเมืองปะทุขึ้นมา
“การแทรกแซงทางการทหารถือเป็นต้นทุนที่มีราคาแพงและมีความเสี่ยงสูงมาก ไม่มีประเทศไหนอยากเข้าร่วมสงครามกลางเมืองกับประเทศอื่นหากไม่มีเรื่องของผลประโยชน์หรือความเป็นไปได้ที่ประเทศนั้นจะได้รับผลประโยชน์
“พวกเราต้องก้าวข้ามทฤษฎีสมคบคิดและจะต้องทำการวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างระมัดระวัง โดยจะต้องทำการวิเคราะห์อย่างเช่น น้ำมันในฐานะที่เป็นตัวกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการตัดสินใจในแต่ละประเทศที่จะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่น
“ผลลัพธ์ที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า ประเทศภายนอกมีแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมทำสงครามหากพวกเขาสามารถควบคุมผลประโยชน์ทางการเงินที่ได้รับได้”
โดยนิตยสาร Journal Of Conflict Resolution ก็ได้ตีพิมพ์รายละเอียดเอาไว้ดังนี้ :
• ยิ่งประเทศนั้นมีน้ำมันมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงการทำสงครามกลางเมืองภายในประเทศนั้นมากขึ้น
• ยิ่งประเทศนั้นนำเข้าน้ำมันมากเท่าไร ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกแทรกแซงการผลิตน้ำมันในช่วงที่ประเทศเกิดสงครามกลางเมืองมากเท่านั้น
Dr.Bove กล่าวว่า : “ก่อนที่ ISIS จะเข้ามายึดครองแหล่งผลิตน้ำมันทางตอนเหนือของประเทศอิรัก น้อยมากที่จะมีการเล่นข่าวเกี่ยวกับกลุ่ม ISIS แต่ทันทีที่กลุ่ม ISIS เข้าใกล้แหล่งผลิตน้ำมัน ก็เริ่มมีข่าวพาดหัวในประเทศซีเรียกับการที่ประเทศอเมริกาได้ส่งโดรนเข้าไปโจมตีกลุ่ม ISIS
“พวกเราไม่อยากกล่าวว่า ข้อมูลที่พวกเราค้นพบทำให้เข้าใจได้ถึงเหตุผลที่ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงการทำสงครามภายในประเทศอื่น แต่เมื่อมาวิเคราะห์อุปสงค์อุปทานน้ำมันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เข้าใจได้ถึงเหตุผลต่างๆที่บางประเทศเข้าไปแทรกแซงการทำสงครามกลางเมืองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
“การฮุบบ่อน้ำมันบ่อยครั้งก็เป็นเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ถึงเบื้องหลังการเข้าไปแทรกแซงในประเทศลิเบีย และหลายประเทศก็ไม่ค่อยอยากเข้าไปแทรกแซงประเทศซีเรีย แม้ว่าเหตุผลฟังดูไม่ซับซ้อน แต่หลังจากที่ทำการวิเคราะห์ดีๆแล้ว พวกเราพบว่า เศรษฐกิจภายในประเทศถือเป็นแรงจูงใจสำคัญที่นำไปสู่การแทรกแซง”
จากการวิจัยก็พบว่า ประเทศที่สามมีแนวโน้มที่จะเข้าไปแทรกแซงด้วยเหตุผลดังนี้คือ
• พวกเขามีอำนาจมากพอที่จะเข้าไปแทรกแซง
• ฝ่ายกบฎมีความแข็งแกร่งและมีอาวุธทันสมัย
• มีชาติพันธุ์ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 ประเทศและ/หรือ
• สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นไปผลมาจากสงครามเย็นจากการแข่งขันชิงชัยระหว่างประเทศมหาอำนาจ
กรณีตัวอย่างต่างๆนี้ทางนักวิจัยก็ได้ทำการสำรวจการทำสงครามกลางเมืองที่อัลโกด้าในปี 1975 จนถึงสิ้นสุดสงครามเย็น และในกัวเตมาลา อินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์ และการที่ประเทศอเมริกาได้ให้การสนับสนุนระบอบเผด็จการในประเทศที่มีน้ำมันมั่งคั่ง เช่นกันก็ได้วิเคราะห์การที่สหราชอาณาจักรได้เข้าไปแทรกแซงการทำสงครามกลางเมืองประเทศไนจีเรียในช่วง 1967-1970 อีกทั้งไม่มีการแทรกแซงประเทศอื่นๆที่ทำสงครามกลางเมืองด้วยเหตุผลว่า ไม่มีน้ำมันสำรอง (ทั้งประเทศเซียร์ราลีโอน ประเทศโรดีเชีย ประเทศซิมบับเว) และการที่อดีตสหภาพโซเวียตได้เข้าไปแทรกแซงในประเทศอินโดนีเซีย ปี 1958 ไนจีเรียปี 1967-1968 และประเทศอิรักปี 1973
นักวิจัยได้กล่าวว่า ประเทศที่มีน้ำมันสำรองในบริเวณอ่าวนั้น ทั้งประเทศเม็กซิโกกับอินโดนีเซียก็ไม่เคยมีประวัติในการแทรกแซงประเทศอื่นทางด้านการทหาร แม้ว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบในเรื่องของกำลังอาวุธทางการทหารก็ตาม โดยประเทศแถบตะวันออกไม่ค่อยพึ่งพาในเรื่องของพลังงานพวกนี้มากนัก และในประเทศจีนเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาพลังงานพวกนี้มาก โดยแรงจูงใจที่ทำให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงการทำสงครามประเทศอื่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า ข้ออ้างในการแทรกแซงจะเปลี่ยนไปในอนาคต พวกเขากล่าว
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com
ทฤษฎีสมคบคิดน้ำมันดิบอาจเป็นความจริง : เรื่องน้ำมันบ่อยครั้งมักจะถูกใช้เหตุผลในการทำสงครามกับประเทศอื่นอยู่เสมอ
นักวิจัยได้ทำการค้นหาหลักฐานที่นักทฤษฎีสมคบคิดได้ยืนยันอย่างหนักแน่น ก็คือ เรื่องน้ำมันบ่อยครั้งมักจะถูกใช้เหตุผลในการทำสงครามกับประเทศอื่นอยู่เสมอ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Portsmouth,Warwick ได้ทำการวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้ประเทศที่สามทำสงครามกลางเมืองและวิเคราะห์แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของผู้คนภายในประเทศ
พวกเขาพบว่า การที่หลายประเทศตัดสินใจเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่นก็จะมีเรื่องของน้ำมันกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์หรือชาติพันธุ์
สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นนั้น 90 เปอร์เซ็นต์ก็มาจากความขัดแย้งตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และงานวิจัยก็ได้ทำการสุ่มตัวอย่างจาก 69 ประเทศที่มีการทำสงครามกลางเมืองระหว่างปี 1945 กับ 1999 โดย 2 ใน 3 ประเทศที่มีสงครามกลางเมืองนั้น มาจากการแทรกแซงของประเทศที่สามหรือองค์กรภายนอก
นักวิจัยต้องการค้นหาปัจจัยต่างๆที่ทำให้ประเทศที่สามถูกแทรกแซงจากสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
Dr.Sekeris กล่าวว่า “พวกเราพบว่า หลายประเทศที่มีการผลิตน้ำมันนั้น ตกเป็นเป้าหมายของการแทรกแซงจากต่างชาติหากสงครามกลางเมืองปะทุขึ้นมา
“การแทรกแซงทางการทหารถือเป็นต้นทุนที่มีราคาแพงและมีความเสี่ยงสูงมาก ไม่มีประเทศไหนอยากเข้าร่วมสงครามกลางเมืองกับประเทศอื่นหากไม่มีเรื่องของผลประโยชน์หรือความเป็นไปได้ที่ประเทศนั้นจะได้รับผลประโยชน์
“พวกเราต้องก้าวข้ามทฤษฎีสมคบคิดและจะต้องทำการวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างระมัดระวัง โดยจะต้องทำการวิเคราะห์อย่างเช่น น้ำมันในฐานะที่เป็นตัวกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการตัดสินใจในแต่ละประเทศที่จะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่น
“ผลลัพธ์ที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า ประเทศภายนอกมีแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมทำสงครามหากพวกเขาสามารถควบคุมผลประโยชน์ทางการเงินที่ได้รับได้”
โดยนิตยสาร Journal Of Conflict Resolution ก็ได้ตีพิมพ์รายละเอียดเอาไว้ดังนี้ :
• ยิ่งประเทศนั้นมีน้ำมันมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงการทำสงครามกลางเมืองภายในประเทศนั้นมากขึ้น
• ยิ่งประเทศนั้นนำเข้าน้ำมันมากเท่าไร ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกแทรกแซงการผลิตน้ำมันในช่วงที่ประเทศเกิดสงครามกลางเมืองมากเท่านั้น
Dr.Bove กล่าวว่า : “ก่อนที่ ISIS จะเข้ามายึดครองแหล่งผลิตน้ำมันทางตอนเหนือของประเทศอิรัก น้อยมากที่จะมีการเล่นข่าวเกี่ยวกับกลุ่ม ISIS แต่ทันทีที่กลุ่ม ISIS เข้าใกล้แหล่งผลิตน้ำมัน ก็เริ่มมีข่าวพาดหัวในประเทศซีเรียกับการที่ประเทศอเมริกาได้ส่งโดรนเข้าไปโจมตีกลุ่ม ISIS
“พวกเราไม่อยากกล่าวว่า ข้อมูลที่พวกเราค้นพบทำให้เข้าใจได้ถึงเหตุผลที่ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงการทำสงครามภายในประเทศอื่น แต่เมื่อมาวิเคราะห์อุปสงค์อุปทานน้ำมันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เข้าใจได้ถึงเหตุผลต่างๆที่บางประเทศเข้าไปแทรกแซงการทำสงครามกลางเมืองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
“การฮุบบ่อน้ำมันบ่อยครั้งก็เป็นเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ถึงเบื้องหลังการเข้าไปแทรกแซงในประเทศลิเบีย และหลายประเทศก็ไม่ค่อยอยากเข้าไปแทรกแซงประเทศซีเรีย แม้ว่าเหตุผลฟังดูไม่ซับซ้อน แต่หลังจากที่ทำการวิเคราะห์ดีๆแล้ว พวกเราพบว่า เศรษฐกิจภายในประเทศถือเป็นแรงจูงใจสำคัญที่นำไปสู่การแทรกแซง”
จากการวิจัยก็พบว่า ประเทศที่สามมีแนวโน้มที่จะเข้าไปแทรกแซงด้วยเหตุผลดังนี้คือ
• พวกเขามีอำนาจมากพอที่จะเข้าไปแทรกแซง
• ฝ่ายกบฎมีความแข็งแกร่งและมีอาวุธทันสมัย
• มีชาติพันธุ์ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 ประเทศและ/หรือ
• สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นไปผลมาจากสงครามเย็นจากการแข่งขันชิงชัยระหว่างประเทศมหาอำนาจ
กรณีตัวอย่างต่างๆนี้ทางนักวิจัยก็ได้ทำการสำรวจการทำสงครามกลางเมืองที่อัลโกด้าในปี 1975 จนถึงสิ้นสุดสงครามเย็น และในกัวเตมาลา อินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์ และการที่ประเทศอเมริกาได้ให้การสนับสนุนระบอบเผด็จการในประเทศที่มีน้ำมันมั่งคั่ง เช่นกันก็ได้วิเคราะห์การที่สหราชอาณาจักรได้เข้าไปแทรกแซงการทำสงครามกลางเมืองประเทศไนจีเรียในช่วง 1967-1970 อีกทั้งไม่มีการแทรกแซงประเทศอื่นๆที่ทำสงครามกลางเมืองด้วยเหตุผลว่า ไม่มีน้ำมันสำรอง (ทั้งประเทศเซียร์ราลีโอน ประเทศโรดีเชีย ประเทศซิมบับเว) และการที่อดีตสหภาพโซเวียตได้เข้าไปแทรกแซงในประเทศอินโดนีเซีย ปี 1958 ไนจีเรียปี 1967-1968 และประเทศอิรักปี 1973
นักวิจัยได้กล่าวว่า ประเทศที่มีน้ำมันสำรองในบริเวณอ่าวนั้น ทั้งประเทศเม็กซิโกกับอินโดนีเซียก็ไม่เคยมีประวัติในการแทรกแซงประเทศอื่นทางด้านการทหาร แม้ว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบในเรื่องของกำลังอาวุธทางการทหารก็ตาม โดยประเทศแถบตะวันออกไม่ค่อยพึ่งพาในเรื่องของพลังงานพวกนี้มากนัก และในประเทศจีนเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาพลังงานพวกนี้มาก โดยแรงจูงใจที่ทำให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงการทำสงครามประเทศอื่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า ข้ออ้างในการแทรกแซงจะเปลี่ยนไปในอนาคต พวกเขากล่าว
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com